ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1602 ศึกของคนวิปริต
ขณะนี้สวี่กังได้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว และเนื่องจากเกรงว่ามู่เฉียนซีจะลงมือโจมตีเขาอีกครา เขาจึงรีบกล่าวออกไปอย่างรวดเร็ว “ข้ายอมแพ้!”
“มู่เฉียนซีสำนักลั่วเยว่ได้รับชัยชนะ!” ผู้ตัดสินทำการประกาศผลในทันที
มู่เฉียนซีผู้ซึ่งคว้าชัยชนะมาได้ติดต่อกันถึงเก้าครั้ง สามารถเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้ไม่น้อย บัดนี้คะแนนของมู่เฉียนซีได้นำหน้าผู้อื่นไปไกลแสนไกลแล้ว
การประลองของคนอื่น ๆ ก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ทันใดนั้นเองเจ้าสำนักสวี่ก็ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของบุตรชายตนเอง
“ตาข้า!”
“เหตุใดยาถอนพิษถึงได้ไร้ประโยชน์เช่นนี้”
“โอ้ย!” สวี่กังเจ็บปวดจนใบหน้าบิดเบี้ยวไปหมด
เจ้าสำนักสวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ท่านเจ้าสำนัก พวกเราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
พวกเขาเองก็รู้สึกร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง ทว่าก็ยังหาสาเหตุไม่ได้
“ทั้ง ๆ ที่ยาถอนพิษนั่นสามารถถอนพิษได้แท้ ๆ! เพราะเหตุใดกัน?”
“ท่านเจ้าสำนัก พวกเราคงทำอะไรไม่ได้! เราจำเป็นจะต้องบอกเรื่องนี้กับเจ้าเมืองหนานเจ๋อนะ ให้เขาช่วยหานักปรุงยามาให้เรา หากเป็นนักปรุงยาระดับศักดิ์สิทธิ์จะต้องมีวิธีช่วยได้อย่างแน่นอน”
มู่เฉียนซีไม่ใช่คนที่จะเมตตาปราณีต่อฝ่ายศัตรู ถึงแม้จะไม่ได้หมายเอาดวงตาของเขา แต่หมอปีศาจอย่างนางก็มีเป็นร้อยวิธีที่จะทำให้สวี่กังดวงตามืดบอด และเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป
ถึงแม้นักปรุงยาระดับศักดิ์สิทธิ์จะมาตรวจดูอาการแล้ว ทว่านักปรุงยาผู้นั้นก็จนปัญญาเช่นกัน “เรื่องนี้ข้าเองก็จนปัญญา!”
“หากจะกล่าวว่าในอาณาเขตหนานหลิงจะมีผู้ใดที่จะสามารถรักษาคุณชายสวี่ได้ละก็ ก็คงมีเพียงผู้ที่ลงมือจัดการคุณชายสวี่ และหมอปีศาจในตำนานผู้นั้นเท่านั้น”
“……”
เมื่อได้เห็นสภาพของบุตรชายที่ดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด เจ้าสำนักสวี่ก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างยิ่ง
เขารีบพุ่งตัวออกไปแล้วตะคอกด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดในทันที “มู่เฉียนซี เจ้ามันรนหาที่ตาย! เจ้ากล้าทำร้ายบุตรชายของข้าจนมาอยู่ในสภาพนี้ ข้าจะทำให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิตของเจ้าเอง!”
ร่างสีดำได้เข้ามาขวางเบื้องหน้าเขาไว้ ความน่าเกรงขามของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เจ้าสำนักสวี่ตกใจเป็นอย่างยิ่ง
คนอื่น ๆ เองก็รู้สึกตกตะลึงไม่แพ้กัน “ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์!”
“ศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักลั่วเยว่เป็นถึงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์เชียวหรือ นี่มันต้องมีอะไรผิดพลาดเป็นแน่! นี่ยังจะเป็นสำนักในกองกำลังระดับสามอยู่หรือไม่?”
“นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ”
“เป็นถึงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์เชียว! หากจะเป็นผู้อาวุโสของสำนักในกองกำลังระดับสี่ก็เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง! การที่มาเข้าร่วมการประลองผู้มากความสามารถในครั้งนี้ เป็นการข่มขวัญผู้อื่นชัด ๆ!”
“จะต้องมีอะไรประหลาดอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน มิฉะนั้นแล้วเหตุใดจึงได้เป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ยังหนุ่มเช่นนี้ได้ล่ะ”
เมื่อได้รับรู้พลังที่แท้จริงของฉู่หลีแล้ว สำนักลั่วเยว่ของพวกเขาก็ได้เป็นที่รู้จักในรูปแบบใหม่ของผู้คนภายในชั่วพริบตา
เจ้าสำนักสวี่กล่าวด้วยความโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง “ก็แค่เด็กเมื่อวานซืนที่เพิ่งบรรลุเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ยังจะกล้าเสนอหน้ามาขวางข้าอีกอย่างนั้นรึ! วันนี้ใครหน้าไหนก็อย่าได้คิดมาขวางทางข้าทั้งนั้น?”
แม้ว่าจะมีฉู่หลีเข้ามาคอยขวางไว้แล้วก็ตาม ทว่าเขาก็ยังคิดจะโจมตีมู่เฉียนซีไม่เลิกรา
จากนั้นพลังความน่าเกรงขามยิ่งกว่าก็ได้พุ่งเข้ามาจากทิศทางหนึ่ง พลังของเจ้าเมืองหนานเจ๋อได้สยบความเกรี้ยวกราดของเจ้าสำนักสวี่ได้ในทันที
เจ้าเมืองหนานเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าสำนักสวี่ ข้าคิดว่าท่านไม่ได้เห็นผู้ดูแลการประลองผู้มากความสามารถในครั้งนี้อยู่ในสายตาเลย ท่านไม่รู้จักดูเสียบ้างว่าเมืองหนานเจ๋อนี้อยู่ในอาณาเขตของผู้ใด?”
เจ้าสำนักสวี่กล่าวด้วยสีหน้าซีดเผือดเป็นอย่างยิ่ง เขากล่าว “มู่เฉียนซีลอบทำร้ายบุตรชายข้า แล้วท่านจะให้ข้าปล่อยนางไปอย่างนั้นหรือ? ข้าไม่มีวันยอม! ท่านเจ้าเมืองหนานเจ๋อ ท่านชักจะไร้ความยุติธรรมเกินไปแล้ว”
เจ้าเมืองหนานเจ๋อกล่าว “ลอบทำร้ายอย่างนั้นรึ! สถานที่แห่งนี้มีผู้คนคอยจับตาดูอยู่มากมาย บุตรชายของท่านต่างหากที่ลอบทำร้ายสาวน้อยผู้นั้นก่อน แม่สาวน้อยก็แค่ใช้อาวุธลับตอกกลับเขาก็เท่านั้น”
“เจ้า…”
เจ้าเมืองหนานเจ๋อกล่าว “เจ้าสำนักสวี่หากท่านยังไร้เหตุผลอยู่ละก็ ใครก็ได้เข้ามานี่เร็วเข้า! เชิญท่านเจ้าสำนักสวี่ออกไปจากตรงนี้ด้วย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปสำนักเล่ออันห้ามเข้ามาในเมืองหนานเจ๋ออีก”
“ท่านอย่าได้ทำเกินไปนักนะ!”
เจ้าเมืองหนานเจ๋อกล่าว “ข้าเป็นผู้ดูแลการประลองในครั้งนี้ เป็นเจ้าเมืองของเมืองหนานเจ๋อ พลังของข้าแกร่งกล้ากว่าท่าน! หากข้าคิดจะทำสิ่งใด ก็ดูเหมือนท่านจะไม่อาจเข้ามาก้าวก่ายได้”
“ใครก็ได้เข้ามานี่! ส่งแขก!”
