ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1695 ดาวรุ่งพร่างพราว
ไม่ใช่เพียงแค่เท่านี้ ยังมีอย่างอื่นด้วยหรือ?
ทุกคนต่างก็พากันสงสัยเป็นอย่างมาก พลันนั้นมู่เฉียนซีก็ได้หยิบเอาส่วนผสมในการปรุงยาออกมา
นางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มันยังมียาน้ำนี้อยู่ด้วย ฤทธิ์ของมันแทบจะไม่ต่างอะไรกับยาลูกกลอนเลย เพียงแต่มันไม่ได้พกพาสะดวกเหมือนกับยาลูกกลอนเท่านั้นเอง”
หลังจากนั้นมู่เฉียนซีก็เริ่มทำการกลั่นยาน้ำ ของเหลวสีใสถูกมู่เฉียนซีกลั่นออกมาได้อย่างรวดเร็ว
“นี่คือยาน้ำระดับต้น ใช้ในการเพิ่มระดับการไหลเวียนของพลังวิญญาณโดยเฉพาะ ผู้ใดอยากที่จะลองดูบ้าง?”
หลานเหยากล่าวว่า “ข้าเอง!”
ยาน้ำนี้ไม่ได้ดื่มยากเท่าไรนัก และเนื่องจากว่าเป็นยาน้ำระดับต่ำ เช่นนั้นมู่เฉียนซีจึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำให้มันมีรสชาติที่อร่อย
หลังจากที่หลานเหยาดื่มยาลงไปพลังวิญญาณก็หมุนเวียนขึ้นมาทันที และหลังจากนั้นก็รู้สึกราบรื่นเป็นอย่างมาก
“ยอดเยี่ยมมากเลย!” มีแสงแวววาวเปล่งประกายอยู่ในดวงตาของเขา
“ที่แท้แล้วมันก็เป็นของเช่นนี้นี่เอง หากพวกเราสามารถกลั่นมันออกมาได้ ก็จะสามารถกลายเป็นนักปรุงยาได้แล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกคนมาลองกันดูเถอะ!”
มันยากมากในตอนแรก และยังไม่มีคนที่ประสบความสำเร็จเลยหลังจากที่ลองแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ยอมแพ้ และทดลองมันครั้งแล้วครั้งเล่า
หลานเหยาเป็นคนแรกที่ทำได้สำเร็จ และกลั่นยาน้ำระดับต่ำนี้ออกมาได้
ในความเป็นจริงแล้ว เนื่องจากขีดจำกัดทางร่างกายของพวกเขาไม่สามารถที่จะกลั่นให้กลายเป็นยาเม็ดได้ แต่ทว่าหากเป็นยาน้ำก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
และสิ่งนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่บนโลกใบนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้มีข้อจำกัดเช่นนั้นด้วย
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ข้าจะเอาบันทึกการกลั่นยาเหล่านี้ทิ้งไว้ที่นี่ พวกเจ้าก็ค่อย ๆ มาเอาไปศึกษาดูก็แล้วกัน”
มู่เฉียนซีไม่คาดคิดมาก่อนว่า การได้สอนโดยบังเอิญอยู่ที่ดินแดนหงส์แห่งนี้ จะทำให้เผ่าหงส์ได้รู้วิธีการกลั่นยาน้ำ อาจจะมีนักปรุงยาน้ำอัจฉริยะผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ดเลยก็เป็นได้
ในเวลานี้ทั่วทั้งดินแดนหงส์ต่างก็ไม่สงบสุข เนื่องจากว่าทุกคนต่างก็เสาะหาข้อมูลของสุสานจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กันอยู่
หอหลอมอัสนีและสุสานเทพหงส์ศักดิ์สิทธิ์ต่างก็เคยมีคนเข้าไปข้างในมาก่อน แต่ทว่าสุสานจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ ยังไม่เคยมีผู้ใดที่สามารถเข้าไปถึงจุดศูนย์กลางได้เลย
มีการคาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่า ภายในสุสานจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ มีความเป็นไปได้มากกว่าจะมีคัมภีร์หมื่นคำสาปอยู่
