ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1550 พูดมากเกินไป
ก่อนที่ซากปรักหักพังหนานหลิงจะเปิด เพื่อเป็นการจัดระเบียบความเรียบร้อยของเมืองโบราณหนานหลิง ไม่อนุญาตให้ศิษย์สำนักต่าง ๆ ต่อสู้รบราฆ่าฟันกันเอง
และเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ทันทีที่มู่เฉียนซีตะโกนออกไปก็มีผู้ยุติธรรมเที่ยงตรงไม่ไว้หน้าผู้ใดทั้งสิ้นปรากฏตัวขึ้นขวางหน้าจีซานเหนียงไว้
“หลังจากที่เข้าไปในซากปรักหักพังแล้ว พวกเจ้าจะรบราฆ่าฟันกันเช่นไรก็เรื่องของพวกเจ้า แต่อยู่ในเมืองโบราณหนานหลิง ต้องทำตามกฎรักษาการของเมืองเท่านั้น”
จีซานเหนียงทำเสียงฮึดฮัดออกจากทางจมูกด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ต้องกล่าวออกไปว่า “ข้าเข้าใจแล้ว!”
นางมองมู่เฉียนซีด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว พลางกล่าว “เจ้า! ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
เหตุการณ์นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบใดต่อมู่เฉียนซี นางจึงเดินเลือกซื้อของต่อ
หนึ่งวันก่อนที่ซากปรักหักพังหนานหลิงจะเปิดขึ้น มู่เฉียนซีได้เรียกศิษย์ร่วมสำนักทั้งแปดคนของสำนักลั่วเยว่มารวมตัวกัน
มู่เฉียนซีกล่าว “หัวหน้ากลุ่มนั่น คือคนที่เจ้าสำนักวารีเมฆาตัดสินให้เป็นเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของเขาในตอนนั้น แต่ข้าจะเป็นผู้นำของสำนักวารีเมฆาเอง”
“ยาลูกกลอนเหล่านี้พวกเจ้าเก็บเอาไว้ สถานการณ์ด้านในพวกเราไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันอันตรายมากเพียงใด ยาลูกกลอนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และห้ามประหยัดเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
“นี่มัน…”
“พระเจ้าช่วย!”
“ศิษย์น้องมู่ นี่เจ้าเอายาลูกกลอนมากมายเหล่านี้มาจากที่ใดกัน หรือว่าเจ้าไปปล้นหอหมอปีศาจนั่นมา”
เหล่าบรรดาศิษย์พี่แห่งสำนักลั่วเยว่เหล่านี้ ล้วนแต่เบิกตากว้างจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยความตกใจ มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกขึ้นเล็กน้อย
จะเอายาลูกกลอนจำเป็นต้องปล้นหอหมอปีศาจด้วยเหรอ ยาลูกกลอนในหอหมอปีศาจส่วนมากก็มาจากนางทั้งสิ้น
มู่เฉียนซีกล่าว “ไม่ต้องถามมากหรอก รักษาชีวิตเป็นสำคัญ”
ต่อมามู่เฉียนซีก็เตรียมยาลูกกลอนส่วนหนึ่งให้กับหั่วห้าวหยู่ จากนั้นก็ไปเคาะประตูห้องฉู่หลี
“ศิษย์น้องหญิง” ไม่ต้องเอ่ยปากเรียกแต่อย่างใด ฉู่หลีก็รู้แล้วว่าเป็นมู่เฉียนซี
มู่เฉียนซีกล่าว “ศิษย์พี่ ข้าเข้าไปได้หรือไม่?”
ฉู่หลีได้ยินเช่นนี้ตกใจนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปนั่งริมหน้าต่างด้วยสีหน้าเรียบเฉย และกล่าวว่า “อืม!”
มู่เฉียนซีผลักประตูเดินเข้าไป ฉู่หลีเหลือบไปมองเงาที่เดินเข้ามานั้น ในใจรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก
“ศิษย์น้องหญิง มีเรื่องอันใดหรือไม่?”
มู่เฉียนซีเอาขวดหยกที่บรรจุยาลูกกลอนจำนวนมากออกมา “ศิษย์พี่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าเตรียมเอาไว้ให้! ซากปรักหักพังหนานหลิงอันตรายมาก ดังนั้นการเตรียมตัวต้องให้พร้อม”
ศิษย์น้องหญิงมอบให้เขา!
