ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1760 เกาะวิญญาณปีศาจ
นิรันดร์กล่าว “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ข้าชอบเพียงหญิงงามเท่านั้น และเกลียดผู้ชายเหล่านั้นเป็นที่สุด เมื่อไม่ถูกชะตาด้วย แน่นอนว่าเกลียดอย่างไรก็ตอบโต้ไปเช่นนั้น ทำให้พวกเขาได้เสียใจที่ต้องเกิดมาในใต้หล้านี้”
พื้นที่แถบทางตะวันออกเฉียงใต้ของราชวงศ์ตงหวงมีเขตอันตรายอยู่ทั้งหมดสี่เขตใหญ่ จุดหมายปลายทางต่อไปของมู่เฉียนซีคือหนึ่งในสี่เขตอันตรายเหล่านั้น นั่นก็คือเกาะวิญญาณปีศาจ
เกาะวิญญาณปีศาจไม่ใช่เกาะธรรมดาทั่วไป ทว่าเป็นหมู่เกาะขนาดใหญ่หมู่เกาะหนึ่งเลยทีเดียว
สถานที่แห่งนี้เคยเกิดศึกสงครามครั้งใหญ่ระหว่างเผ่าเทพและเผ่าอสูร ท้องนภาแยกออกเป็นสองส่วน พลังอำนาจของเหล่าอสูรแผ่ซ่านไปทั่ว บัดนี้ก่อให้เกิดอสูรชั้นต่ำที่ไร้ซึ่งสติปัญญาขึ้นมากมาย
ถึงแม้อสูรเหล่านี้จะไร้ซึ่งสติปัญญา ทว่าพลังของพวกมันก็ไม่ได้อ่อนแอแต่อย่างใด
ผู้แข็งแกร่งของแดนซวนเทียนไม่ได้ทำลายสถานที่แห่งนี้ทิ้ง ในทางกลับกันพวกเขาได้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ฝึกฝนสำหรับคนหนุ่มสาวที่ยินดีจะเสี่ยงอันตรายอีกด้วย
เมื่อเข้าไปในเกาะวิญญาณปีศาจแล้ว ก็จะต้องผ่านค่ายกลส่งตัวเพื่อที่จะไปยังเกาะแห่งต่าง ๆ จุดหมายปลายทางของค่ายกลส่งตัวของแต่ละเกาะจะมีสัญลักษณ์ที่แสดงถึงพลังความแข็งแกร่งของปีศาจที่อาศัยอยู่ในเกาะนั้น ๆ บอกไว้ ทว่ามันก็ไม่ได้แม่นยำมากนัก แต่ก็สามารถนำมาร่วมพิจารณาได้
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าต้องการไปเกาะหมายเลขสิบสาม!”
“อะไรนะ?เกาะหมายเลขสิบสามถูกขนานนามว่าเป็นเกาะแห่งความตายนะ อาจจะมีปีศาจขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุดอยู่ก็ได้นะ แม่หนูน้อย เจ้า…”
บุรุษวัยกลางคนผู้ทำหน้าที่เฝ้าค่ายกลส่งตัว คิดว่ามู่เฉียนซีกำลังคิดสั้นและอยากฆ่าตัวตาย
ในเมื่อมาเพื่อฝึกฝน แน่นอนว่ามู่เฉียนซีก็จะต้องเลือกสถานที่ที่เสี่ยงอันตรายมากที่สุด เช่นนี้แล้วจึงจะทำให้สามารถเค้นศักยภาพที่มีออกมาได้มากยิ่งขึ้น
อย่างไรเสียก็ใช่ว่านางจะไม่มีวิธีป้องกันตัว
“ใช่แล้ว เกาะหมายเลขสิบสาม ช่วยข้าจัดการด้วย!”
“เกาะหมายเลขสิบสาม ต้องจ่ายด้วยยาลูกกลอนชั้นสวรรค์สิบเม็ด”
สถานที่แห่งนี้ล้วนต้องจ่ายด้วยยาลูกกลอนชั้นสวรรค์เท่านั้น คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถจ่ายได้
มู่เฉียนซีจ่ายยาลูกกลอนไปยี่สิบเม็ด แล้วเดินตามนิรันดร์ไปตรงกลางค่ายกลส่งตัวในทันที
เมื่อผ่านค่ายกลส่งตัวมาถึงเกาะหมายเลขสิบสามแล้ว สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าก็คือสนามรบรกร้างและเก่าแก่แห่งหนึ่ง ท้องฟ้ามืดมัว ทั่วทุกสารทิศแฝงไปด้วยความอันตราย ทำให้รู้สึกถึงความกดดันเป็นอย่างยิ่ง
นิรันดร์กล่าว “ที่รักไม่ต้องกลัว! หากเจ้ากลัวละก็ เข้ามาหลบในอ้อมกอดข้านี่ ข้ารับรองว่าจะไม่มีปีศาจตัวไหนกล้าเข้าใกล้เจ้าแน่นอน”
“หากข้ากลัวข้าคงไม่เลือกที่นี่หรอก!”