คนอื่นนั้นเป็นเพียงแค่การคาดเดา แต่ทว่าพวกของมู่เฉียนซีกลับมั่นใจเป็นอย่างมากว่า คัมภีร์หมื่นคำสาปเล่มที่สาม ต้องอยู่ที่สุสานจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามเรื่องที่ยุ่งยากถึงเพียงนี้ พวกของจื่อโยวกำลังจัดการกันได้อย่างรวดเร็ว และมู่เฉียนซีก็ใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย
หลังจากนั้นไม่นานเสี่ยวโม่โม่ก็ได้พูดเรื่องหนึ่งกับนาง เสี่ยวโม่โม่บอกว่าสถานศึกษาใหญ่แต่ละที่ของเผ่าหงส์จะจัดการแข่งขันขึ้น โรงเรียนชิงอี้ก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน และเสี่ยวโม่โม่ก็เตรียมตัวที่จะเข้าร่วมการแข่งขันนี้ด้วย
และยังมีคนอีกจำนวนมากที่ยังไม่รู้ว่า ถึงเสี่ยวโม่โม่จะตัวเล็กเพียงเท่านี้ แต่ความจริงแล้วกลับมีความแข็งแกร่งของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดแล้ว
“นายท่าน พวกเขาต่างก็พูดกันว่าโรงเรียนชิงอี้เป็นโรงเรียนที่เส็งเคร็ง แต่ทว่าเพื่อนนักเรียนทุกคนต่างก็เป็นคนดีกันทั้งนั้น ข้าไม่อยากให้คนอื่นมาพูดเช่นนี้ ข้าก็เลยอยากที่จะเข้าร่วมเพื่อสั่งสอนพวกเขาสักหน่อย”
มู่เฉียนซีกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่มีปัญหา เช่นนั้นเสี่ยวโม่โม่ก็สู้เขาเข้าล่ะ”
“อื้ม!”
แน่นอนว่าการจัดการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ของสถานศึกษาในครั้งนี้จะต้องถูกจัดขึ้นที่แคว้นจื่อเฟิ้งอยู่แล้ว
พวกของมู่เฉียนซีและหลานเนี้ยนหลี่ก็ได้มาอยู่บนจุดสูงสุดของแคว้นจื่อเฟิ้ง การปรากฏตัวของท่านเหมยครั้งที่แล้วทำให้มู่เฉียนซีกลายเป็นที่สนใจมากเป็นพิเศษ และราชาจื่อหัวหน้าเผ่าหงส์ม่วงก็เดินเข้ามากล่าวกับมู่เฉียนซีว่า “แม่นางมู่ ถึงแม้ว่าสัตว์พันธสัญญาของท่านจะยังเด็กอยู่ก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถทำให้พรสวรรค์ของนางเสียเปล่าได้นะ! หากจะไปเรียนที่สถาบันชิงอี้ไม่สู้มาเรียนที่สถาบันของราชวงศ์หงส์ม่วงไปดีกว่าหรือ และแน่นอนที่นี่เป็นสถานศึกษาที่ดีที่สุดในบรรดาเก้าราชวงศ์ใหญ่ ที่สำคัญมันก็เหมาะสมกับอัจฉริยะที่เหมือนกับเสี่ยวโม่โม่เป็นพิเศษอีกด้วย”
จื่อเยว่ซางกล่าวว่า “ฝ่าบาท ถึงแม้ว่าสถาบันของราชวงศ์จะไม่เลว แต่สถานนันจื่อเยว่ของพวกข้าก็ดีมากเช่นกันนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“……”
นี่ยังไม่ทันที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น แต่ทว่าแต่ละสถาบันต่างก็กำลังแย่งคนกันเสียแล้ว
แม้แต่สถาบันชนชั้นสูงของหงส์ครามต่างก็มาแย่งตำแหน่งนั้นด้วยเช่นกัน
ครั้งนี้เสี่ยวโม่โม่ได้รับความนิยมมากเป็นพิเศษ และการแข่งขันก็กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
หงส์ที่โตเต็มวัยได้จบการศึกษาไปจากสถาบันแล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นการแข่งขันของหงส์น้อยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