ฉู่หลีรับขวดยานั้นมา เปิดดู ก่อนจะเอาออกมาเม็ดหนึ่ง…
ทุกเม็ดล้วนแต่พลาดไม่ได้เด็ดขาด เห็น ๆ อยู่ว่าชื่นชอบอย่างไม่อาจปล่อยได้ กลับเสแสร้งทำเป็นนิ่งเฉย
ฉู่หลีกล่าว “ศิษย์น้องหญิง! ยาลูกกลอนขั้นศักดิ์สิทธิ์มากมายเหล่านี้เจ้าเก็บเอาไว้ใช้เองเถอะ ศิษย์พี่ไม่ใช้”
มู่เฉียนซีกล่าว “ศิษย์พี่ ท่านคงยังไม่ลืมหรอกกระมังว่าข้าเป็นนักปรุงยา หากข้าต้องการข้าหลอมเองได้”
“นี่เป็นยาลูกกลอนที่ศิษย์น้องหญิงหลอมออกมาด้วยตัวเอง” น้ำเสียงของเขาสั่นคลอนเล็กน้อย
“อืม! ดังนั้นศิษย์พี่ไม่ต้องเกรงใจข้า” มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว
“รีบพักผ่อนเถอะ วันพรุ่งซากปรักหักพังหนานหลิงก็จะเปิดแล้ว”
“อืม!”
เมื่อมู่เฉียนซีเดินออกไปและปิดประตูลง ฉู่หลีก็หันกลับมามองยาลูกกลอนเหล่านั้นที่มู่เฉียนซีมอบให้ สายตาของเขาไม่ได้นิ่งเฉยอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้แววตาคู่นั้นกลับเผยความดีใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เขากล่าวเสียงต่ำว่า “ศิษย์น้องหญิงเป็นคนทำด้วยตัวเอง”
และในค่ำคืนนั้นเอง สุ่ยโหรวก็แอบหนีออกมาอย่างเงียบ ๆ
นางแอบเข้ามาในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งและเข้ามาในห้องห้องหนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “สุ่ยโหรวคารวะศิษย์พี่หวัง”
ในห้องนี้มีผู้คนมากมาย ศิษย์พี่หวังกล่าว “ในเมื่อมากันพร้อมแล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าจงฟังให้ดี”
“เป้าหมายในการเข้าไปในซากปรักหักพังหนานหลิงในครั้งนี้ก็คือกระดูกศักดิ์สิทธิ์ เมื่อก่อนในซากปรักหักพังหนานหลิงมีคนระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ จะต้องมีโอกาสหาเจอแน่ พวกเจ้าแยกย้ายกันไปแอบแฝงเข้าร่วมสำนักอื่น เพื่อเสี่ยงโชคในครั้งนี้”
“ครั้งนี้ นอกจากคนของสำนักหลินเยว่ของพวกเราแล้ว ยังมีชายเหล่านั้นของสำนักหลางซิงมาด้วย พวกเราจะพ่ายแพ้ให้คนพวกนั้นไม่ได้เด็ดขาด จะต้องรีบหากระดูกศักดิ์สิทธิ์ให้เจอให้เร็วที่สุด ให้ฝ่าบาททะลวงพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตให้เร็วที่สุด”
เมื่อกล่าวถึงฝ่าบาท แววตาของพวกเขาดูลุกเป็นไฟขึ้น
“ศิษย์พี่หวังวางใจได้ พวกเราจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้อย่างแน่นอน”
“ต่อให้ต้องตาย พวกเราก็ต้องหากระดูกศักดิ์สิทธิ์มาให้ได้ พวกเราจะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังแน่นอน”
เช้าตรู่ของวันต่อมา ทุกคนต่างมุ่งหน้าเดินทางไปยังหุบเขาโบราณหนานหลิง ในตอนนี้ทั่วหุบเขาล้วนแต่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควัน
ชายชราหนวดเคราขาวผู้หนึ่งกล่าวว่า “ซากปรักหักพังหนานหลิงเปิดแล้ว ผู้ที่มีพลังไม่ถึงขั้นปราชญ์แห่งภูต และอายุไม่เกินสามสิบปีสามารถเดินผ่านม่านหมอกนี้เข้าไปได้”
“หากคุณสมบัติไม่เหมาะสมและยังฝืนที่จะเข้าไป ก็จะหายไปในม่านหมอกนั้น และจะต้องตายในที่สุด!”
“เอาล่ะ! สิ่งที่ควรพูดก็ได้พูดไปหมดแล้ว ต่อไปก็อยู่ที่ตัวพวกเจ้าแล้ว เข้าไปเถอะ!”
