ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1615 สายเลือดราชันย์
สำหรับการแข่งขันครั้งนี้ ตามข้อเรียกร้องคือเผ่าหงส์จะต้องมีอายุไม่เกินสามพันปี และมนุษย์จะต้องมีอายุไม่เกินยี่สิบปี
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เช่นนั้นก็มาทดสอบกันเถอะ!”
นางไม่ปล่อยโอกาสที่ได้รับในครั้งนี้ไปอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรนางก็มีคุณสมบัติตรงตามข้อเรียกร้องอยู่แล้ว
ผลลัพธ์ของการทดสอบนั้นก็คือ การพัฒนาของโครงร่างกายยังไม่ถึงสิบแปด!
ตอนนี้ทุกคนต่างพากันตะลึงงัน
“นี่…”
ในตอนนี้ ใบหน้าของโม่เฟิงเชียนประเดี๋ยวดำประเดี๋ยวแดงด้วยความโมโห และนางก็ไม่มีหน้าที่จะไปว่ากล่าวอะไรได้อีกแล้ว จึงได้แต่หันหน้าแล้วเดินจากไป
ต่อมา ผู้จัดการแข่งขันก็เปลี่ยนยาลูกกลอนเป็นผลึกวิญญาณหงส์ให้กับมู่เฉียนซี ซึ่งเป็นจำนวนที่มากมายเป็นอย่างยิ่ง
มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนว่ามูลค่ายาลูกกลอนในโลกของหงส์จะมีราคาที่สูงมากเลยทีเดียว!
เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้ไม่มีผลึกวิญญาณหงส์ ก็สามารถขายยาลูกกลอนเพื่อแก้ปัญหาทางการเงินได้เช่นกัน
ในเมื่อมีเงินแล้ว มู่เฉียนซีก็หาโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองแห่งหนึ่งไว้พักอาศัยและพักผ่อนให้สุขสบาย อีกทั้งยังแวะสอบถามข่าวคราวในระหว่างทางอีกด้วย
สำหรับโลกนี้ มู่เฉียนซีไม่เข้าใจอะไรสักอย่างเลย หากไม่ทำให้ชัดเจนอย่างดี คาดว่าอาจจะต้องเปิดเผยความลับของนางแน่นอน
ข่าวที่ว่ามีมนุษย์ที่มีความสามารถในการต่อสู้อย่างก้าวกระโดด ได้เอาชนะอัจฉริยะตัวน้อยโม่เฟิงเชียนแห่งเผ่าหงส์นิลของพวกเขาได้แพร่กระจายออกไปแล้ว
หลังจากที่มู่เฉียนซีได้สอบถามมาแล้ว ในที่สุดก็ได้รับข้อมูลมาไม่น้อยเลยทีเดียว
เผ่าหงส์ทั้งหมดที่ใช้ชีวิตอยู่ในอาณาเขตต่าง ๆ ล้วนกำเนิดมาจากเทพพฤกษาถงเหยี่ยนทั้งนั้น อีกทั้งเผ่าหงส์ก็มีความหลากหลายเป็นอย่างมาก และเผ่าหงส์นิลก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้นเท่านั้น
ประมาณหมื่นปีก่อน เผ่าเทพและเผ่าหงส์ได้ทำสงครามกันโดยที่ไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัด และสุดท้ายแล้วเผ่าหงส์ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป
และหลังจากที่เผ่าหงส์พ่ายแพ้ เนื่องด้วยสงครามในครั้งนั้น พลังวิญญาณโลกของหงส์ทั้งหมดต่างก็อ่อนแอลง
เผ่าเทพไม่คำนึงถึงความแค้นในอดีต และเพื่อไม่ปล่อยให้เผ่าหงส์ซึ่งเป็นเผ่าสัตว์เทพโบราณอันทรงเกียรติถูกเผ่าชนิดอื่นมาทำร้าย เช่นนั้นเผ่าเทพจึงได้สร้างผนึกค่ายกลสำหรับเผ่าหงส์ออกมาอันหนึ่ง
พร้อมทั้งส่งราชาเทพไปรักษาการณ์ และไม่ปล่อยให้ผู้ใดเข้ามาในเผ่าหงส์ได้
