ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1548 อับอายขายขี้หน้า
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ
ปรมาจารย์หวงกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มสู้ “ข้าเองก็กำลังจะไปคลังยาอยู่พอดี เช่นนั้นเจ้าก็ตามข้ามา!”
“ปรมาจารย์หวง ท่านมาคลังยาด้วยเหตุอันใดอีก?”
“ท่านต้องการสิ่งใดหรือไม่?”
“ท่านสามารถเข้าไปได้ แต่สองคนนี้คือผู้ใดกัน?”
มู่เฉียนซีและจิ่วเยี่ยไม่ได้เร้นกายแต่อย่างใด
ปรมาจารย์หวงกล่าว “นี่คือ…”
ขณะที่เขากำลังคิดหาข้ออ้างมาอธิบาย ปรากฎว่าเขาก็ได้ยินเสียง ปัก ปัก! แว่วดังมา มู่เฉียนซีได้วางยาสลบคนของคลังยาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “แค่นี้ก็เข้าไปได้แล้ว”
“อืม!”
เมื่อเข้าไปข้างในแล้ว มู่เฉียนซีก็เริ่มทำการเสาะหาและรีดไถสมุนไพรวิญญาณจากสำนักวารีเมฆาในทันที
ถึงแม้ปรมาจารย์หวงพอจะคาดเดาสถานการณ์ได้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ทว่าเมื่อได้มาเห็นพฤติกรรมที่ป่าเถื่อนของมู่เฉียนซีด้วยตาตัวเองแล้ว เขาก็ยังคงตกตะลึงอยู่ไม่คลาย
“ไหนจะสวนสมุนไพรอีก ไปกันเถอะ!”
ปรมาจารย์หวงกล่าว “ตอนนี้ปรมาจารย์หลิว นักปรุงยาอันดับหนึ่งของสำนักวารีเมฆาอยู่ที่นั่น เกรงว่า…”
“เขามีพลังแกร่งกล้ารึ?” มู่เฉียนซีเอ่ยถาม
“แกร่งกล้าน้อยกว่าท่านเจ้าสำนักและท่านผู้อาวุโสเล็กน้อยเท่านั้น”
เดิมทีเขาคิดว่ามู่เฉียนซีคงจะละความพยายามไปเอง ทว่าไม่คิดไม่ฝันเลยว่านางจะไร้เดียงสาถึงเพียงนี้
มู่เฉียนซีนำเข็มยามาวางใส่มือของปรมาจารย์หวงหนึ่งเล่มแล้วกล่าว “คงไม่ต้องให้ข้าชี้แนะท่าน ท่านก็น่าจะรู้ว่าควรทำเช่นไร!”
เขาไม่รู้?
ทว่าปรมาจารย์หวงก็ไม่กล้าเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกไป และทำได้เพียงพยักหน้าด้วยความเคร่งขรึมเท่านั้น
สุดท้ายแล้วปรมาจารย์หวงก็จำต้องลอบจัดการปรมาจารย์หลิวภายในสวนสุมนไพร และเขาก็ทำได้สำเร็จอีกด้วย
ส่วนมู่เฉียนซีนั้น แน่นอนว่านางก็ต้องเริ่มเก็บเกี่ยวสมุนไพรวิญญาณในทันที
อย่างไรเสียสำนักวารีเมฆาก็นับว่าเป็นสำนักนิกายระดับสามที่แกร่งกล้าไม่เบา สมุนไพรวิญญาณที่สำรองไว้ก็นับว่าไม่เลวเช่นกัน
เมื่อเก็บสมุนไพรวิญญาณเรียบร้อยแล้วนั้น มู่เฉียนซีจึงตบมือพลางกล่าว “จิ่วเยี่ย พวกเราไปกันเถอะ!”
เมื่อมู่เฉียนซีกลับออกไปแล้ว ปรมาจารย์หวงเองก็เตรียมที่จะเก็บข้าวของเพื่อที่จะหลบหนีไปเช่นกัน!