อย่างไรก็ตามเสี่ยวโม่โม่ก็อายุน้อยที่สุดในหมู่พวกเขา และเด็กน้อยคนอื่นก็ถูกกำชับมาว่า หากว่าต้องพบกับเสี่ยวโม่โม่ก็จะต้องออมมือ การเอาชนะเจ้าตัวเล็กนั้นได้ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเลย
แต่ทว่าทันทีที่เริ่มต่อสู้ ทุกคนต่างก็ต้องพากันตะลึงงันไปในทันที
“อะไรน่ะ? เจ้าเด็กน้อยนั่นเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง! เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ดแล้วหรือ”
“นี่มันไม่ถูกต้อง! ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้ยังระดับห้าอยู่เลย”
“ก่อนหน้านี้ไม่มีแม้แต่ระดับเดียว ที่จริงแล้วความเร็วในการฝึกฝนนี้เป็นอย่างไรกันแน่”
แม้กระทั่งบางคนที่มีความสนใจในประวัติศาสตร์เหล่านั้นยังไปพลิกดูประวัติศาสตร์ของเผ่าหงส์ของพวกเขา แต่ดูเหมือนว่าไม่มีผู้ใดจะหาผู้ที่แปลกประหลาดเหมือนอย่างเสี่ยวโม่โม่ได้เลย
คนอื่น ๆ ต่างก็พาคนมองไปทางมู่เฉียนซีด้วยแววตาที่แสนอิจฉา เจ้าหงส์นิลน้อยตัวนี้มีความสามารถที่แข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้ หากไม่เกิดเรื่องที่เหนือความคาดหมายแล้วละก็ จากนี้ไปก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะเลื่อนขั้นจนกลายเป็นสัตว์เทพได้เป็นแน่!
ผู้ที่โตเต็มวัยทั่วไปที่สามารถครอบครองความแข็งแกร่งของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ดได้ถือว่าไม่เลวเลยในเผ่าหงส์ และสถานที่แห่งนี้ก็ยังมีบางคนที่ยังไม่อาจบรรลุความแข็งแกร่งนี้ได้ ซึ่งก็จะถูกผู้อาวุโสในเผ่าตั้งความหวังเอาไว้สูงมาก
แต่ทว่าเมื่อพวกเขาจับคู่กับเสี่ยวโม่โม่ ก็ต้องปวดหัวกันไปเลยทีเดียว
ประสบการณ์ในการต่อสู้ของเสี่ยวโม่โม่นั้นยังไม่เพียงพอ แต่ทว่าเพลิงหงส์อมตะนั้นกลับแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ซึ่งมันก็สามารถสังหารได้แม้กระทั่งเทพหรือพระเจ้าหากคิดที่จะขัดขวาง
ในตอนนี้ผู้คนต่างก็ตกอยู่ในความโกลาหล
“นั่นไม่ใช่โม่เหยียน นั่นไม่ใช่…”
“หากว่าข้าไม่ได้ดูผิดไปแล้วละก็ นั่นก็คงจะเป็นเพลิงหงส์อมตะสินะ”
“นึกไม่ถึงว่าตอนที่มู่เฉียนซีเข้าไปในสุสานเทพหงส์ศักดิ์สิทธิ์จะให้สัตว์พันธสัญญาของตนเองเอาชนะเพลิงหงส์อมตะมาได้ มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริง ๆ”
“นั่นคือต้นกำเนิดเปลวเพลิงของบรรพบุรุษหงส์อย่างแท้จริง!”
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเห็นอัจฉริยะในตำนานคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาแล้ว ถึงแม้ว่าในอนาคตเสี่ยวโม่โม่จะไปไม่ถึงระดับบรรพบุรุษเทพหงส์ แต่ก็จะต้องไม่เลวอย่างแน่นอน
และในตอนนี้คู่ต่อสู้ของเสี่ยวโม่โม่ ใกล้จะร้องไห้เต็มทีแล้ว!
ไม่สำคัญว่าจะมีความแข็งแกร่งมากน้อยเพียงใด แต่เจ้าตัวน้อยนี้ยังมีสิ่งนี้อยู่ แล้วเขาจะต้องต่อสู้อย่างไรล่ะ?
ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสในเผ่าต่างก็บอกให้พวกเขาต้องปล่อยเจ้าตัวน้อยนี้ไป แต่เจ้าตัวน้อยนี้อยากจะให้ปล่อยอย่างนั้นหรือ?
การต่อสู้เป็นสัญชาตญาณของเผ่าสัตว์เทพ ในระหว่างการต่อสู้แต่ละครั้ง เสี่ยวโม่โม่เริ่มมีความคุ้นเคยในการผสมผสานระหว่างมรดกของเผ่าหงส์นิลและมรดกที่เทพหงส์ทิ้งไว้ให้แล้ว
ยอดเยี่ยมมาก! มุมปากของมู่เฉียนซียกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
นางกล่าวกับหลานเนี้ยนหลี่ว่า “ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ข้าจะปกป้องเสี่ยวโม่โม่ดีเกินไปหน่อยเสียแล้ว ในฐานะของเผ่าสัตว์เทพ การต่อสู้เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการเจริญเติบโตจริง ๆ!”
อย่างไรก็ตามการต่อสู้ก่อนหน้านี้มีความเสี่ยงมากจนเกินไป และไม่ได้พบกับคู่ต่อสู้ที่มีความแข็งแกร่งเท่าเทียมกันเช่นนี้เลยด้วย
หลานเนี้ยนหลี่กล่าวว่า “ดูเหมือนว่าแม่นางมู่จะกล่าวถูกต้องแล้วนะ!”
“อื้ม! ดูเสี่ยวโม่โม่ต่อสู้อีกสักสองสามรอบก่อน”
เกือบทุกครั้งที่เสี่ยวโม่โม่ชนะติดต่อกัน ก็จะใช้เวลาในการต่อสู้น้อยลงเรื่อย ๆ
การแข่งขันครั้งใหญ่ของสถาบันในครั้งนี้ โรงเรียนชิงอี้ไม่มีผู้ใดลงแข่งขันเลย มันจึงทำให้เสี่ยวโม่โม่ก็ได้กลายเป็นดาวรุ่งที่พร่างพราวมากที่สุดของเผ่าหงส์
และในตอนนี้พวกเขาต่างก็เข้าใจกันแล้วว่า เพราะเหตุใดมู่เฉียนซีที่เป็นแม่นางน้อยคนหนึ่งที่มีพรสวรรค์และคนหนุนหลังที่แข็งแกร่งถึงได้เลือกผูกพันธสัญญากับหงส์นิลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะและเพิ่งจะเกิดออกมาไม่นานตัวนี้
แท้จริงแล้วเจ้าตัวน้อยนี้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้นี่เอง!
เสี่ยวโม่โม่ดูสดใสพร่างพราวมากเกินไป จนหลานเนี้ยนหลี่ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย
“แม่นางมู่ พรสวรรค์ของเสี่ยวโม่โม่เกินความคาดหมายของทุกคนมากจนเกินไปแล้ว เกรงว่าอาจจะมีปัญหาได้”
ไม้เรียวระหงกลางป่า ย่อมถูกลมโค่น เหตุผลนี้มู่เฉียนซีเข้าใจมันได้ดีแน่นอนอยู่แล้ว แต่มู่เฉียนซีก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แค่เสี่ยวโม่โม่มีความสุขก็เพียงพอแล้ว หากว่ามีเรื่องยุ่งยากเข้ามาหาแล้วละก็ ข้ามู่เฉียนซีไม่มีทางกลัวอยู่แล้ว!”
และก็เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ไว้ เมื่อการประชุมครั้งใหญ่นี้ได้สิ้นสุดลง
ชายชุดคลุมสีทองเดินออกมาจากกลุ่มผู้ชมจากนั้นก็เผชิญหน้ากับมู่เฉียนซีเพื่อต้องการพูดคุย แววตาของเขามองไปบนร่างกายของมู่เฉียนซีแล้วกล่าวว่า “ได้ยินข่าวมาว่าเจ้าหงส์นิลน้อยตัวนั้นคือสัตว์พันธสัญญาของเจ้าเช่นนั้นหรือ?”