ไม่เพียงแต่จะไม่อาจทวงคืนความยุติธรรมให้บุตรชายได้เท่านั้น ซ้ำร้ายยังถูกเจ้าเมืองหนานเจ๋อไล่ออกจากเมืองอีกด้วย สำนักของเขาต้องเสียสิทธิ์ในการเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ ครานี้เจ้าสำนักสวี่รู้สึกอับอายขายขี้หน้าเป็นอย่างยิ่ง
“มู่เฉียนซี สำนักลั่วเยว่! ข้าไม่มีทางปล่อยผ่านไปเช่นนี้อย่างแน่นอน” เจ้าสำนักสวี่ตะคอกออกไปเสียงดังลั่น
“ท่านพ่อ! ท่านต้องช่วยล้างแค้นให้ท่านพี่นะเจ้าคะ!” สวี่ฝูกล่าวด้วยสีหน้าเคียดแค้นเต็มประดา
“มู่เฉียนซีมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับคุณชายไป๋เจ๋อ พวกเราจะจัดการนางโดยตรงไม่ได้ ทว่าหากต้องการสังหารใครสักคน ข้าก็มีวิธีเยอะแยะมากมาย” เจ้าสำนักสวี่กล่าวด้วยสีหน้าโกรธแค้น
เมื่อเรื่องราวสงบลงแล้วนั้น การประลองก็ได้ดำเนินต่อไป
ทว่าหลังจากที่ได้ทราบพลังที่แท้จริงของฉู่หลีแล้ว คู่ต่อสู้ของเขาก็ต่างขอยอมแพ้ทั้งสิ้น
คู่ต่อสู้ของพวกเขาเป็นถึงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ! พลังและระดับขั้นห่างไกลกันถึงเพียงนั้น แล้วจะไปต่อสู้ด้วยได้อย่างไร?
ส่วนมู่เฉียนซีก็ได้เดินทางมาถึงการประลองในสนามสุดท้าย คู่ต่อสู้ของนางก็คือจีเอ้อร์เหนียงจากสำนักฉางฮวน
นางค่อย ๆ ทะยานลงมาสู่แท่นประลองโดยไร้ซึ่งสุ้มเสียงใด ๆ จากนั้นก็ทอดมองไปยังมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “ข้าต้องการวิญญาณของเจ้า มันคงจะงดงามไม่น้อย”
“แล้วก็กระบี่ของเจ้า มันเหมาะกับข้ามากเลยทีเดียว”
คนอื่น ๆ อาจจะยังไม่ทันสังเกตเห็นว่าประสาทสัมผัสในด้านวิญญาณของนางนั้นเฉียบแหลมเป็นอย่างยิ่ง นางสัมผัสได้ว่าวิญญาณของมู่เฉียนซีแตกต่างจากผู้อื่น
ไหนจะกระบี่เล่มนั้นอีก มันมีพลังในการดูดกลืนวิญญาณอยู่ด้วย
มู่เฉียนซีหัวเราะเยาะแล้วกล่าว “คนอย่างเจ้าน่ะหรือ?”
“เจ้าไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้!”
ขณะที่กำลังทำการประกาศให้เริ่มขึ้นได้ ทั้งสองก็เริ่มเคลื่อนไหวนทันที
กลิ่นอายของจีเอ้อร์เหนียงถูกเก็บไว้ภายใน ซึ่งแตกต่างไปจากพี่สาวทั้งสองของนางโดยสิ้นเชิง เมื่อดวงตาของนางได้สาดส่องไป ก็ราวกับว่าจะสามารถทะลวงผ่านตัวมู่เฉียนซีไปได้ก็มิปาน
ปัง!
ทั้งสองเข้าปะทะกันกลางอากาศ พลังของทั้งสองแกร่งกล้าเป็นอย่างยิ่ง
“การประลองเก้าสนามก่อนหน้านี้ของเด็กน้อยสำนักฉางฮวนคนนั้น แทบจะไม่ได้ใช้พลังไปถึงครึ่งด้วยซ้ำกระมัง”
“ดวงตาคู่นั้นช่างน่ากลัวมากจริง ๆ!”
