ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1440 ครบรอบหนึ่งปี
สุ่ยจิงอิ๋งส่งพวกเขามาที่ริมทะเลแห่งหนึ่งในแดนตะวันออก แต่เมื่อมาถึง ที่แห่งนี้กลับไม่มีกลิ่นอายของสุ่ยจิงอิ๋งแล้ว
จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีและกล่าวว่า “ในเมื่อหาไม่เจอ เช่นนั้นเราก็กลับกันเถอะ!”
มู่เฉียนซีกล่าว “จิ่วเยี่ย นั่นมันชิ้นส่วนของสุ่ยจิงอิ๋งนะ ข้าจะปล่อยไปได้อย่างไรกัน เราต้องหาเบาะแสบางอย่างจากบริเวณรอบ ๆ นี้ได้แน่นอน”
“ไปกันเถอะ!” มู่เฉียนซีลากจิ่วเยี่ยไป
ที่แห่งนี้เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ชายฝั่งทะเล ตั้งอยู่มุมหนึ่งในแดนตะวันออก สถานที่แห่งนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของแดนตะวันออกและแดนเหนือแต่อย่างใด
เมืองเล็ก ๆ อันสงบแห่งนี้เหมาะกับการพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างยิ่ง สายลมทะเลพัดเข้าชายฝั่งทำให้รู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ
จิ่วเยี่ยเองก็รับรู้ได้ว่าตอนนี้มู่เฉียนซีกำลังอารมณ์ดี นางอารมณ์ดี เขาก็อารมณ์ดีไปด้วย
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “แม้ว่าเราจะไม่ได้เบาะแสของสุ่ยจิงอิ๋ง ก็ถือว่ามาพักผ่อน ก็ไม่เลวนะ! สภาพแวดล้อมที่นี่กับที่ทุ่งรกร้างอันกว้างใหญ่ช่างไม่เหมือนกันสักนิด”
มู่เฉียนซีกับจิ่วเยี่ยเข้ามาในเมืองชิงไห่ด้วยท่าทางและอารมณ์ตื่นเต้นเป็นพิเศษ ทั้งสองจึงเป็นที่ดึงดูดสายตาผู้คนมากมาย
ท่านหมอปีศาจออกไปจากทุ่งรกร้างอันกว้างใหญ่ พาจิ่วเยี่ยไปเดินเลือกซื้อสมุนไพรวิญญาณแล้ว
คลังเก็บสมุนไพรวิญญาณของนางนั้นอู้ฟู้มาก แต่ในฐานะที่เป็นนักปรุงยาแล้วนั้น ไม่มีทางยอมให้สมุนไพรวิญญาณของตัวเองลดน้อยลงเด็ดขาด
“สมุนไพรกองนี้ ข้าเหมาหมด กองนี้ด้วย!”
“จิ่วเยี่ย ถือ!”
“เถ้าแก่ คิดเงิน!”
ผู้นำตระกูลมู่ไม่ใช่ผู้ที่ขาดแคลนเงินทองแต่อย่างใด ทว่า องค์ชายจิ่วเยี่ยกลับชิงนางจ่าย วางหยกวิญญาณชิ้นหนึ่งไว้บนโต๊ะ
และแน่นอนว่าหยกวิญญาณชิ้นนี้เป็นหยกวิญญาณที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง งดงามอย่างที่เถ้าแก่ผู้นี้ไม่เคยพบเห็นมาก่อน พร้อมกันนั้นเถ้าแก่ก็ได้เห็นเงาสะท้อนในแววตาที่อันตรายคู่นั้นแล้ว
เถ้าแก่รีบกล่าวขึ้นว่า “พอแล้วขอรับ! แค่นี้พอแล้ว ท่านอยากได้สิ่งใดเพิ่มอีกหรือไม่?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ไม่เอาแล้ว เราไปร้านอื่นต่อเถอะ!”
การซื้อสมุนไพรวิญญาณมือเติบเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องปกติของมู่เฉียนซีแล้ว มู่เฉียนซีสะบัดมือพลางกล่าว “จิ่วเยี่ย เจ้าคิดว่าการที่ข้ามาเดินซื้อแค่สมุนไพรวิญญาณอย่างเดียวมันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหรือไม่!”
จิ่วเยี่ยก้มหน้าจูบลงบนหน้าผากของมู่เฉียนซี ใช้ลิ้นเลียหน้าผากนางเล็กน้อยอย่างระมัดระวัง
หลังจากจูบนี้ผ่านไป จิ่วเยี่ยก็กล่าวเสียงต่ำว่า “เช่นนี้ ก็ไม่น่าเบื่อแล้วล่ะ!”
เมืองแห่งนี้ดูธรรมดาทั่วไปมาก ไม่ว่าพวกเขาจะเดินไปที่ใดก็ไม่พบกลิ่นอายของสุ่ยจิงอิ๋งเลยแม้แต่น้อย
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “สุ่ยจิงอิ๋ง เจ้ายังอดทนได้อีกนานเพียงใด?”
