ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1717 ทนไม่ไหวอีกแล้ว
ทันใดนั้นพิฆาตวิญญาณก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังมู่เฉียนซีอย่างกะทันหัน เขากล่าวว่า “ลูกแมวน้อย เรื่องกิเลนแห่งนรก ข้ารู้นะ!”
“เจ้ารู้ว่าอยู่ที่ไหนเช่นนั้นหรือ?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
“กิเลนแห่งนรกนั้นแข็งแกร่งมาก เจ้านั่นอยู่ที่แดนนรก ข้าคิดว่าหวงจิ่วเยี่ยน่าจะรู้เรื่องนี้ดีมากที่สุด”
ตูม โครมมม!
อาถิงยังคงปะทะฝีมือกับจิ่วเยี่ยอยู่กลางอากาศ
กระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณถูกสั่งให้พุ่งออกไป “เสี่ยวถิง ความแข็งแกร่งเพียงเท่านี้ของเจ้า ยังจะคิดสั่งสอนคนอย่างหวงจิ่วเยี่ยอีกหรือ ให้ข้าจัดการเองเถอะ!”
“ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าเข้ามารบกวนกัน!”
“อาถิง พอได้แล้ว!” สุ่ยจิงอิ๋งมองไปที่อาถิงอย่างอ่อนโยน
และเมื่อได้มองใบหน้าที่อ่อนโยนของพี่สาว อาถิงก็ไม่ได้อารมณ์เสียอะไรอีกต่อไปแล้ว
“เหอะ! ไม่สู้ต่อก็ได้”
อาถิงนั้นรู้ดีว่าตนเองนั้นมีความสามารถมากน้อยเพียงใด สู้ไม่ได้ตอนนี้ก็ไม่สู้ รอให้หลังจากนี้เขาสู้ได้แล้ว เขาจะทำให้หวงจิ่วเยี่ยได้เห็นดีกับเขาแน่นอน
“นี่มันคืออะไรหรือ?” อาถิงอ่านสิ่งของที่มู่เฉียนซีเขียนขึ้นมา
“อะไรน่ะ? หงส์นิลแห่งความมืด มังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่าง นี่มันคือของอะไรกัน?”
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “นี่คือสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ในการถอนคำสาปให้กับจิ่วเยี่ย อาถิงเจ้าไม่รู้จักเลยอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่รู้สิ ดูเหมือนว่าถึงจะจัดการคัมภีร์หมื่นคำสาปทั้งสามได้เรียบร้อยแล้วก็ยังไม่เพียงพอสินะ! ช่างวุ่นวายเสียจริง หญิงอัปลักษณ์เช่นเจ้าเหตุใดจะต้องมาเจอผู้ชายแบบนี้ด้วย”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างหมดหนทาง “ในเมื่อต่างก็เจอกันไปแล้ว ยังพอจะมีวิธีอะไรอีกหรือไม่? นี่มันก็เป็นความรับผิดชอบของเจ้าด้วย”
เมื่ออาถิงได้ฟัง ก็ยิ่งระเบิดออกมา!
“เหอะ! ข้าไม่อยากที่จะสนใจเจ้าแล้ว เจ้าก็ค่อย ๆ หาไปเถอะ! หากว่าความแข็งแกร่งของข้าฟื้นฟูถึงขั้นสุดแล้ว ก็ยังพอที่จะมีเวลาจับมันไว้ได้ ตอนนี้เจ้าไม่ต้องคิดถึงมันอีกแล้ว” กล่าวจบอาถิงได้กลายเป็นแสงสีเขียวอ่อนและหายวับไปต่อหน้าต่อตาของมู่เฉียนซี
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ไอ้เจ้าหมอนี่น่าโมโหจริงเชียว! หากว่าตอนนั้นข้าไม่ได้ผูกพันธสัญญากับอาถิง คิดว่าไม่เพียงแต่จิ่วเยี่ยจะไม่มาหาถึงที่ พวกเราอาจจะไม่ต้องมีความสัมพันธ์ใด ๆ เลยก็ได้”
“นั่นก็อาจจะไม่แน่เหมือนกันนะ! ซีเอ๋อร์” สุ่ยจิงอิ๋งกล่าวอย่างอ่อนโยน
การวนกันต่อสู้มาถึงรอบสุดท้ายแล้ว จิ่วเยี่ยทนความรำคาญที่มีต่อพิฆาตวิญญาณไม่ไหวอีกแล้ว
“หายไปซะเถอะ!”