เมื่อสำนักวารีเมฆาได้ยั่วโทสะของเจ้าปีศาจน้อยนั่นแล้ว หลังจากนี้ก็คงจะต้องประสบแต่ความอับโชคเป็นแน่ หากเขายังอยู่ที่นี่ต่อไป คงมิวายพลอยเดือดร้อนไปด้วย!
เมื่อเจ้าสำนักวารีเมฆาเพิ่งกลับมาจากการช่วยคนของตน ผลปรากฎว่า…
“ท่านเจ้าสำนัก เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วขอรับ”
“คลังสมบัติของสำนักถูกขโมยไปขอรับ”
“คลังยาก็ถูกขโมยเช่นกัน!”
“สมุนไพรวิญญาณในสวนสมุนไพรถูกถอนไปจนหมดเลยขอรับ”
เจ้าสำนักวารีเมฆารู้สึกโกรธเป็นอย่างยิ่ง “ไปสืบมาให้ข้า! ไปสืบมาว่าผู้ใดเป็นคนขโมยไป? ข้าจะจับมันมาทรมานให้สาสม!”
เดิมทีเจ้าสำนักวารีเมฆาก็รู้สึกตื่นเต้นกับการที่เขาสามารถบุกทะลวงพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเก้าได้ และมันก็ควรจะต้องรู้สึกตื่นเต้นจึงจะถูก แต่ผลปรากฎว่าเขาต้องประสบพบเจอกับเรื่องที่ไม่เป็นดั่งใจคิดติดต่อกันหลายครั้งหลายครา มาบัดนี้ สำนักของเขายังถูกบุกปล้นจนไม่เหลือหลออีก
“ขอรับ!”
มู่เฉียนซีกลับมาพร้อมกับสิ่งของต่าง ๆ มากมาย ครั้นกลับมาถึงสำนักได้ครู่หนึ่งแล้ว ฉู่หลีจึงจะปรากฎตัว
ครั้นเพิ่งจะรวบรวมความกล้าได้ และเตรียมจะเข้าไปเคาะประตูห้องมู่เฉียนซี ปรากฎว่ากลับมีบุรุษชุดดำท่าทางน่าเกรงขามเดินออกมาแทน
จิ่วเยี่ยกล่าวเตือน “อยู่ให้ห่างซีเข้าไว้”
ฉู่หลีกล่าว “นางเป็นศิษย์น้องของข้า!”
ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกของจิ่วเยี่ยค่อย ๆ จับตัวกันกลายเป็นน้ำแข็ง ฉู่หลีก้าวถอยหลังมาเล็กน้อย “เจ้าเป็นใคร?”
เขาไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าแดนซวนเทียนจะมีบุคคลเช่นนี้อยู่ด้วย
“แล้วเจ้าเล่าเป็นผู้ใด? วิญญาณที่แตกสลาย” จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาเต็มประดา
เมื่อทั้งสองต้องประจันหน้ากัน ฉู่หลีก็เลือกที่จะผละตัวออกมา เขาเองก็ไม่รู้ว่า ที่สุดแล้วตนเองนั้นเป็นใคร?
เมื่อได้รับสมุนไพรวิญญาณมาเป็นจำนวนมาก มู่เฉียนซีก็เริ่มเร่งให้หลุนหุยกลั่นยาอายุวัฒนะ ข่าวคราวที่โม่ซวนส่งมาความว่า การค้าขายของหอหมอปีศาจรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง สามารถดึงดูดนักปรุงยาได้ไม่น้อย ตอนนี้คลังยาลูกกลอนว่างเปล่าไม่หลงเหลือยาแล้ว
เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด นางมีสมุนไพรวิญญาณมากพอ ประเดี๋ยวค่อยส่งไปให้หลุนหุยจัดการ เพียงเท่านี้ก็สิ้นเรื่อง
ส่วนยาลูกกลอนระดับที่ค่อนข้างสูงขึ้นมาสักหน่อย มู่เฉียนซีก็จะลงมือปรุงยาด้วยตัวเอง
หากหอหมอปีศาจสามารถเจริญรุ่งเรืองในอาณาจักรหนานหลิงอย่างรวดเร็วได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องดียิ่ง
ครั้นฉู่หลีได้มาหามู่เฉียนซีอีกครา ก็เป็นเวลาที่จะไปบุกซากปรักหักพังหนานหลิงแล้ว ซากปรักหักพังของสถานที่แห่งนี้มีมรดกโบราณของสุสาน สนามรบที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน ไม่แน่ก็อาจจะพบเจอสิ่งของดี ๆ เข้าก็ได้
และแน่นอนว่ามู่เฉียนซีไม่มีทางพลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน อีกอย่างครั้งนี้นางก็เป็นผู้นำของสำนักทั้งห้าอีกด้วย
ก่อนที่จะทำการบุกซากปรักหักพังหนานหลิง ผู้ที่ทางสำนักอื่น ๆ เลือกไว้ ก็ได้ทยอยเดินทางมารวมตัวกันที่สำนักลั่วเยว่แล้ว
เจ้าสำนักวารีเมฆานั้นไม่ยินยอม!
