ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1502 องค์รัชทายาทตงหวง
ท่านปู่ตงหวงกล่าว “เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี! ข้าคิดอยู่แล้วเชียวว่าฉีเอ๋อร์ เจ้าจำผิด จะเกิดพลังสะท้อนกลับได้อย่างไรกันเล่า!”
“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้เลยนะ! ตอนที่ข้าต่อสู้กับคนของเผ่าคำสาปนั้น เจ้ายังไม่ทันได้เกิดเลย เรื่องราวที่ข้าเข้าใจนั้น ข้าไม่มีทางจำผิดแน่นอน เพียงแต่ว่าซีเอ๋อร์ของพวกเราไม่ใช่คนธรรมดาก็เท่านั้น” น้ำเสียงของนางนั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ทันทีที่มู่เฉียนซีตื่นขึ้นมา ก็เห็นสัตว์วิญญาณตัวน้อยที่เข้ามาใกล้ชิดนาง อีกทั้งยังมีสายตาของจิ่วเยี่ยที่ดูเป็นห่วงเป็นใยนางด้วย
สัตว์วิญญาณน้อยกระโดดขึ้นมาในมือของมู่เฉียนซี เมื่อเห็นนางตื่นขึ้นมา มันก็รู้สึกดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง
มู่เฉียนซีลูบมัน และมองไปที่ท่านปู่ตงหวงก่อนจะกล่าวว่า “ท่านปู่ตงหวง ข้าควรเรียกมันว่าอะไรเหรอ?”
จะเรียกว่าอะไรอย่างนั้นเหรอ แน่นอนว่าต้องเรียกว่า…
สัตว์วิญญาณน้อยแสยะมุมปากเล็กน้อย จู่ ๆ ตัวมันก็แดงก่ำไปทั้งตัว ไม่ได้ ๆ!
ช่างอับอายขายหน้ายิ่งนัก!
ท่านปู่ตงหวงก็รู้สึกเก้ ๆ กัง ๆ เป็นอย่างมาก “เอ่อ…ให้ข้าคิดดูก่อน”
“เช่นนั้นท่านปู่ก็รีบคิดเถอะ! ข้าคิดว่าหากเรียกสัตว์น้อยน่ารักตัวนี้ว่าท่านย่ามันก็จะดูแปลก ๆ ไปสักหน่อย”
ท่านปู่ตงหวงและเฟิงฉีเอ๋อร์ดวงตาเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจทันใด ท่านปู่ตงหวงกล่าว “ซีเอ๋อร์ เจ้า…เจ้า…เจ้า…เจ้ารู้แล้วอย่างนั้นเหรอ?”
“เจ้ารู้ได้ยังไง?” เฟิงฉีเอ๋อร์ก็ตกใจมากเช่นกัน
มู่เฉียนซีลุกขึ้นนั่งก่อนจะกล่าวว่า “ง่ายมาก พวกท่านดูสายตาของพวกท่านสิ นอกจากความรักแล้วยังจะมีสิ่งใดอีก”
“ท่านปู่! ท่านไปเสริมพลัง เสริมความแข็งแกร่งของร่างกายสักหน่อยเถอะ พวกท่านลองคิดดูให้ดี และต่อจากนี้ห้ามโกหกข้าอีก ต้องตอบตามความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา!”
มู่เฉียนซีกล่าวจบก็ถูกจิ่วเยี่ยอุ้มขึ้น และพานางตรงไปหาของกินที่ห้องอาหาร
ท่านปู่ตงหวงกล่าว “ฉีเอ๋อร์ หรือว่าเราจะหนีไปดี!”