เมื่อได้รับข่าวนี้มาแล้ว มู่เฉียนซีก็พึมพำว่า นี่มันไม่ใช่การป้องกัน แต่มันเป็นการขังเผ่าหงส์เอาไว้เสียมากกว่า
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าทุกคนจะไม่สามารถเข้ามาในเผ่าหงส์ได้ เพราะผู้มีพรสวรรค์บางคนที่อยู่ภายใต้กองกำลังของราชาเทพหากได้รับคุณสมบัติของผู้มีประสบการณ์ ก็อาจจะถูกส่งมายังโลกของหงส์ได้ และในเวลาเดียวกันพลังของพวกเขาจะถูกปิดกั้นไว้ด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าพลังวิญญาณของสถานที่แห่งนี้ไม่ได้หนาแน่นเท่ากับโลกของเผ่าเทพ แต่ทว่ากลับเป็นสถานที่ที่ดีแห่งหนึ่งในการสร้างรากฐาน
และเมื่อพวกเขาเข้ากันได้ดีกับเผ่าหงส์ อีกทั้งหากสามารถได้รับการยอมรับจากเผ่าหงส์ได้ ก็จะสามารถครอบครองและทำสัตว์พันธสัญญากับสัตว์เทพที่มีสายเลือดที่แข็งแกร่งได้อย่างน้อยหนึ่งตัวอีกด้วย
ไม่ว่าจะเพื่อยกระดับตนเองให้สูงขึ้นหรือเพื่อทำสัตว์พันธสัญญา ก็ยังมีคนไม่น้อยที่ฝ่าฟันอุปสรรคเพราะต้องการจะมาฝึกฝนที่เผ่าหงส์แห่งนี้
เนื่องจากว่าเผ่าเทพนั้นแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ และในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สมาชิกในเผ่าของเผ่าหงส์มากมายต่างก็ถูกซึมซับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมเข้าไปโดยไม่รู้ตัว
มันจึงทำให้พวกเขายอมรับมนุษย์ หรือแม้แต่อิจฉามนุษย์ด้วยเช่นกัน
การผูกพันธสัญญากับมนุษย์ สามารถได้รับทรัพยากรที่ดีมากมาย หรือแม้กระทั่งสามารถออกไปจากกรงแห่งนี้ได้ อีกทั้งยังทำให้พวกเขาก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
ดังนั้นจึงมีหงส์ไม่น้อย ที่ละทิ้งความหยิ่งผยองภายในสายเลือด และยินยอมที่จะผูกพันธสัญญากับมนุษย์
ในที่สุดมู่เฉียนซีก็รู้แล้วว่าเพราะเหตุใดเผ่าสัตว์เทพที่สูงส่งเช่นนี้สำหรับมนุษย์แล้วถึงได้ไม่มีการต่อต้านคนต่างเผ่าพันธ์ุเลย อีกทั้งยังมีความรู้สึกหวาดกลัวบางอย่างอีกด้วย
และในท้ายที่สุดแล้วมนุษย์ผู้มีพรสวรรค์ที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้ามาในเผ่าหงส์ได้นั้น ในอาณาจักรเทพแล้ว จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
นี่คือความเศร้าสลดของเผ่าหงส์ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่สงครามที่สะเทือนเลื่อนลั่นดั่งเช่นเผ่ามังกร แต่สถานการณ์ของพวกเขาในตอนนี้ เลวร้ายยิ่งกว่าเผ่ามังกรเสียอีก
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เรื่องปัญหาของเผ่าหงส์ปล่อยเอาไว้ด้านหนึ่งก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ การหาคัมภีร์หมื่นคำสาปเล่มที่สาม”
ตอนนี้นางอยู่ที่เมืองแห่งหนึ่งบนแผ่นดินใหญ่เผ่าหงส์นิล เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่อยู่ห่างจากเมืองราชาหงส์นิลไม่ไกลเท่าไรนัก
เมืองราชาหงส์นิลเป็นแหล่งที่อยู่ของเผ่าราชาแห่งเผ่าหงส์นิล