“ข้าจะมีพวกเจ้าไว้ทำอะไร เจ้าพวกไร้ประโยชน์ ให้มู่เฉียนซีนำพวกเจ้าเช่นนี้ ถึงยามนั้นของดี ๆ ก็ล้วนตกเป็นของมู่เฉียนซีทั้งหมด หากจะให้พวกเจ้าสังหารมู่เฉียนซี ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีก”
พวกเขาทำได้เพียงก้มหน้าก้มตา น้อมรับคำด่าทอจากเจ้าสำนักวารีเมฆาแต่โดยดี!
เจ้าสำนักวารีเมฆามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า เรื่องที่สำนักของเขาถูกบุกปล้น จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับมู่เฉียนซีอย่างแน่นอน
การที่ไม่ได้ปลิดชีพเหล่าผู้อาวุโส แล้วปล่อยให้เหล่าผู้อาวุโสส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือเช่นนี้ เป็นกลยุทธ์ล่อเสือออกจากถ้ำ
“ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?” น้ำเสียงอ่อนหวานแว่วดังขึ้นจากเบื้องหลัง
เจ้าสำนักวารีเมฆาชะงักงันไปเล็กน้อย เขาทอดมองไปยังสตรีร่างระหงส์ในชุดกระโปรงยาวสีเขียวมรกตท่าทางอ่อนหวานผู้นั้น แล้วกล่าว “โหรวเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร? เจ้าไม่ได้บำเพ็ญอยู่ที่สำนักหลินเยว่หรอกรึ?”
สุ่ยโหรวเป็นบุตรสาวของเจ้าสำนักวารีเมฆา ด้วยความสามารถของนาง จึงเป็นที่เข้าตาของสำนักนิกายระดับสี่ และได้เป็นศิษย์ของสำนักนิกายระดับสี่เช่นกัน นางเป็นความภาคภูมิใจของเจ้าสำนักวารีเมฆามาโดยตลอด
สุ่ยโหรวกล่าว “ข้าออกมาปฏิบัติภารกิจเจ้าค่ะ ได้ข่าวว่าซากปรักหักพังหนานหลิงกำลังจะเปิดในไม่ช้า ดังนั้นข้าจึงมาเยี่ยมเยียนท่านพ่อสักหน่อย หากต้องการความช่วยเหลือ ข้าก็สามารถนำกำลังคนไปคุ้มกันบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องได้”
“แต่ดูเหมือนท่านพ่อจะอารมณ์ไม่ดี ท่านพ่อมีเรื่องลำบากใจอันใดหรือไม่เจ้าคะ?”
เมื่อบุตรสาวผู้รู้ใจกลับมาเยี่ยมเยียน เจ้าสำนักวารีเมฆาจึงเริ่มระบายความคับแค้นใจให้สุ่ยโหรวฟังในทันที เขาได้เล่าการกระทำอันหยาบช้าของมู่เฉียนซีออกไปจนหมดสิ้น
สุ่ยโหรวกล่าว “เพียงแค่เด็กสาวตัวเล็ก ๆ ของสำนักนิกายระดับสามคนหนึ่ง อาศัยพลังเล็ก ๆ น้อย ๆ และศิษย์พี่ฝีมือฉกาจคนหนึ่ง กลับกล้ากำเริบเสิบสานไม่เกรงกลัวฟ้าดินถึงเพียงนี้เชียวรึ นางทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”
เจ้าสำนักวารีเมฆากล่าว “ครานี้มู่เฉียนซีก็เป็นผู้นำ นางไม่มีทางดำเนินไปตามครรลองคลองธรรมเป็นแน่ นางจะต้องทำร้ายบรรดาลูกศิษย์ของสำนักเราอย่างไม่ต้องสงสัย ข้าไม่สบายใจเอาเสียเลย!”
