ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1542 เจ็ดรุมหนึ่ง
มู่เฉียนซีกล่าว “ช้าเกินไป!”
ร่างของมู่เฉียนอันตรธานหายไปต่อหน้าหวังเจี้ยนก่อนที่หวังเจี้ยนจะรู้สึกตัว
“ทักษะโยวจั๋ว!”
ตูม!
ตูม!
เสียงระเบิดสองเสียงดังขึ้นเกือบจะพร้อมๆ กัน เสียงแรกคือเสียงการโจมตีจากกระบี่เล่มนั้นของหวังเจี้ยน
ส่วนอีกเสียงก็คือเสียงกระบี่ของหวังเจี้ยนที่ตกลงบนพื้น
พรวด! หวังเจี้ยนกระอักเลือดคำโตออกมา
ทุกคนมองร่างที่อยู่บนลานประลองนั้นด้วยความตกใจ จริงเหรอ…จัดการได้ภายในกระบวนท่าเดียวจริง ๆ เหรอนี่
“ทักษะร่างของนางช่างรวดเร็วยิ่งนัก!”
“ทักษะวิญญาณนั่นแข็งแกร่งมาก ซ่อนเร้น รวดเร็ว ช่างเป็นทักษะวิญญาณที่แข็งแกร่งมากจริง ๆ”
“สำนักลั่วเยว่เอาอัจฉริยะเช่นนี้มาจากที่ใดกัน”
หวังเจี้ยนลุกขึ้นมาด้วยความยากลำบาก “ข้า ข้ายัง…”
ตุบ!
เขาล้มลงไปอีกครั้งและกระอักเลือดออกมาอีกรอบ ทักษะโยวจั๋วทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ เขาจะมีแรงต่อสู้ต่อได้อย่างไรกันเล่า
“ใครก็ได้ ไปเชิญปรมาจารย์หวงมาหน่อย หวังเจี้ยน อยู่นิ่ง ๆ ก่อน อย่าเพิ่งขยับตัว”
ท่านเจ้าสำนักดูออกว่าหวังเจี้ยนได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจขยับตัวมั่วซั่วได้ ดังนั้นจึงเชิญนักปรุงยามาดูอาการก่อน
เมื่อปรมาจารย์หวงมาถึง ก็ได้เห็นคนผู้หนึ่งที่ชีวิตนี้เขาไม่อาจจะลืมได้ ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง เขาก็รู้สึกแทบอยากจะก้าวเท้าวิ่งหนีไปทันที
การประลองเล็ก ๆ ในครั้งนี้ ผู้วิปริตผู้นี้มาทำไมกัน
นางคงไม่ได้มารังแกคนอื่นหรอกกระมัง
“ท่านอาจารย์ เป็นอะไรไปขอรับ?” ศิษย์ผู้ติดตามของปรมาจารย์หวงกล่าวถาม
หลังจากที่กลับมาในครั้งนั้น ศิษย์ที่กล้าถอดเสื้อผ้าของเขาเหล่านั้นได้ถูกเขาขับไล่ออกไปหมดทุกคนแล้ว และเขาก็ได้รับศิษย์ชุดใหม่เข้ามา!
ปรมาจารย์หวงกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ไม่มีอะไร ไปดูอาการเขาเถอะ!”
ในขณะที่เดินมาข้างกายมู่เฉียนซี เขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นเล็กน้อย หลังจากที่สั่งให้คนนำตัวหวังเจี้ยนออกไป เขาก็รีบจากไปทันที
ยังดี ยังอยู่ครบ!
มู่เฉียนซีกำจัดคู่ต่อสู้ได้ภายในกระบวนท่าเดียว สิ่งนี้ทำให้คนอื่นตกใจเป็นอย่างมาก
“นึกไม่ถึงเลยว่าพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหนึ่งจะแข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้ ข้าจะประลองฝีมือกับเจ้าเอง ข้าจ้าวฉวน ศิษย์วังกุ้ยหยวน”
ศิษย์วังกุ้ยหยวนคนหนึ่งเดินย่างเท้าขึ้นไปบนลานประลอง
มู่เฉียนซีกล่าว “ไม่มีปัญหา!”
หลังจากได้ประกาศเริ่มการประลองขึ้น จ้าวฉวนก็ลงมือทันที!
ในขณะที่เขาลงมือเคลื่อนไหว ร่างกายของเขาก็ถูกสายฟ้าห่อหุ้ม ทำให้ความเร็วของเขานั้นรวดเร็วขึ้นกว่าเดิมมาก
สาเหตุที่เขาอยากจะประลองกับมู่เฉียนซีนั้น ก็เป็นเพราะว่าเขาอยากจะประลองความเร็วกับมู่เฉียนซีนั่นเอง
เขาเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุอัสนี การฝึกฝนทักษะร่างทำให้ความเร็วของเขารวดเร็วดุจดั่งสายฟ้า
เผชิญหน้ากับคนที่ร่างกายห่อหุ้มไปด้วยสายฟ้าเช่นนี้ มู่เฉียนซีไม่เพียงแต่ไม่หลบหลีก แต่ยังตอบโต้กลับไปอีกด้วย
“ช่างเย่อหยิ่งยิ่งนัก! คู่ต่อสู้มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งกว่านาง สายฟ้าบนร่างจ้าวฉวนนั้นหากกระทบเข้ากับร่างของคนแล้วละก็ มีหวังต้องเจ็บปวดมากแน่นอน”
“หญิงสาวผู้งดงามเช่นนี้ หากโดนสายฟ้านั่นเข้า คงจะเสียของน่าดู”
“……”
ปัง! เมื่อมู่เฉียนซีกระแทกกับสายฟ้านั้นแล้ว นางกลับไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
สายฟ้าเพียงเท่านี้ สำหรับนางแล้วก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น!
