ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1464 ช่วยชีวิตเสี่ยวไป๋
คนที่เป็นห่วงมู่เฉียนซีตอนนี้ยืนตัวแข็งทื่อราวกับรูปปั้นไปแล้ว พวกเขาไม่เพียงแต่พบว่ามู่เฉียนซีกลับมาแล้วเท่านั้น แต่นางยังพาหญิงสาวในอาภรณ์สีฟ้าผู้หนึ่งกลับมาด้วย
จวินโม่ซีกวาดสายตามองลั่วเหมี่ยว ในฐานะที่เป็นนักปรุงยาเขามีความไวต่อความรู้สึกเป็นอย่างยิ่ง และเขาก็รู้สึกได้ว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดา
จวินโม่ซียิ้มพลางกล่าวว่า “สาวน้อย เจ้ากลับมาสักที แม่นางน้อยผู้นี้เจ้าหามาให้เป็นภรรยาของเสี่ยวเจ๋อใช่หรือไม่!”
สีหน้าเยวี่ยเจ๋อดำคล้ำขึ้นด้วยความไม่พอใจ “เจ้าตะกละ อย่าได้กล่าววาจาเหลวไหวเชียวนะ!”
เซียวเหยากล่าว “นายท่าน ข้ารู้สึกเหมือนกับตำแหน่งของข้าสั่นคลอนแล้วสิ แม่นางน้อยผู้นี้งดงามเกินมนุษย์ไปแล้ว! นายท่านสนใจทั้งบุรุษและสตรีในเวลาเดียวกันเลยอย่างนั้นหรือ”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะดีนักว่า “เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้ เจ้าไม่พูดก็คงไม่มีใครคิดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ อย่าได้พานางเสียคนล่ะ”
“นายท่าน นายท่านกลับมาแล้ว!” เย่เฉินกับโม่จิ่นนับว่าทำตัวปกติที่สุดแล้ว
จากนั้นร่างในชุดสีขาวร่างหนึ่งก็เดินเข้ามา ก่อนจะยิ้มพลางกล่าวกับมู่เฉียนซีว่า “เฉียนซีกลับมาก็ดีแล้ว ทางด้านแคว้นเฉียนเซี่ยได้ส่งข่าวมาแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยความตกใจเล็กน้อย “เจ้าลามกเซี่ยอาการดีขึ้นแล้วเหรอ?”
น่าหลานอวี้กล่าว “อืม! อาการดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่ว่าพลังของเขายังไม่ถึงระดับสูงสุด ตอนนี้กำลังพยายามฝึกฝนอย่างหนัก! รู้จักเขามานานหลายปีแล้ว ข้าไม่เคยเห็นเขาฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้มาก่อนเลยจริง ๆ”
มู่เฉียนซีกล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว อย่างไรเสีย เขาก็เป็นคนที่ผ่านความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง”
น่าหลานอวี้ยิ้ม นี่ไม่ใช่เหตุผลสำคัญสักหน่อย!
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าขอแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก นางชื่อลั่วเหมี่ยว”
จากนั้นก็ชี้ไปที่จวินโม่ซีและกล่าวแนะนำว่า “ลั่วเหมี่ยว ผู้ที่กินจนอ้วนผู้นี้ชื่อจวินโม่ซี นอกจากปรุงยาแล้ว เขาก็กินอย่างเดียว”
จวินโม่ซีกล่าวท้วงขึ้นว่า “สาวน้อย เจ้าพูดให้ดี ๆ นะ ข้าอ้วนตรงไหน! ข้าหิวโหยจนซูบผอมไปแล้วเจ้าไม่เห็นหรืออย่างไร?”
ลั่วเหมี่ยวกล่าวอย่างเชื่อฟังว่า “สวัสดีท่านพี่จวินโม่ซี!”
มู่เฉียนซีไม่อยากจะฟังจวินโม่ซีพูดพร่ำรำพัน นางจึงกล่าวต่อว่า “ส่วนพี่ชายหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นชื่อเยวี่ยเจ๋อ คนนั้นชื่อเซียวเหยา คนนี้ชื่อเย่เฉิน โม่จิ่น ส่วนคนที่หน้าตาดูเจ้าเล่ห์ผู้นั้นชื่อน่าหลานอวี้”
หลังจากลั่วเหมี่ยวกล่าวทักทายทุกคนอย่างสุภาพแล้ว
มู่เฉียนซีจึงกล่าวต่อ “แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของลั่วเหมี่ยวจะดูอายุสิบห้าสิบหกปี แต่ความจริงแล้วความคิดของนางเป็นเพียงแค่เด็กหกเจ็ดขวบเท่านั้น อย่าให้ใครมารังแกนางได้ล่ะ”
ต่อมา แต่ละคนต่างก็พากันเข้ามารายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในดินแดนสี่ทิศในช่วงเวลาที่ผ่านมาให้มู่เฉียนซีฟัง
เย่เฉินกล่าว “ตอนนี้คนของพวกเราฝึกบำเพ็ญจนพลังถึงระดับสูงสุดจำนวนสามสิบคนแล้ว!”