ขวับ ขวับ ขวับ! คนจำนวนมากพยายามตะเกียกตะกายจะเข้าไป
มู่เฉียนซีกล่าว “ยืนอยู่กับที่รักษาชีวิตเอาไว้ก่อน”
ยังมีเวลาอีกมาก จะรีบด้วยเหตุใดเล่า
สุ่ยโหรวกล่าว “แม่นางมู่ นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร ทุกคนออกเดินทางกันหมดแล้ว นี่เจ้าคิดจะล้มเลิกอย่างนั้นเหรอ แม้ว่าเจ้าจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม แต่ก็ไม่สมควรทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้”
มู่เฉียนซีมองไปที่สุ่ยโหรวและกล่าวว่า “หรือเจ้าเคยได้ยินเหรอว่าคนที่เข้าไปก่อนจะได้ของล้ำค่ามากมาย?”
“ไม่เคย!”
“แล้วจะรีบด้วยเหตุใดเล่า มิติเพิ่งจะเปิด หากยังไม่คงที่จะทำเช่นไร”
“นี่ก็แค่เป็นการคาดการณ์ของเจ้าก็เท่านั้น”
แต่ผ่านไปไม่นาน จู่ ๆ เสียงกรีดร้องก็ดังก้องขึ้นจากบนภูเขา
อ๊า!
อ๊า!
“……”
ไม่นานนักคนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น พวกเขากล่าวว่า “ครั้งนี้ซากปรักหักพังหนานหลิงเกิดเหตุเล็กน้อย มิติไม่มั่นคง รอเวลาอีกสักหนึ่งก้านธูปก็คงจะดีขึ้น”
คนในกลุ่มนี้รู้สึกขอบคุณมู่เฉียนซีเป็นอย่างมาก โชคดีที่มู่เฉียนซีกล่าวเตือน มิเช่นนั้นแล้วพวกเขาคงต้องตายย่างไม่รู้เหตุผลเป็นแน่
สุ่ยโหรวไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ใบหน้าไม่ได้ปรากฏสีหน้าอารมณ์ออกมาก็เท่านั้น
เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ทุกคนไม่รอช้า รีบพรวดเข้าไปในหุบเขาโบราณหนานหลิงกันทันที
พวกเขาเดินท่ามกลางม่านหมอกอยู่เป็นเวลานานจนกระทั่งข้ามทะลุเข้าไปในมิติหนึ่ง และที่แห่งนี้ก็คือซากปรักหักพังหนานหลิงนั่นเอง
มู่เฉียนซีมองพวกเขาและกล่าวว่า “แม้ว่าเจ้าสำนักวารีเมฆาจะเป็นคนเสนอเรื่องหัวหน้ากลุ่ม แต่สำนักลั่วเยว่ของข้าคว้าอันดับหนึ่งในการประลองมาได้ ตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มย่อมเป็นของสำนักลั่วเยว่แล้ว”
“หากผู้ใดอยากแยกตัวออกจากกลุ่มก็ย่อมได้ ข้าไม่อาจฝืนใจผู้ใดได้”
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ยอมแยกออกไป มู่เฉียนซีแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น อยู่กับนางมากเท่าใดก็ยิ่งรักษาชีวิตให้รอดได้มากขึ้นเท่านั้น
มู่เฉียนซีกล่าว “ในเมื่อพวกเจ้าไม่อยากแยกออกไป เช่นนั้นก็ต้องทำตามแผนการของผู้เป็นหัวหน้ากลุ่ม หากไม่เชื่อฟังแล้วยังเป็นตัวถ่วง ข้าจะไม่สนใจแม้แต่น้อย”
สุ่ยโหรวกล่าวเพื่อปกป้องคนอื่น “แม่นางมู่ เจ้าพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก พวกเราเป็นกลุ่มเดียวกัน จะมาบอกว่าเป็นตัวถ่วงได้อย่างไรกัน เจ้าจะอาศัยความแข็งแกร่งของตัวเองมากล่าววาจาเช่นนี้ไม่ได้นะ!”
มู่เฉียนซีกล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าหยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว”
สุ่ยโหรวได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจผงะไปครู่หนึ่ง นางกล่าวด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจว่า “ขะ ข้า ข้าก็แค่รู้สึกว่าแม่นางมู่ทำเกินไป เกรงว่าจะมีคนไม่พอใจ เมื่อถึงตอนนั้นมันจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มของเรานะ”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว!” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
มู่เฉียนซีกล่าวต่อ “ออกเดินทางเถอะ!”
พวกเขาเดินอยู่ในซากปรักหักพังแห่งนี้อยู่นานมาก และไม่ได้เจอสิ่งใดเลย “ที่แห่งนี้คือซากปรักหักพังหนานหลิงจริงเหรอ อย่าพูดถึงของล้ำค่าเลย แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าสักต้นก็ไม่มี” หั่วห้าวหยู่กล่าว
.