“เจ้าต่างหากที่ควรจะหายไป!”
ตูม!
ทั้งสองเผชิญหน้ากันอย่างดุเดือด พิฆาตวิญญาณไม่มีกาลเทศะเลยแม้แต่น้อย มู่เฉียนซีดูแล้วจึงตัดสินใจว่าจะไม่ให้เจ้าหมอนี่สร้างปัญหาอีกต่อไปแล้ว
“พิฆาตวิญญาณ! หากเจ้ายังมีพลังไม่สู้เหลือพลังไว้จัดการกับศัตรูไม่ดีกว่าหรือ กลับมาหาข้าซะ!”
“ลูกแมวน้อย ข้าไม่เชื่อฟังเจ้าหรอก มีปัญหาอะไรไหม?”
“เหอะ ๆ ๆ! ไม่เชื่อฟังข้า เจ้ามีสิทธิ์เช่นนั้นด้วยหรือ? อย่าลืมเสียสิ!”
พันธสัญญาบีบบังคับ!
สีหน้าของพิฆาตวิญญาณบูดบึ้งขึ้นทันใด “ให้ตายเถอะ!”
พิฆาตวิญญาณได้กลายเป็นลูกบอลเพลิงแล้วหายวับไป และสุดท้ายก็เหลือเพียงมังกรเพลิงที่กลัวจนตัวสั่น และกำลังเผชิญหน้ากับจิ่วเยี่ยที่มีกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวนี้เพียงลำพัง
“ฮือ ๆ ๆ! นายท่าน!” มังกรเพลิงน้ำตาไหลริน จากนั้นก็บากหน้าพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของมู่เฉียนซีด้วยความรวดเร็ว
หลังจากผ่านการพลิกผันมาหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดจิ่วเยี่ยก็สามารถเอามู่เฉียนซีเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดได้แล้ว ส่วนมังกรเพลิงที่ขวางหูขวางตาตัวนั้น ก็ย่อมต้องถูกจิ่วเยี่ยโยนออกไปให้พ้นหูพ้นตาอยู่แล้ว
“ซี!”
“ดูสิ่งนี้สิ!” มู่เฉียนซีได้นำเอากระดาษที่นางเขียนออกมามอบให้กับจิ่วเยี่ย
“ต้องหาของทั้งสี่อย่างนี้ ข้าถึงจะสามารถถอนคำสาปให้ท่านได้”
สายตาของจิ่วเยี่ยกวาดมองไปที่ของทั้งสี่อย่างนั้น และในสิ่งของทั้งสี่อย่างนี้เขารู้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“กิเลนแห่งนรก”
“ท่านรู้จักหรือ?”
“กิเลนแห่งนรก ครั้งหนึ่งมันเคยได้เป็นเจ้าแห่งแดนนรก และในเวลานี้มันก็ซ่อนตัวอยู่ในนรกส่วนที่ลึกมากที่สุดของแดนนรก ซึ่งมันก็แข็งแกร่งมาก!”
สามารถทำให้จิ่วเยี่ยพูดว่าแข็งแกร่งได้ มันจะต้องเป็นสิ่งที่รับมือได้ยากที่สุดอย่างหนึ่งแน่นอน
“แข็งแกร่งเพียงใดกัน?”
“หากไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องคำสาปด้วย ข้าก็น่าจะต่อสู้กับมันได้อย่างสูสี แต่ทว่า…”
ถึงจะต่อสู้กันอย่างสูสี แต่ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถให้มันส่งมอบดีกิเลนออกมาได้
“เจ้าแมวน้อย จัดการกับเจ้านั่นพูดได้ว่ายากและต้องยากมากอย่างแน่นอน แต่จะบอกว่าง่ายมันก็ง่ายอยู่เหมือนกัน ต้องไปหาหอคอยนิรันดร์ เพราะมันคือมือปราบหมื่นอสูร ฉะนั้นการจัดการกิเลนแห่งนรกนั้นคงไม่ใช่เรื่องยาก”
มู่เฉียนซีชะงักไปครู่หนึ่ง “หอคอยนิรันดร์อย่างนั้นหรือ?”
สุ่ยจิงอิ๋งกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ซีเอ๋อร์ ในเมื่อรอดพ้นเคราะห์กรรมมาแล้ว เจ้าก็อยู่ด้วยกันกับจิ่วเยี่ยเถิด! ข้าไม่รบกวนพวกเจ้าทั้งสองแล้ว”
หลังจากที่สุ่ยจิงอิ๋งหายไปอย่างรวดเร็ว จิ่วเยี่ยก็ได้โอบกอดมู่เฉียนซีเอาไว้
“ซี!”
“อื้ม!”
“อื้ออ…”
ช่างน่ายินดีเป็นอย่างมาก ที่เดินมาจนถึงจุดนี้ได้อย่างปลอดภัยโดยไม่สูญเสียสิ่งใด
ในก้าวสุดท้ายนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจะต้องทำให้สำเร็จให้จงได้
และจุมพิตก็ได้โลมไล้ลงมาถึงต้นคอของมู่เฉียนซี “จิ่วเยี่ย…”
“เพราะก่อนหน้านี้ข้าไม่มีสติ ตอนนี้ซีชดเชยให้ข้าหน่อยเถิด!”
“ข้าได้บอกรับปากไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ถึงซีจะไม่รับปาก แต่ข้าก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!”
“…”
หลังจากผ่านการต่อสู้หมุนเวียนที่วุ่นวายมาแล้ว มันไม่ง่ายเลยที่จะกอดคนผู้นี้ และอาหารมื้อนี้ก็ไม่ดีเท่าไรนัก ฉะนั้นจึงรู้สึกขอโทษตัวเองจริง ๆ
แน่นอนว่า ในตอนที่จิ่วเยี่ยเพิ่งจะเริ่ม ก็มีเสียงถอนหายใจหนึ่งดังขึ้นมา
“ไอ้หยา! คนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าในตอนนี้! มันช่าง…”
“มาทำให้สุสานที่งดงามของข้าต้องเละเทะถึงเพียงนี้ยังไม่พอ ตอนนี้ยังมีอารมณ์มาพลอดรักกันอยู่ในนี้อีก จะเคารพนับถือผู้อาวุโสสักหน่อยไม่ได้เลยหรือ”
สายตาที่เย็นยะเยือกของจิ่วเยี่ยกวาดมองไปที่ชายรูปงามที่สวมเสื้อคลุมยาวสีแดงฉานผู้นั้น และพ่นคำออกมาว่า “เทพหงส์จักรพรรดิ!”