“หากทำเช่นนั้น ซีเอ๋อร์ต้องกินพวกเราเป็นแน่”
“ซีเอ๋อร์ต้องเกลียดชังข้าแน่นอน นางต้องเสียใจทีหลังแน่นอนที่ช่วยข้า นางต้องเสียใจทีหลังแน่นอน นางต้อง…”
เมื่อนึกถึงเรื่องนั้น ท่านปู่ตงหวงก็รู้สึกกลัวขึ้นมา มีเพียงแค่ทางเดียวที่คิดออก นั่นก็คือการหลบหนี
“เจ้ามันปอดแหกยิ่งนัก การหลบหนีมันไม่ใช่ทางออก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ต้องรับให้ได้ เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้ว!” ท่านปู่ตงหวงก็เป็นคนกลัวเมียเช่นกัน ไม่ว่าภรรยาจะกล่าวสิ่งใดล้วนแต่ถูกต้องเสมอ ไม่อาจคัดค้านได้
“ไม่ต้องห่วงหรอก ซีเอ๋อร์นางเป็นคนดี”
ขณะเดียวกัน จิ่วเยี่ยก็ป้อนมู่เฉียนซีจนอิ่มหนำ นางกินยาลูกกลอนเข้าไปไม่น้อย ดื่มโอสถเข้าไปไม่น้อยเช่นกัน สีหน้าของนางตอนนี้ดีขึ้นมาก
ทันทีที่นางกลับมา ก็เห็นท่านปู่ตงหวงนั่งตัวตรง และมองดูสัตว์วิญญาณน้อยตัวนั้นด้วยท่าทีประหม่า
ท่านปู่ตงหวงกล่าว “ซีเอ๋อร์ นั่งเถอะ!”
“หลานเขย นั่งสิ!”
จิ่วเยี่ยให้มู่เฉียนซีเดินไปด้านหน้า มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ท่านปู่ตงหวง! ท่านอย่าได้ตื่นเต้นไปเลย พูดมาเถอะ!”
นางไม่ได้แซ่เดียวกัน เพราะในใจรู้ตัวตนของเขาอยู่แล้ว
ท่านปู่ตงหวงกล่าวว่า “ซีเอ๋อร์ อันที่จริงแล้วข้าไม่ได้มีแซ่ว่าตงหวง ข้าเกิดมาจากสายเลือดตระกูลมู่แห่งราชวงศ์ตงหวง ชื่อว่ามู่เหยี่ยน ข้าเป็นบุตรชายของอดีตฮ่องเต้ราชวงศ์ตงหวงคนก่อน เคยเป็นองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ตงหวงมาก่อน เพียงแต่ถูกปลดจากตำแหน่งไปแล้วก็เท่านั้น”
“ข้าเป็นคนไร้ประโยชน์ ทอดทิ้งลูก ทอดทิ้งหลาน และบุตรชายคนโตของข้าก็คืออมู่เฟิงอวิ๋น”
“ข้า…”
วิธีการบรรยายเรื่องเช่นนี้ มู่เฉียนซีรับไม่ค่อยได้ นางจึงเดินไปตรงหน้าท่านปู่ตงหวง เฟิงฉีเอ๋อร์กระโดดไปในอ้อมแขนของมู่เฉียนซีทันที
ช่างไม่รู้จักวิธีการพูดเอาซะเลย! นางร้อนอกร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว
มู่เฉียนซีเอายาลูกกลอนออกมาหลายเม็ดให้กับท่านย่าผู้น่ารักของนาง ตอนนี้ร่างกายของมันอ่อนแอมาก และยังไม่คงที่ ทำให้ตอนนี้ไม่อาจเปล่งเสียงกล่าววาจาใดออกมาได้!
ต้องเสริมพลัง ให้ความแข็งแกร่งอยู่ในระดับของสัตว์วิญญาณที่สามารถพูดได้ก็ดี
เฟิงฉีเอ๋อร์กัดกินยาลูกกลอนอย่างเอร็ดอร่อย มันอร่อยจริง ๆ หลังจากที่กินเข้าไปแล้วมันก็พบว่าพลังของมันพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ท่านปู่เองก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น “ซีเอ๋อร์ ฝืนบังคับให้พลังเพิ่มขึ้นเช่นนี้ มันจะไม่ส่งผลกระทบอันใดใช่หรือไม่!”