สุ่ยจิงอิ๋ง “ซีเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล ข้ายังทนได้ หากเป็นกลีบดอกของข้าจริง ๆ มีพลังทะลุมิติ ก็ยากที่จะหาเจอได้ เจ้าก็ถือว่ามาพักผ่อนกับจิ่วเยี่ยก็แล้วกัน!”
“และแน่นอนว่าหากข้ายังไม่หลับใหลไป หากเจ้าหมอนี่คิดจะบีบบังคับเจ้าอีกละก็ ข้าจะส่งเจ้าตัวอันตรายผู้นี้ไปไกล ๆ เจ้าแน่นอน”
สุ่ยจิงอิ๋งยังคงหวาดกลัวจิ่วเยี่ยอยู่ ถึงแม้ว่านางจะเป็นคนรับเขามาเองก็ตาม
ซีเอ๋อร์ให้ความสำคัญต่อเขาจึงเพิกเฉยจากอันตรายเหล่านั้น แต่นางกลับรู้สึกได้
หวงจิ่วเยี่ย ไม่รู้ว่าจะอดทนได้นานเพียงใด
ไม่แน่ ครั้งต่อไปอาจจะถึงขีดจำกัดของเขาแล้วก็ได้
คนเช่นนี้ต่อให้อยู่อีกโลกหนึ่ง ต่อให้ถูกกักขังอยู่อีกโลกหนึ่ง สุ่ยจิงอิ๋งก็รับรู้ได้ถึงอันตรายนี้ได้อยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ข้างกายซีเอ๋อร์อีก
แต่ซีเอ๋อร์ชอบเขา นางเองก็ไร้หนทาง สุ่ยจิงอิ๋งยิ้มอย่างจนปัญญา
หากหากลีบดอกที่สามเจอ ซีเอ๋อร์มีกลีบดอกสี่ดอกของนาง บางทีนางอาจจะคุ้มครองซีเอ๋อร์ได้ดีกว่านี้ก็ได้
หลายวันมานี้มู่เฉียนซีพักผ่อนได้อย่างสุขใจ
จิ่วเยี่ยเองก็อยากจะอยู่พักผ่อนที่นี่ให้นานกว่านี้สักหน่อยเช่นกัน เช่นนี้จะได้ใช้เวลาอยู่กับนางมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่ก่อความวุ่นวายแต่อย่างใด
ก๊อก ๆ ๆ!
ยามเที่ยงของวันต่อมา เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
“ใคร?” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มีบางเรื่องที่ท่านทั้งสองอาจจะสนใจ ไม่รู้ว่าท่านทั้งสองจะฟังหรือไม่?”
มู่เฉียนซีกับจิ่วเยี่ยหันมองหน้ากันแวบหนึ่ง ก่อนที่นางจะกล่าวออกมาว่า “ลองดูว่าเขาจะบอกอันใด!”
ทันทีที่เปิดประตูถูกเปิดออก ชายหนุ่มผู้ดูเฉลียวฉลาดผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เจ้ามีเรื่องอันใด?”
เขายิ้มพลางกล่าวว่า “หลังจากที่ท่านทั้งสองเข้ามาในเมืองชิงไห่ ข้าก็จับตามองพวกท่านมาโดยตลอด กลิ่นอายของท่านทั้งสองไม่ธรรมดา แถมยังใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมาก”
“แล้วอย่างไร! อยากจะพูดอะไรก็พูดมาตรง ๆ ดีกว่า!” มู่เฉียนซีเหลือบมองเขาพลางกล่าว
คนผู้นี้กล่าวต่อว่า “ของในเมืองชิงไห่ คงจะไม่ถูกใจท่านทั้งสองนัก แต่ท่านทั้งสองไม่ใช่คนในพื้นที่แห่งนี้ พวกท่านคงจะไม่รู้ว่าห่างจากเมืองชิงไห่ไปไม่ไกล มีเกาะอยู่เกาะหนึ่งชื่อว่าเกาะทรายขาว ในวันพรุ่ง เกาะแห่งนั้นจะมีการจัดการประมูลใต้ดินขึ้น เหล่าบรรดาผู้แข็งแกร่งและเศรษฐีมีเงินในเมืองรอบ ๆ ต่างเข้าร่วมประมูล ที่สำคัญการประมูลครั้งนี้มีของล้ำค่ามากมาย”
“ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองสนใจเข้าร่วมการประมูลหรือไม่?” เขาหรี่ตายิ้มพลางกล่าว
“เจ้าเอาเรื่องนี้มาบอกข้า เจ้าต้องการสิ่งใด?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
“ข้าได้ข่าวมาว่าการประมูลในครั้งนี้มียาลูกกลอนขั้นสวรรค์เม็ดหนึ่ง ยาผลึกจันทรา สามารถทำให้คนที่ไม่สามารถฝึกบำเพ็ญพลังวิญญาณสามารถฝึกบำเพ็ญได้ ถึงแม้ว่ายาขั้นสวรรค์จะมีราคาแพง แต่สำหรับพวกท่านทั้งสองแล้ว คงเป็นเพียงแค่เศษเงินเท่านั้น”
เขาเป็นคนธรรมดาทั่วไปในเมืองชิงไหคนหนึ่ง แต่ปรารถนาอยากฝึกบำเพ็ญพลังวิญญาณให้ได้
ยาขั้นสวรรค์ ต่อให้เขาเก็บเงินอีกสามชาติก็ไม่มีปัญญาซื้อมาได้ ดังนั้นเมื่อเศรษฐีทั้งสองท่านนี้ปรากฏตัวขึ้น เขาก็อยากจะลองดูสักตั้ง
นี่นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการร้องขอของเขาแล้ว!