จ้าวฉวนเห็นเช่นนี้ก็ตกตะลึงนิ่งอึ้งไป นี่มันไม่ปกติแล้ว! เหตุใดนางถึงไม่เป็นอะไรเลย
มู่เฉียนซีกล่าว “กำลังประลองอยู่นะ มัวแต่ยืนอึ้งอยู่ทำไมกันเล่า”
“มังกรวารีพิฆาต!”
อุณหภูมิบนลานประลองพลันลดต่ำลง
ปัง! จ้าวฉวนถูกโจมตีจนร่างกระเด็นลอยออกไปจากลานประลอง
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “ยังมีใครต้องการท้าประลองกับข้าอีกหรือไม่ หากไม่มีข้าจะลงไปแล้วนะ”
ทุกคนหันมองหน้ากันด้วยความตกใจ หลังจากที่ได้เห็นความแข็งแกร่งของนางแล้ว ใครจะกล้าหาเรื่องใส่ตัวกันเล่า
เจ้าสำนักวารีเมฆาที่เดิมทีภาคภูมิในสำนักของตัวเองมาก ตอนนี้สีหน้าของเขาดำคล้ำขึ้นแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าเพิ่งจะเปิดการประลองก็ถูกสำนักลั่วเยว่เล่นงานจนย่อยยับเช่นนี้
ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!
สำนักลั่วเยว่ซ่อนความแข็งแกร่งได้อย่างลึกลับมาก มีศิษย์เช่นนี้อยู่ นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะไม่รู้เรื่องนี้
อันที่จริงแล้วไม่ใช่เพราะสำนักลั่วเยว่ซ่อนได้อย่างลึกลับหรอก แต่เป็นเพราะว่ามู่เฉียนซีโดดเด่นเร็วเกินไป ทำให้พวกเขาไม่ทันตั้งตัว
ในขณะที่มู่เฉียนซีกลับมาถึงที่นั่ง ศิษย์สายตรงของทั้งสามสำนักก็มองนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
แข็งแกร่งยิ่งนัก!
ต่อมาสำนักวารีเมฆาก็หาเรื่องจะท้าประลองกับศิษย์สำนักลั่วเยว่อีก
พวกเขาไม่กล้าท้าประลองกับมู่เฉียนซี ดังนั้นจึงท้าประลองกับศิษย์พี่ทั้งสามคน
พวกเขาลงมือได้อย่างโหดร้ายมาก ศิษย์พี่ทั้งสามคนนั้นพ่ายแพ้ไปสอง ส่วนอีกคนก็พยายามสู้อย่างสุดชีวิต แต่ก็ทำได้เพียงเสมอเท่านั้น
ในที่สุดก็คว้าชัยชนะกลับมาได้แล้ว สีหน้าของสำนักวารีเมฆาดีขึ้นมาไม่น้อย
มู่เฉียนซีเอายาลูกกลอนออกมาพลางกล่าว “ศิษย์พี่ทั้งสามพักก่อนเถอะ สนามต่อไปมอบให้เป็นหน้าที่ของข้ากับศิษย์พี่ฉู่หลีก็แล้วกัน”
พวกเขากล่าว “พวกเราทำให้สำนักลั่วเยว่ต้องอับอายขายหน้าแล้ว”
ผู้อาวุโสเจ็ดกล่าว “วันนี้พวกเจ้าทำได้ดีมากแล้ว แม้จะยังมีอีกหลายจุดที่ต้องฝึกฝน แต่ข้าก็ไม่เคยอับอายต่อความพ่ายแพ้ของพวกเจ้าเลย”
“อีกอย่าง วันนี้สำนักวารีเมฆาไม่มีทางชนะได้แน่นอน”
มู่เฉียนซีมองไปที่ศิษย์ของสำนักวารีเมฆา และกล่าวว่า “ข้าจำได้ว่าสำนักลั่วเยว่ยังไม่ได้ท้าประลอง”
เจ้าสำนักวารีเมฆากล่าว “ถูกต้อง! เจ้าต้องการท้าประลองผู้ใด?”