มู่เฉียนซีกล่าว “ท่านปู่วางใจได้ ไม่ส่งผลกระทบอันใดแน่นอน”
เฟิงฉีเอ๋อร์บอกกับท่านปู่ตงหวงผ่านกระแสจิตอีกครั้งว่า “เลือดของข้า ร่างกายของข้าดีขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ส่งผลกระทบอันใดหรอก เจ้าเอาแต่กังวลนู่น กังวลนี่อยู่ได้!”
หลังจากที่พลังแข็งแกร่งขึ้น เฟิงฉีเอ๋อร์จึงเปล่งเสียงออกมาว่า “ซีเอ๋อร์!”
“ซีเอ๋อร์! ซีเอ๋อร์ของข้า” นางตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
และผลลัพธ์ต่อจากนั้นก็คือ ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกคู่นั้นของจิ่วเยี่ยเคร่งขรึมลง เขากล่าวเสียงเย็นชาว่า “ซีเป็นของข้า!”
“ข้าพูดได้แล้ว ข้าพูดกับซีเอ๋อร์ได้แล้ว”
และท่านปู่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็ถูกเพิกเฉยไปเสียแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “เล่าเรื่องทุกอย่างให้ข้าฟังได้หรือไม่ เรื่องของพวกท่าน ท่านพ่อของข้า แล้วก็เรื่องของข้า”
เฟิงฉีเอ๋อร์กล่าว “เรื่องนี้มันยาว ต้องค่อย ๆ เล่า ซีเอ๋อร์เจ้าอดทนฟังหน่อยนะ”
“ราชวงศ์ตงหวงเป็นราชวงศ์ที่มีมานับหมื่นปี เป็นกองกำลังระดับห้าที่มีอำนาจมากในแดนซวนเทียน ตระกูลมู่แห่งราชวงศ์ตงหวงก็มีมานานนับหมื่นปี ในตระกูลมีอัจฉริยะที่น่าทึ่งอยู่ไม่น้อย”
“และแน่นอนว่าไม่ใช่ท่านปู่ของเจ้า! ท่านปู่ของเจ้ามีเสด็จพ่อที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนซวนเทียน แต่เขาได้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมาตั้งแต่กำเนิด พรสวรรค์ไม่มากแต่ก็ไม่น้อย”
“หากเป็นตระกูลคนธรรมดาก็นับว่าเป็นอัจฉริยะ แต่ในตระกูลมู่กลับไม่ใช่ มันธรรมดาเกินไป! ไม่อาจเทียบกับบุตรชายของตัวเองอย่างอารองของเจ้าได้เลย”
“แต่ถึงกระนั้นท่านปู่มู่เหยี่ยนของเจ้าก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เมื่อเติบโตขึ้นมาก็ออกไปฝึกฝนหาประสบการณ์ ต่อสู้กับสัตว์เทพที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างเผ่ากิเลนและทำพันธสัญญากัน ภายใต้การฝึกฝนอันทรหดของสัตว์เทพผู้ยิ่งใหญ่ เขาก้าวหน้าได้ไม่เลวเลย”
“แต่เขาต่อต้านคัดค้านการแต่งงานของตระกูล นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะหลงรักสัตว์เทพเข้า แม้ว่าตระกูลมู่จะไม่ได้สนใจความสัมพันธ์ในครอบครัว แต่ก็ยังต้องการรักษาความเป็นสายเลือดอยู่ สายเลือดมนุษย์ที่บริสุทธิ์เท่านั้น ที่ตรงตามมาตรฐานของตระกูลมู่”
“สุดท้าย เข้าจึงถูกปลดออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาท และถูกขับไล่ออกจากตระกูลมู่ในที่สุด”