น่าหลานอวี้กล่าว “กำลังทรัพย์และการค้าของหอหมอปีศาจสร้างยอดฝีมือระดับสูงสุดได้ถึงสามสิบคนแล้ว”
เซียวเหยากล่าว “สูตรยาพิษที่นายท่านให้ไว้ ตอนนี้กำลังเร่งหลอมออกมาให้มากที่สุด เราจะใช้ยาพิษนี้เล่นงานตำหนักเป่ยหาน”
ตอนนี้เซียวเหยาเองก็รู้แล้วว่าคนที่ทำลายล้างตระกูลเซียวของพวกเขานั้นไม่ใช่กู้ไป๋อี แต่เป็นเป่ยกงจั๋ว ผู้ที่ตั้งตนเป็นหัวหน้าตำหนักเป่ยหานในตอนนี้
โม่จิ่นกล่าว “โอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอินกำลังเก็บตัวฝึกบำเพ็ญอยู่ ไม่รู้ว่าแคว้นเทพฟ้านอินยังจะสนับสนุนพวกเราต่อหรือไม่…”
หลังจากที่ได้ยินรายงานเรื่องเหล่านี้แล้ว มู่เฉียนซีก็หน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อย
ต้องรีบจัดการเป่ยกงจั๋วให้เร็วที่สุด อีกอย่าง ยังมีเยี่ยเฉียผู้ที่น่ากลัวกว่าเป่ยกงจั๋วผู้นั้นอีกคน ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอันใดในดินแดนสี่ทิศกันแน่
หากถูกศัตรูขนาบทั้งหน้าหลัง ชัยชนะของพวกเขาเกรงว่าจะเป็นศูนย์!
เย่เฉินกล่าวถามว่า “นายท่าน จะลงมือเลยหรือไม่?”
มู่เฉียนซีกล่าว “จำนวนยอดฝีมือระดับสูงสุดของเรายังมีไม่พอ แต่เราจะรั้งเวลาต่อไปไม่ได้อีกแล้ว รีบส่งข่าวไปที่แคว้นเทพฟ้านอินด่วน”
“เฝ้าสังเกตการณ์สามวัน!”
นางเพิ่งจะกลับมา จะทำการเปิดศึกกับเป่ยกงจั๋วเลยไม่ได้ หากทำเช่นนั้น นางก็ไม่ต่างอะไรกับทำเรื่องที่ไร้สติปัญญาแน่นอน
ทว่า มู่เฉียนซียังไม่ทันเป็นฝ่ายเริ่มโจมตี ทางด้านของเป่ยกงจั๋วก็ทนไม่ไหวแล้ว
เพื่อหม้อเทพนิรันดร์และกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ เขาเสียเวลาอยู่ในดินแดนระดับต่ำแห่งนี้นานเกินไปแล้ว
ในดินแดนสี่ทิศมีพลังวิญญาณที่อ่อนแอมาก อยู่ในดินแดนแห่งนี้การฝึกบำเพ็ญของเขาก็ไม่มีความก้าวหน้าแต่อย่างใด เป็นการสิ้นเปลืองพลังชีวิตไปอย่างเสียเปล่า อีกทั้งยังเสียเวลามากอีกด้วย!
เป่ยกงจั๋วปล่อยข่าวออกมาว่า มีคนปลอมตัวเป็นเขา และเข้ามาลอบสังหารเขา เขาสงสัยว่าจะเป็นฝีมือของหอหมอปีศาจ วันพรุ่งเตรียมจะไปจัดการกับผู้ที่เข้ามาลอบสังหารเขาผู้นั้น
หากเป่ยกงจั๋วจะฆ่ากู้ไป๋อีจริง ๆ แล้วละก็ เขาคงไม่รอมาจนถึงตอนนี้เหรอก
แม้ว่าจะรู้เช่นนี้แล้ว มู่เฉียนซีเองก็ไม่มีทางที่จะไม่สนใจกู้ไป๋อี ต่อให้ไม่ฆ่า แต่เป่ยกงจั๋วก็อาจจะทรมานเขาก็เป็นได้
อีกอย่างเขาให้เสี่ยวไป๋ออกจากวังใต้ดินนั้น ก็นับว่าเป็นข่าวดีมาก
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม วันพรุ่งเราจะทำศึกรบ!”
“กองกำลังครึ่งหนึ่งนั่งหอฉงโหลวบนเมฆาไปกับข้า ส่วนกองกำลังอีกครึ่งออกเดินทางตอนนี้เลย แล้วคอยแฝงตัวอยู่บริเวณรอบ ๆ ตำหนักเป่ยหาน”
“ศึกครั้งนี้ไม่ว่ายังไงก็จะต้องช่วยเสี่ยวไป๋ออกมาให้ได้”
“ขอรับ!”