“ก็จริง!” นิรันดร์พยักหน้า
“ที่ข้าเลือกที่นี่เป็นเพราะ หนึ่งที่นี่มีความท้าทายมากพอ สองเจ้าอย่าได้คิดหว่านเสน่ห์อะไรที่นี่อีกเลย”
“โอ้ แม่สาวน้อยผู้งดงาม ดูเหมือนเจ้าจะดูถูกความสามารถของข้าไปสักหน่อยแล้ว!” นิรันดร์กล่าวด้วยรอยยิ้มทะเล้น
สถานที่แห่งนี้ทั้งมืดมิดและน่ากลัว ทว่าก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังก้าวไปเบื้องหน้า อย่างไรเสียสถานที่แห่งนี้ก็เป็นสนามรบโบราณ จะต้องมีของล้ำค่าที่ผู้มากความสามารถหลงเหลือไว้อย่างแน่นอน
มีคนจำนวนมากที่ไม่เพียงแต่มุ่งหวังในการฝึกฝนเท่านั้น แต่ยังมุ่งหวังในของล้ำค่าเหล่านั้นอีกด้วย
ครั้นความหนาวเหน็บคืบคลานเข้ามาใกล้ ด้วยสัญชาตญาณมู่เฉียนซี นางจึงชักกระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณออกมา
มือขาวสะอาดดั่งหยกข้างหนึ่งจับฝักกระบี่ไว้ “แม่ยอดรัก มีข้าอยู่ตรงนี้ทั้งคน เจ้ายังจะใช้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อีกหรือ แบบนี้ข้าหึงนะรู้หรือไม่! ความเคยชินนั้นยากจะปรับเปลี่ยน ตอนนี้เจ้าต้องคุ้นชินกับพลังของข้าได้แล้วนะ”
มู่เฉียนซีจึงเก็บกระบี่มังกรเพลิงกลับไป นางเคยปะทะกับมู่หลินหลางแห่งวังเป่ยกงมาแล้ว กระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณเปิดเผยตัวตนได้ง่ายเกินไป ความคุ้นชินนี้ไม่ดีเอาเสียเลย
“พลังวายุกักขังวิญญาณ!” สายลมอันแสนคมกริบและเย็นยะเยือกได้จัดการปีศาจสองตัวจนแน่นิ่งไปภายในชั่วพริบตา
ปัง!
ภายใต้พลังทำลายล้างของธาตุวายุ ร่างของพวกมันก็แหลกสลายไม่เป็นชิ้นดี
เนื่องจากพลังของพวกมันอ่อนแอ ดังนั้นมู่เฉียนซีจึงจัดการพวกมันได้ง่ายดายดั่งปลอกกล้วยเข้าปาก
นิรันดร์กล่าว “ที่รัก เมื่อมีข้าอยู่เจ้าจะค่อย ๆ คุ้นชิ้นไปอย่างช้า ๆ เอง”
หลังจากนั้นมู่เฉียนซีก็ได้พบเจอกับปีศาจจำนวนไม่น้อย ส่วนนิรันดร์ก็คอยชี้แนะมู่เฉียนซีอยู่ข้าง ๆ
นิรันดร์ที่คอยชี้แนะด้วยความตั้งอกตั้งใจก็ไม่ได้ทำตัวเหลาะแหละแต่อย่างใด ทำให้มู่เฉียนซีได้รับประโยชน์ไปไม่น้อย
การต่อสู้ที่เกิดขึ้นตลอดทางนั้นเป็นไปได้อย่างราบรื่น ปีศาจเหล่านี้แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง บ้างก็อยู่ในลักษณะของมนุษย์ บ้างก็ไม่ต่างอันใดจากสัตว์ร้ายที่กำลังบ้าคลั่ง
เมื่อฝึกฝนตามลำพังไปได้ระยะหนึ่ง มู่เฉียนซีที่เป็นคนไวต่อความรู้สึก ก็สัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังเข้าใกล้ตนเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้มาเยือนเป็นกลุ่มคนเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ทุกคนล้วนสวมอาภรณ์ประจำสำนัก ดูเหมือนจะเป็นศิษย์ที่เดินทางออกมาฝึกฝนนอกสำนัก
ผู้นำกลุ่มเป็นศิษย์หญิงคนหนึ่ง อย่างน้อย ๆ พลังของนางก็คงอยู่ในระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูต รูปร่างหน้าตาก็สะสวยงดงาม
“แม่นางผู้นี้อายุยังน้อยแต่ก็มาฝึกฝนที่เกาะวิญญาณปีศาจหมายเลขสิบสามแล้วหรือ อีกทั้งยังมีอาจารย์ที่คอยชี้แนะอย่างเต็มที่เช่นนี้อีก ช่างน่าอิจฉาจริงเชียว”
ขณะที่แม่นางผู้นั้นกำลังเอื้อนเอ่ย สายตาของนางก็ทอดมองไปยังนิรันดร์อย่างไม่ลดละ
มู่เฉียนซีกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย นางประเมินเสน่ห์ของนิรันดร์ต่ำไปจริง ๆ
นางสงสัยว่านิรันดร์ผู้นี้มีแสงรัศมีเสน่ห์ทำให้ผู้คนหลงใหลรายล้อมอยู่รอบกายหรือไม่ ช่างเป็นตัวนำพาหายนะมาเสียจริง
มู่เฉียนซีไม่อยากกล่าวอ้อมไปอ้อมมาให้มากความ
นางจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “พวกเจ้าเข้ามาทักทายกันเช่นนี้ มีธุระอันใดหรือไม่?”