นี่ก็คือเทพหงส์จักรพรรดิที่พวกเขาเคยเห็นมาก่อน ในระหว่างกำลังประลองฝีมือกันก่อนหน้านี้
เพียงแต่ว่าในเวลานี้ร่างกายของเขามีความสมจริงมากยิ่งขึ้น
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ท่านเทพหงส์จักรพรรดิ ท่านก็ใจแคบมากเกินไปหน่อยแล้ว! ที่แท้ท่านก็ดูการต่อสู้มาโดยตลอด เช่นนั้นในตอนที่คนของเผ่าท่านกำลังมีอันตราย ไม่คิดเลยว่าท่านจะเอาแต่นิ่งดูดายเช่นนี้”
“ข้าเป็นเพียงคนหนึ่งที่ได้สาบสูญไปจากโลกนี้แล้ว จะให้เข้าไปยุ่งมากมายได้อย่างไรกันล่ะ! เพียงแต่พวกเจ้าก็ได้แสดงปาฏิหาริย์ให้ข้าได้เห็นเช่นกัน”
“ตุ๊กตาตัวน้อยทั้งสองนั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว! ข้าชื่นชมมันมาก เว้นก็แต่ว่าพวกเขาดูจะกระตือรือร้นและเปิดเผยมากเกินไปเสียหน่อย”
คำพูดของเทพหงส์จักรพรรดิ แน่นอนว่ามันคือเรื่องจริง
ท่ามกลางการถูกควบคุมจากคำสาปแห่งความมืดที่แข็งแกร่งที่สุดนั้น มีคนที่ยังสามารถประคองสติเอาไว้ได้
และนอกจากนี้ยังมีสาวน้อยคนหนึ่ง ที่มีมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ถึงห้าชิ้น และทุกคนต่างยอมรับนางเป็นเจ้านาย มันไม่ใช่การบีบบังคับ แต่เป็นการยอมรับมาจากก้นบึ้งของหัวใจของพวกเขาต่างหาก
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ชื่นชมอะไรกัน? เพียงพูดด้วยลมปากเท่านั้นแหละ ท่านมอบของที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงให้ข้าได้หรือไม่ล่ะ!”
“พวกเจ้าทำให้สุสานของข้ากลายเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ได้เรียกร้องค่าชดเชยเลยด้วยซ้ำ! เจ้ายังจะกล้ามาขอของที่มีประโยชน์จริง ๆ อีกเช่นนั้นหรือ?”
“เช่นนั้นผู้อาวุโสก็หลีกทางไปเสียเถอะ! อย่าได้มารบกวนการพลอดรักของเราทั้งสองคนเลย!” มู่เฉียนซีเริ่มออกปากไล่คนเสียแล้ว
“แม่สาวน้อย เป็นไปไม่ได้หรอก! เจ้าต้องการให้ข้าหายไปจริง ๆ หรือ” ครั้งนี้ถึงคราวที่เทพหงส์จักรพรรดิจะต้องประหลาดใจบ้างแล้ว
“ไม่อย่างนั้นแล้วจะทำไมล่ะ?” มู่เฉียนซีเลิกคิ้วกล่าวถาม
เทพหงส์จักรพรรดิมองไปทางมู่เฉียนซีแล้วกล่าวว่า “แม่สาวน้อย พวกเรามาทำข้อตกลงกันเป็นอย่างไร?”
“ข้อตกลงอะไร?”
“เจ้าช่วยอะไรข้าสักเรื่อง? แล้วข้าจะบอกเจ้าว่าหงส์นิลแห่งความมืดอยู่ที่ใด?”
แววตาของมู่เฉียนซีส่องประกายแวววาว “ท่านรู้หรือ?”
“ข้าเป็นถึงบรรพบุรุษของเผ่าหงส์ ไม่มีผู้ใดที่รู้จักเผ่าหงส์ที่มีทั้งหมดได้ดีไปกว่าข้าอีกแล้ว เช่นนั้นข้าต้องรู้แน่นอนอยู่แล้ว”
“ได้ ข้ารับปากท่าน!”
“หรือว่าเจ้าจะไม่ถามข้า ว่าข้าต้องการให้เจ้าทำสิ่งใดเช่นนั้นหรือ?”
“ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม ข้าก็สามารถทำมันได้ ขอเพียงสามารถหาหงส์นิลแห่งความมืดให้เจอ และเอาแก่นเลือดของหงส์นิลแห่งความมืดมาได้ก็พอแล้ว”
“อันที่จริงแล้ว หงส์นิลแห่งความมืดนั้น อยู่ไกลสุดขอบฟ้า และอยู่ใกล้แค่สายตาเท่านั้น” เทพหงส์จักรพรรดิกล่าวด้วยรอยยิ้ม
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ท่านพูดอะไรกัน?”