ณ ตำหนักเป่ยหาน ตอนนี้กู้ไป๋อีที่ไร้เรี่ยวแรง มองเป่ยกงจั๋วด้วยสีหน้าท่าทางที่ไร้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึก
เป่ยกงจั๋วกล่าว “หาน เจ้าเป็นผู้พ่ายแพ้ในเงื้อมมือของข้า เจ้ามีจุดยืนเช่นไรก็บอกข้ามาเลยดีกว่า เจ้าสู้ข้าไม่ได้ ไม่ว่าจะเรื่องอันใดก็ตาม”
กู้ไป๋อีไม่อยากจะมองหน้าเป่ยกงจั๋วแล้ว จึงหันไปทางอื่นก่อนจะกล่าวออกมาว่า “เหตุใดข้าจะต้องเปรียบเทียบกับเจ้าด้วย”
เป่ยกงจั๋วเห็นสีหน้าท่าทางกู้ไป๋อีเช่นนี้ก็กัดฟันกรอดด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ต้องมีสักวัน ข้าจะทำให้เจ้าคุกเข่าลงต่อหน้าข้า และขอร้องอ้อนวอนข้าให้ได้ ข้าจะทำให้เจ้าอิจฉาข้าในทุก ๆ เรื่อง หาน!” เป่ยกงจั๋วกล่าว
เขาเกลียดชังท่าทางเช่นนี้ของเป่ยกงหานมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรสีหน้าของเขาก็ยังคงไร้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึกอยู่ดี
ดูเหมือนว่าต่อให้เขาได้ครอบครองทุกอย่าง แต่ในสายตาของเป่ยกงหานเขาก็ไม่ได้มีความสำคัญอันใดเลยแม้แต่น้อย
ณ ลานกว้างของตำหนักเป่ยหาน ในวันนี้จะจัดการกับคนที่กล้าปลอมตัวเป็นหัวหน้าตำหนักเป่ยหานที่มาลอบสังหารหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน เมื่อได้เห็นร่างที่ถูกมัดอยู่กลางลานนั้นเข้า คนจำนวนมากต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น
นั่นมัน…นั่นมันไม่ใช่ท่านหัวหน้าตำหนักหรอกเหรอ
แต่เมื่อร่างในชุดขาวร่างหนึ่งปรากฏขึ้น แถมคนผู้นั้นยังมีพลังกดขี่ข่มเหงอันแข็งแกร่ง และมีความน่าเกรงขาม เช่นนั้นเขาก็คือท่านหัวหน้าตำหนัก!
หลังจากที่เห็นคนสองคนนี้แล้ว คนจำนวนมากต่างตกตะลึงพรึงเพริดนิ่งอึ้งไป!
“ท่านหัวหน้าตำหนัก ในเมื่อจับตัวคนผู้นั้นได้แล้ว เหตุใดถึงไม่ทำให้เขากลับไปหน้าเดิมล่ะขอรับ เขามีสิทธิ์อันใดมาใช้หน้าตาเช่นนี้ของท่านหัวหน้าตำหนักด้วย”
กู้ไป๋อีไม่ได้ปลอมตัวแต่อย่างใด เขาเกิดก่อน และควรจะกล่าวว่าเป่ยกงจั๋วต่างหากที่รูปร่างหน้าตาเหมือนเขา
เป่ยกงจั๋วกล่าว “วิธีการที่เขาปลอมตัวนั้นพิเศษมาก ไม่สามารถกำจัดได้ ช่างเขาเถอะ!”
“เรื่องเหล่านี้มันไม่ได้สำคัญ เรื่องสำคัญก็คือคนของหอหมอปีศาจมาแล้ว!”
“ข้ามาแล้ว! เป่ยกงจั๋ว!”
น้ำเสียงอันคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้น และทันใดนั้นท้องฟ้าก็พลันมืดครึ้มลง
หอฉงโหลวบนเมฆาปรากฏขึ้นอีกครั้ง ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ! ร่างหลายร่างกระโดดลงมาจากกลางอากาศ
พวกเขารับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าคนที่มู่เฉียนซีพามาด้วยนั้นจะเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดจำนวนมาก
แสงสลัววาบผ่านดวงตาของเป่ยกงจั๋ว หลังจากที่ถูกผู้พิทักษ์ปกป้องดินแดนจับตามอง เขาก็ไม่สามารถนำยอดฝีมือลงมาจากแดนซวนเทียนได้เลย
ศึกรบในคราก่อนเขาได้รับความเสียหายไปไม่น้อย แต่คนของมู่เฉียนซีเหล่านี้ก็เพียงพอแล้ว
เป่ยกงจั๋วกล่าว “เพื่อช่วยชีวิตหาน ซีเอ๋อร์ถึงกับต้องทำทุกทุกวิถีทางเลยหรือ? นึกไม่ถึงเลยว่าซีเอ๋อร์จะใช้ยาลูกกลอนเพิ่มพลังความแข็งแกร่งให้พวกเขา ทำเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับทำร้ายรากฐานเดิมของพวกเขา” เป่ยกงจั๋วกล่าววาจาประณามเช่นนี้ออกมา แต่เขาไม่รู้เลยว่าพลังความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมาของคนของมู่เฉียนซีนั้น ไม่ใช่กินยาลูกกลอนแล้วจะเพิ่มขึ้นมาได้ แต่ได้มาจากการฝึกบำเพ็ญต่างหาก