“มู่เฉียนซีได้พบเจอกับปัญญาหาใหญ่เข้าแล้ว!”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ผู้น่าเกรงขาม สีหน้าของมู่เฉียนซีก็ยังคงเรียบเฉยอยู่อย่างเคย
นี่คงจะเป็นคู่ต่อสู้รุ่นราวคราวเดียวกับนางที่ต่อกรด้วยยากลำบากที่สุดแล้วกระมัง ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น กลยุทธ์ของมู่เฉียนซีก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
มีพลังกลุ่มก้อนหนึ่งได้ก่อตัวกันเป็นกรง แล้วเข้าโอบล้อมมู่เฉียนซีไว้ทุกทิศทางโดยที่ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใด ๆ
มู่เฉียนซีก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติได้ในทันที นางจึงรีบใช้การเคลื่อนย้ายภายในชั่วพริบตาหลบหนีออกมาได้ทันท่วงที มิฉะนั้นก็คงจะไม่อาจหลุดรอดออกมาได้
“เพลิงสังหารซิวหลัว!”
ปัง ปัง!
“สังหารวิญญาณพิฆาต!”
พลังอันแสนบ้าคลั่งได้ระเบิดขึ้นบนแท่นการประลอง
สตรีที่อยู่บนแท่นประลองสองคนนั้น รวมไปถึงฉู่หลีด้วยอีกคน พวกเขาทั้งสามจะต้องเป็นผู้ที่มีพลังแกร่งกล้าที่สุดของสำนักต่าง ๆ ในอาณาเขตหนานหลิงอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นผู้มากความสามาถจอมวิปริตทั้งสามในประวัติศาสตร์
ร่างสีดำและร่างสีม่วงที่กำลังปะทะกันอยู่กลางเวหา บัดนี้ก็ได้แยกจากกันแล้ว แววาตาอันเฉียบแหลมของทั้งสองได้สอดประสานเข้าด้วยกัน
เมื่อครู่ถือว่าเป็นเพียงการอุ่นเครื่องเท่านั้น!
เมื่อได้ลองหยั่งเชิงอีกฝ่ายดูแล้ว ต่อจากนี้ไปก็จะมีเพียงการต่อสู้อันแสนดุเดือดเท่านั้น
ปัง ปัง!
เมื่อทุก ๆ คนได้ประลองกันจนครบทั้งสิบสนามแล้ว การประลองของมู่เฉียนซีและจีเอ้อร์เหนียงก็ยังคงดำเนินต่อไป
นี่เป็นการประลองที่ยาวนานและน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้จะเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตบางคน ก็เกรงว่าจะไม่สามารถยืนหยัดมาจนถึงจุด ๆ นี้ได้
เมื่อเวลาได้ยืดเยื้อไปนานพอสมควรแล้ว ร่างของจีเอ้อร์เหนียงก็ได้เปลี่ยนเป็นสายฟ้าสีดำทมิฬ ซึ่งแฝงไปด้วยพลังแห่งการกัดกร่อนสายหนึ่ง แท่นการประลองอันแข็งแรงทนทานก็กำลังถูกย่อยสลายไปอย่างช้า ๆ
“ผนึกกร่อนกระดูก!”
นางเคลื่อนที่ด้วยความแคล่วคล่องว่องไวเป็นอย่างยิ่ง มู่เฉียนซีเองก็ไม่ต่างกัน
ภายในเวลาเพียงชั่วพริบตา มู่เฉียนซีก็ได้หายวับไปราวกับอากาศธาตุ
ปัง ปัง!
แท่นประลองทั้งแท่นได้พังทลายลงในทันที!
โครม!
พวกเขาทั้งสองได้ใช้สนามประลองแทนแท่นการประลองที่พังทลายลง ทว่าเจ้าเมืองหนานเจ๋อที่พบว่าแท่นการประลองได้พังทลายลงมานั้น ก็รู้สึกปวดใจเป็นอย่างยิ่ง
“ต้องให้เจ้าเด็กสองคนนั่นชดใช้! ให้ตายสิ! ครั้งนี้เราเสียเปรียบไม่น้อยเลย!”
“ค่ายกลก็พังลงแล้ว ซ่อมก็ต้องซ่อม ไม่รู้ว่าต้องใช้เงินเท่าไรอีก”
“พวกนางทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ข้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก พวกนางต้องชดใช้!”
.