มู่เฉียนซีกล่าว “แค่นี้เองเหรอ ข้าสนใจการประมูลในครั้งนี้มาก เพียงแต่ว่า ยาผลึกจันทราอะไรนั่น ข้าไม่มีทางประมูลมาเด็ดขาด”
นางเป็นถึงหมอปีศาจ จะประมูลยาลูกกลอนคุณภาพธรรมดาทั่วไปเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า
เขารู้สึกผิดหวังกับคำตอบของนางยิ่งนัก ดูท่าการร้องขอของเขาคงจะมากเกินไปเสียแล้ว
มู่เฉียนซีเอายาขวดหนึ่งออกมาพลางกล่าว “หากเจ้าอยากฝึกบำเพ็ญ ยาลูกกลอนขวดนี้ต่างหากที่เหมาะกับเจ้า วันพรุ่งมานำทางพวกข้าไปที่นั่น เจ้ารู้จักคว้าโอกาส นับว่าเจ้าเป็นคนฉลาดมากคนหนึ่ง”
เขารับขวดยานั้นมา ในขวดนี้เป็นยาลูกกลอนจริง ๆ ด้วย!
เขาตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น “ท่านเชื่อใจข้าถึงเพียงนี้ ทะ ท่าน ท่านไม่กลัวว่าข้าจะได้ยาลูกกลอนไปแล้วหนีเหรอ?”
“เอายาของข้าไปแล้วคิดหนี ข้าว่าวันพรุ่งเจ้าบอกญาติเจ้ามาเก็บศพเจ้าได้เลย คนฉลาด เขาไม่ทำเช่นนั้นหรอกนะ”
เขารู้สึกหวาดกลัว ก้มหน้าลงเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ขอรับ ข้าน้อยมีนามว่าซัวเฉียง วันพรุ่งข้าจะเป็นคนนำทางท่านทั้งสองเอง!”
ซัวเฉียงรีบจากไปด้วยความหวาดกลัว
จิ่วเยี่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “ซีจะไปเหรอ?”
“ที่นี่ไม่มีเบาะแสอะไร เช่นนั้นเราก็ลองไปที่งานประมูลใต้ดินดูสักหน่อย หากไม่พบเบาะแสของสุ่ยจิงอิ๋งที่นั่น บางทีเราอาจจะได้ของล้ำค่าอย่างอื่นติดไม้ติดมือกลับไปก็ได้นะ”
“อืม!”
มู่เฉียนซีขยับตัวเข้าไปซบอกจิ่วเยี่ย ก่อนจะกล่าวว่า “ในฐานะที่ข้าเป็นหมอส่วนตัวของเจ้า อันที่จริงเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังข้าหรอกนะ คำสาปนั่นเป็นปีศาจหลอกหลอนเจ้าอีกแล้วใช่หรือไม่?”
ตอนนั้นมังกรวารีปิดผนึกได้ดีมาก แต่พลังของมังกรวารีในตอนนั้นยังไม่สมบูรณ์
หากสามารถปิดผนึกคำสาปนั้นได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนั้น มันก็คงจะไม่ทรมานจิ่วเยี่ยนานถึงเพียงนี้หรอก
จิ่วเยี่ยกอดนางพลางกล่าวว่า “นี่ก็ผ่านมาปีนึงแล้ว”
ผ่านมาหนึ่งปีแต่ยังสามารถยับยั้งได้ก็นับว่าถึงขีดจำกัดแล้ว เขาอดทนมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นในใจ
หวาดกลัว กลัวว่าไม่รู้เมื่อใดเขาจะเกิดความรู้สึกเช่นนั้น
“ต่อให้สุ่ยจิงอิ๋งไม่ส่งข้ามา ข้าก็จะมาหาซีอยู่ดี! เพราะว่า บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย…”
มู่เฉียนซีเอามือปิดปากไม่ให้เขาพูดต่อ แต่สุดท้ายจิ่วเยี่ยก็พูดต่ออยู่ดี “ครั้งสุดท้ายที่ข้าจะได้เจอ…”
อือ! ภายใต้ความโกรธของมู่เฉียนซี นางเขย่งเท้าขึ้นและจูบปากเขาเอาไว้ไม่ให้เขาพูดออกมา