อย่างไรเสียสำนักวารีเมฆาก็เป็นเจ้าภาพ คนของพวกเขาย่อมมีมากอยู่แล้ว
รวมหวังเจี้ยนผู้ที่นางเอาชนะไปได้ในก่อนหน้านี้แล้ว พวกเขาก็มีกันทั้งสิ้นถึงแปดคน และตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่เจ็ดคนเท่านั้น
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าลงมือกับสำนักวารีเมฆาแบบยั้งมือไว้ไมตรี แต่สำนักวารีเมฆาไม่ยั้งมือไว้ไมตรีต่อสำนักข้าเลย จากนี้ไปข้าก็จะไม่ยั้งมือไว้ไมตรีแล้วเช่นกัน! ท่านเจ้าสำนักวารีเมฆาเตรียมตัวให้พร้อมด้วย”
เจ้าสำนักวารีเมฆามองมู่เฉียนซีด้วยสีหน้าดุดัน นึกไม่ถึงเลยว่าสาวน้อยผู้นี้จะกล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับเขา
เจ้าสำนักวารีเมฆายิ้มพลางกล่าวว่า “ทุกคนก็ล้วนแต่พยายามอย่างสุดกำลังความสามารถกันทั้งสิ้น การลงมือหนัก ๆ เช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากจะควบคุมได้ เส้นทางในการฝึกฝนนั้นมันไม่ได้ราบรื่นเสมอไป การประลองอย่าให้ถึงกับชีวิตก็นับว่าเพียงพอแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าว “ที่เจ้าสำนักวารีเมฆากล่าวมาก็ถูก”
มู่เฉียนซีมองไปที่พวกเขา ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าขอท้าประลองกับเขา เขา แล้วก็เขา…”
มู่เฉียนซีเลือกท้าประลองกับศิษย์ทั้งเจ็ดของสำนักวารีเมฆา เจ้าสำนักวารีเมฆาจึงกล่าวถามว่า “เจ้าเตรียมจะต่อสู้อย่างต่อเนื่องอย่างนั้นเหรอ?”
ต่อสู้ติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง ต่อให้มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งมากเพียงใดก็ต้องหมดลง
ตราบใดที่พวกเขาใช้กลยุทธ์ต่อสู้ ทำให้นางสูญเสียพลังวิญญาณและพลังจิตไป พวกเขาก็จะคว้าชัยชนะมาได้
หากสามารถทำให้สาวน้อยผู้นี้บาดเจ็บได้มาก พวกเขาก็จะทำ ยิ่งทำให้นางกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปได้ก็ยิ่งดี
สาวน้อยผู้นี้ดู ๆ ไปแล้วอายุคงยังไม่ถึงยี่สิบปีเป็นแน่ แต่กลับแข็งแกร่งมาก และรับมือได้ยากอย่างยิ่ง!
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะต่อสู้แบบติดต่อกัน!”
เจ้าสำนักวารีเมฆาได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ทว่า มู่เฉียนซีกลับกล่าวต่อว่า “แต่ข้าหมายความว่าจะประลองเจ็ดต่อหนึ่งต่างหาก! นับว่าเป็นการท้าประลองเจ็ดครั้งในคราเดียวของสำนักลั่วเยว่เลยก็แล้วกัน”
เจ็ดรุมหนึ่ง!
ทุกคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจพลางจ้องมองไปที่มู่เฉียนซี นี่พวกเขาไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่?
บ้าไปแล้ว!
หั่วห้าวหยู่ที่รู้ถึงความแข็งแกร่งของมู่เฉียนซีได้ยินเช่นนี้ก็ตื่นเต้นขึ้นทันที “เฉียนซี เจ้าแข็งแกร่งเกินไปแล้ว! ฮ่า ๆ ๆ!”
ปรมาจารย์หวงก็รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นแล้วเช่นกัน ไม่ต้องประลอง เขาก็รู้แล้วว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร
อย่าว่าแต่เจ็ดคนเลย ต่อให้เพิ่มมาอีกเจ็ดคนก็ใช่ว่าจะเอาชนะคนวิปริตผู้นี้ได้
เขาก็ได้ยินแผนการของท่านเจ้าสำนักแล้ว แต่สำนักวารีเมฆาเผชิญหน้ากับผู้วิปริตเช่นนี้ ไม่มีทางเอาชนะได้แน่นอน
แม้แต่ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งสำนักลั่วเยว่เองก็ตกตะลึงขึ้นเช่นกัน เขากล่าว “ฉู่หลี! เจ้า…เจ้าแน่ใจนะว่าศิษย์น้องหญิงของเจ้าจะไม่เป็นอะไร”
ฉู่หลีกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “นางแข็งแกร่งอยู่แล้ว”
เขามองนางเพียงแวบแรกก็รู้แล้ว!
“ต่อให้แข็งแกร่ง แต่เจ็ดรุมหนึ่งเช่นนี้มันก็ยากนะ! อีกอย่างเจ็ดคนนั่นก็มีพลังเหนือกว่านางทุกคน”
มู่เฉียนซีมีพลังเพียงขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหนึ่งเท่านั้น คาดว่าเป็นพลังที่ต่ำที่สุดในพวกเขาแล้ว ทว่าเมื่อนางเผยกำลังในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งออกมา ทุกคนก็เพิกเฉยต่อระดับขั้นพลังวิญญาณของนางไป และเมื่อมาคิดดูอีกที นางมีพลังเพียงแค่ขั้นมหาจักรพรรดิระดับหนึ่งเท่านั้น แต่กลับแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก!
.