สุ่ยโหรวกล่าว “ท่านพ่อ ท่านวางใจเถิด! ครั้งนี้ข้าจะไปเอง! ข้าจะปกป้องศิษย์พี่ศิษย์น้องของเราให้ปลอดภัยให้จงได้”
“เช่นนั้นก็ลำบากเจ้าแล้ว!”
จากนั้นสุ่ยโหรวก็นำบรรดาสิทธิ์สำนักวารีเมฆาเดินทางไปยังสำนักลั่วเยว่
สำนักนิกายระดับต่าง ๆ ทุก ๆ สำนักมีสิทธิ์เพียงสิบสิทธิ์เท่านั้น บัดนี้สำนักลั่วเย่วได้มาถึงแล้วแปดคน ยังขาดอีกสองคน!
และสองคนนั้นก็จะเป็นผู้ใดไปไม่ได้ นอกจากมู่เฉียนซีและฉู่หลี
ศิษย์พี่ของสำนักวารีเมฆาผู้นี้ไม่เคยปรากฏตัวต่อศิษย์คนอื่น ๆ ในสำนักมาก่อน ทำให้ศิษย์คนอื่น ๆ อดที่จะเหลือบมองไม่ได้
สุ่ยโหรวสนทนากับผู้อื่นด้วยความอ่อนหวาน ทำให้ทุก ๆ คนมีความรู้สึกที่ดีต่อนางไม่น้อย
สุ่ยโหรวกวาดสายตาไปยังคนของสำนักลั่วเยว่กลุ่มนั้นแล้วกล่าว “เหตุใดจึงไม่เห็นแม่นางมู่เลยล่ะ?”
ท่านผู้อาวุโสกล่าว “อีกประเดี๋ยวแม่นางมู่ก็มาแล้ว”
“ตอนนี้ทุก ๆ คนก็มากันครบแล้ว ขาดแต่เพียงแม่นางมู่ที่ยังมาไม่ถึง ทำให้ทุก ๆ คนต้องรอนาน”
หั่วห้าวหยู่กล่าว “ฮ่า ฮ่า! ไม่เป็นไรหรอก ยังไม่ถึงเวลาเสียหน่อย?”
“ใช่แล้ว! พวกเราต่างหากที่มาก่อนเวลา รออีกสักหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”
“……”
คำตอบของทุก ๆ คนเกินกว่าสิ่งที่สุ่ยโหรวคาดคิดไว้มาก
นอกจากคนของสำนักวารีเมฆาแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดไม่พอใจกับการมาสายของมู่เฉียนซีแม้แต่ผู้เดียว
หากนางได้พบเห็นความน่าเกรงขามของมู่เฉียนซีในงานเลี้ยงค่ำคืนนั้นแล้ว นางก็จะเข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาจึงยินดีที่จะรั้งรอโดยไม่ปริปากบ่น
ในใต้หล้านี้ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับความเคารพ และมู่เฉียนซีก็เป็นผู้มากความสามารถที่พวกเขาให้ความเคารพนับถืออีกคนหนึ่ง
ไม่นานนักเงาสีม่วงและสีขาวก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้าบรรดาศิษย์จากสำนักต่าง ๆ ใบหน้างามสะคราญสมบูรณ์แบบ ท่าทางที่สง่างามสูงส่ง มองจากภายนอกแล้วก็พบว่าอายุอานามของดรุณีผู้นี้คงยังไม่ถึงยี่สิบปีเป็นแน่ ทว่ากลับทำให้สุ่ยโหรวรู้สึกอับอายขายขี้หน้าอย่างอธิบายไม่ถูก
.
.