ได้ยินเรื่องราวที่ผ่านมาของตนเองเช่นนี้ ท่านปู่มู่เหยี่ยนผู้นี้ก็ไม่ได้รู้สึกมีท่าทีเสียอกเสียใจเลย
สายตาของเขามองไปที่มู่เฉียนซีและเฟิงฉีเอ๋อร์ตลอดเวลา
จากนั้นท่านปู่มู่เหยี่ยนก็กล่าวว่า “ตอนแรกข้าเองก็ไม่ได้อยากเป็นองค์รัชทายาทหรอก และก็ไม่อยากเป็นผู้สืบทอดของราชวงศ์ตงหวงด้วย ข้าจึงไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจ”
มู่เฉียนซีมองไปที่สัตว์น้อยตัวนี้ เล็กกว่าอู๋ตี้มาก นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นสัตว์เทพเผ่ากิเลน
นางกล่าว “เช่นนั้นสัตว์เทพเผ่ากิเลนผู้นั้นก็คือท่านย่า มิน่าล่ะว่าทำไมอารองถึงได้ปลุกสายเลือดเผ่ากิเลนขึ้นมาได้ ที่แท้สายเลือดอีกครึ่งของอารองก็คือสายเลือดกิเลนนี่เอง”
ท่านปู่กับเฟิงฉีเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจผงะไปครู่หนึ่ง “เฟิงหลิงปลุกสายเลือดเผ่ากิเลนอย่างนั้นเหรอ?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ใช่! มีอันใดหรือเจ้าคะ?”
ท่านปู่กล่าว “ฉีเอ๋อร์คงจะเหนื่อยแล้ว เดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟังเอง!”
“แม้ว่าข้าจะถูกขับไล่ออกมาแล้ว แต่พลังของฉีเอ๋อร์แข็งแกร่งมากจึงไม่มีใครทำอะไรพวกเราได้ ช่วงเวลาเหล่านั้น พวกเราผ่านมาอย่างสุขสบาย”
“จนกระทั่งเฟิงอวิ๋นได้กำเนิดเกิดมา พรสวรรค์ และความรู้ความสามารถของเขาเป็นอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ของตระกูลมู่แห่งราชวงศ์ตงหวงแน่นอน ด้วยเหตุนี้เสด็จพ่อจึงรับตัวเขาและพวกเรากลับไป และแต่งตั้งให้เป็นทายาทคนต่อไป”
“เดิมทีที่สนใจแต่เรื่องสายเลือด แต่พรสวรรค์ของเฟิงอวิ๋นทำให้พวกเขาต้องยอม แต่พวกเขากลับปิดผนึกสายเลือดกิเลนเอาไว้ หลังจากที่เฟิงหลิงเกิดมา สายเลือดกิเลนของเขาก็ถูกปิดผนึกเช่นกัน ตามหลักเหตุผลแล้ว ไม่มีใครสามารถปลดผนึกนั้นได้นอกจากพวกเขาที่เป็นคนลงมือ”
มู่เฉียนซีตกใจนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ที่สามารถปลดผนึกได้ น่าจะเป็นเพราะยานิพพาน
ยานิพพานถือกำเนิดเกิดใหม่ แน่นอนว่าสามารถปลดผนึกสายเลือดได้
เฟิงฉีเอ๋อร์ยิ้มพลางกล่าวว่า “ปลดผนึกได้ก็ดีแล้ว อย่างไรเสียสายเลือดเผ่ากิเลนของข้าก็เป็นสายเลือดที่แข็งแกร่งมาก”
“สายเลือดเผ่ากิเลนเป็นสายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว แต่ข้าก็ยิ่งเป็นห่วงเฟิงหลิงมากขึ้นไปอีก อย่างไรเสีย…” ท่านปู่มีความกังวลเล็กน้อย
“เผ่าคำสาปช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!” เฟิงฉีเอ๋อร์กัดฟันกรอดพลางกล่าว
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “คำสาปในร่างของท่านย่าก็เป็นฝีมือของเผ่าคำสาปอย่างนั้นเหรอเจ้าคะ?”