แน่นอนว่าเผ่าราชาจะต้องมีสิ่งที่รู้มากกว่า เนื่องจากอยากจะสอบถามข้อมูล มู่เฉียนซีจึงได้เตรียมตัวไปยังเมืองราชาหงส์นิล
และในตอนที่มู่เฉียนซีรอที่จะออกเดินทาง ก็ได้มีคนมาตามหานางที่โรงเตี๊ยมที่นางใช้อาศัยอยู่ชั่วคราว
คนที่มาก็คือชายวัยกลางคนที่สง่างามมากผู้หนึ่ง และข้างกายเขาก็มีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย ซึ่งนั่นก็คือคนที่พ่ายแพ้ในการต่อสู้ให้กับมู่เฉียนซี โม่เฟิงเชียนนั่นเอง
และในเวลานี้เสี่ยวโม่โม่ก็พุ่งตัวออกมาด้วยความตื่นตัว พลางตะโกนว่า “คนไม่ดี! คนไม่ดี เจ้าคือคนไม่ดี…”
เมื่อกางปีกออก มันก็ได้พ้นไฟใส่โม่เฟิงเชียนในทันที
นี่คือสิ่งที่เรียนรู้จากการเห็นโม่เฟิงเชียนโจมตีมู่เฉียนซีเมื่อวานนี้ และการโจมตีในครั้งนี้ ก็ไม่มีทักษะใด ๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากเป็นเพียงแค่สัญชาตญาณในการปกป้องเจ้านายเท่านั้น
เมื่อโม่เฟิงเชียนถูกเด็กน้อยตัวหนึ่งโจมตีใส่ แน่นอนว่านางไม่อาจนั่งเฉยรอความตายได้ นางจึงหลบหลีกไปอย่างรวดเร็ว
และมันก็เป็นผลให้เสี่ยวโม่โม่กล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่า “อย่าขยับ!”
ในขณะนี้ โม่เฟิงเชียนรู้สึกได้ว่าสายเลือดหงส์ที่อยู่ภายในร่างกายของนางกำลังสั่นไหว และดูเหมือนว่าเลือดทั่วร่างกายจะหยุดไหลเวียนไปชั่วขณะ จนนางยืนนิ่งอยู่กับที่และไม่ขยับเขยื้อนไปเลยจริง ๆ
รูม่านตาของโม่เฟิงเชียนหดเกร็ง มันช่างเป็นพลังทางสายเลือดที่แข็งแกร่งมากจริง ๆ
นางที่หลบหลีกไม่ได้ ก็ได้ถูกเปลวไฟเข้ามาห่อหุ้มเอาไว้โดยตรง
ถึงแม้ว่าเปลวไฟนี้จะดูไม่แข็งแกร่งเท่าไรนัก แต่มันก็ทำให้โม่เฟิงเชียนเปลี่ยนไปอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเป็นอย่างมาก
ชายวัยกลางคนผู้นั้นกล่าวอย่างตื่นตะลึงว่า “นี่…เป็นสายเลือดที่แข็งแกร่งมาก หรือว่าเด็กน้อยผู้นี้จะครอบครองสายเลือดราชันย์แห่งเผ่าหงส์ของพวกเราอย่างนั้นหรือ!”
เขาพินิจพิเคราะห์เสี่ยวโม่โม่อย่างตื่นเต้น มู่เฉียนซีก็ก้าวเข้ามาขวางอยู่ข้างหน้าของเสี่ยวโม่โม่ไว้พลางกล่าวว่า “ท่านจะพูดอะไรกันแน่?”
เขายังคงจ้องมองไปที่เสี่ยวโม่โม่อย่างเอาเป็นเอาตาย “จะต้องเป็นสายเลือดราชันย์แน่นอน ต้องใช่แน่นอน!”
ถึงอย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะเป็นสายเลือดราชันย์ของเผ่าพวกเขา ก็ไม่อาจจะแข็งแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่แรกเกิดได้ เจ้าหนูน้อยนี้ผิดแผกเกินไปแล้ว
ภายในแววตาของมู่เฉียนซีมีประกายเย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกมา จากนั้นนางก็กล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าอะไรคือสายเลือดราชันย์ แต่ว่าเสี่ยวโม่โม่คือสัตว์พันธสัญญาของข้า ไม่ว่าผู้ใดก็จะแตะต้องมันไม่ได้!”
ชายวัยกลางคนเอ่ยปากอย่างรีบร้อนว่า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว! ข้าไม่ได้มีความหมายเช่นนั้นเลย เผ่าราชาแห่งเผ่าหงส์ของพวกเรา ได้ครอบครองสายเลือดที่สูงส่งที่สุด แล้วข้าจะกล้าล่วงเกินได้เช่นไร?”
“ข้าจะขอแนะนำตนเองเสียหน่อย ข้าชื่อโม่เชวี่ย เป็นเจ้าเมืองของเมืองหงส์นิลแห่งนี้ นี่คือลูกสาวของข้าโม่เฟิงเชียน ก่อนหน้านี้นางยังเป็นเพียงเด็กที่ไม่รู้ความ จนทำให้ล่วงเกินเจ้าไปมากมาย ต้องขอให้เจ้าอภัยให้ด้วย”
ถึงแม้ว่าโม่เฟิงเชียนจะอดกลั้นสีหน้าแห่งความไม่พอใจไว้ไม่ได้ แต่ทว่านางก็หวาดกลัวการถูกเสี่ยวโม่โม่ใช่พลังแห่งสายเลือดกดดันเมื่อครู่นี้
นางจึงก้มศีรษะแล้วกล่าวว่า “เป็นข้าที่เอาแต่ใจเกินไป ข้ารู้จักสำนึกผิดและแก้ตัวใหม่แล้ว ข้า…”
“จากนี้ไปข้าไม่กล้าอีกแล้ว ข้าจะไม่หุนหันพลันแล่นอีกแล้ว”
ดูเหมือนว่าหลังจากที่นางจะถูกตนเองสั่งสอนไปแล้ว โม่เฟิงเชียนจะดูเชื่อฟังมากขึ้นไม่น้อยเลย
มู่เฉียนซีหันไปมองเจ้าเมืองโม่เชวี่ยแล้วกล่าวว่า “ข้าว่าการที่ท่านเจ้าเมืองมาพบข้า คงไม่ได้มีแค่เรื่องที่จะพาลูกสาวมาสำนึกผิดอย่างเดียวเช่นนี้หรอกใช่หรือไม่!”
โม่เชวี่ยกล่าวว่า “เรื่องในครั้งนี้ เอาไว้หลังจากนี้ค่อยคุยกัน! เจ้าตัวน้อยตัวนี้ครอบครองสายเลือดเผ่าราชาของพวกเรา ไม่ทราบว่าเจ้าไปรับนางมาจากที่ใด พร้อมทั้งผูกพันธสัญญากับนางได้อย่างไร? และนี่เป็นความต้องการของนางเองใช่หรือไม่?”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ! ท่านผู้เฒ่าหงส์นี่พูดจาไร้สาระอะไรกัน” เสี่ยวโม่โม่กล่าวพร้อมกับจ้องมองไปที่โม่เชวี่ยด้วยความโกรธ
ในตอนนี้ภายใต้การสั่งสอนของเสี่ยวหงและอู๋ตี้ มันสามารถใช้คำศัพท์ที่เรียนรู้มาได้เยอะขึ้นมากแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “แม่แท้ ๆ ของเสี่ยวโม่โม่ฝากฝังมันเอาไว้กับข้า ในตอนนั้นมันเป็นเพียงแค่ไข่ใบหนึ่งเท่านั้น และพึ่งจะฝักออกจากเปลือกมาเมื่อไม่นานนี้เอง ข้าจึงพามันกลับมาดูบ้านเกิดของมันเองเสียหน่อย”
“และเสี่ยวโม่โม่ก็สมัครใจผูกพันธสัญญากับข้า ท่านคิดว่าข้าจำเป็นต้องบีบบังคับหงส์น้อยแรกเกิดตัวหนึ่งมาผูกพันธสัญญากับข้าด้วยเช่นนั้นหรือ?” มันแน่นอนอยู่แล้วว่าไม่ใช่เช่นนั้น ตอนนี้นางเป็นมนุษย์ที่มีพรสวรรค์สูงที่อยู่ในเผ่าหงส์แห่งนี้ และก็มีหงส์จำนวนมากที่อยากจะต่อแถวเข้ามาขอผูกพันธสัญญาด้วย
.
.