แม่นางผู้นั้นทอดมองไปยังนิรันดร์แล้วกล่าว “คืออย่างนี้ พวกเราค้นพบสถานที่แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงอยู่จำนวนไม่น้อย แต่ก็มีปีศาจระดับสูงวนเวียนอยู่บริเวณนั้นด้วย หากถูกพวกมันโจมตี พวกเราคงตกอยู่ในอันตรายและคงไม่รอดกลับไปสักคน ดังนั้นจึงมาหาสหายร่วมกลุ่มด้วย”
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสยินดีจะร่วมมือกับพวกเราหรือไม่”
“ผู้อาวุโส! ข้าดูแก่ขนาดนั้นเลยหรือ?” นิรันดร์กล่าวด้วยท่าทางไม่พอใจเท่าใดนัก
แม้กระทั่งสีหน้ายามเจ้าตัวหายนะโกรธ ก็สามารถทำให้คนหลงใหลจนวิญญาณสั่นสะท้านได้อย่างง่ายดาย
“เปล่า! คุณชายยังหนุ่มมาก ๆ ข้าเห็นว่าคุณชายมีความสามารถและพลังแกร่งกล้าจึง…”
“ไม่ต้องอธิบายแล้ว ข้าเองก็ไม่ใช่คนมีเหตุผลสักเท่าไร”
“เช่นนั้นคุณชายตอบตกลงแล้วใช่หรือไม่?” นางทอดมองไปยังนิรันดร์ด้วยสายตาอันเปี่ยมล้นไปด้วยความหวัง
ทว่าสายตาของนิรันดร์กลับทอดมองไปยังมู่เฉียนซีเพียงผู้เดียว “เรื่องนี้เจ้าไม่ควรถามข้า หากจะถามก็ถามศิษย์ที่รักของข้า ข้าฟังคำนางเพียงผู้เดียว ใช่หรือไม่! ศิษย์ที่รักของข้า”
นิรันดร์เผยรอยยิ้มพราวเสน่ห์ ประดุจดั่งปีศาจที่คอยหลอกให้ผู้คนหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้นก็มิปาน
นอกจากศิษย์พี่หญิงผู้นี้แล้ว ศิษย์น้องหญิงคนอื่น ๆ ของนางต่างก็ปรากฎความลุ่มหลงในตัวนิรันดร์ผ่านทางสีหน้าออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ศิษย์ผู้ชายคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาต่างพากันก่นด่าว่ากล่าวอยู่ในใจ ปีศาจจิ้งจอกตัวนี้โผล่มาจากที่ใดกัน!
ผู้หญิงคนนั้นทอดมองไปยังมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “สวัสดี พวกเราเป็นศิษย์จากสำนักสำนักอวิ๋นซิ่ว และข้าคือซิ่วจวนของพวกเขา”
ขณะเดียวกันนางก็กล่าวกับตัวเองในใจว่า ‘คุณชายท่านนี้รักและเอ็นดูเด็กน้อยคนนี้มากจริง ๆ มิฉะนั้นเด็กน้อยที่มีพลังเพียงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหก เมื่อมาถึงเกาะหมายเลขสิบสามแล้ว ก็คงจะถูกปีศาจเหล่านั้นแยกร่างออกเป็นชิ้น ๆ ไปตั้งนานแล้ว’
อาวุธศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่น สำหรับมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์แล้ว ก็ไม่ต่างอะไรจากขยะไร้ค่าแม้แต่น้อย
มู่เฉียนซีเองก็ไม่ได้สนใจอันใดมากนัก ทว่าหากมีปีศาจที่แข็งแกร่งกว่าให้ได้ลองท้าทายแล้ว มู่เฉียนซีก็ไม่คิดปฏิเสธแต่อย่างใด
นางพยักหน้าแล้วกล่าว “ข้าคือมู่เฉินซี ข้าตกลงที่จะร่วมมือกับพวกเจ้า”
“ในเมื่อศิษย์ที่รักของข้าตกลงแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ออกเดินทางกันเถอะ!” นิรันดร์กล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส
“ได้!”
พลังของคุณชายผู้นี้ยากนักที่จะคาดเดาได้ หากมีเขาอยู่ด้วยแล้วละก็ โอกาสที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จก็ยิ่งสูงมากขึ้น
ศิษย์สำนักอวิ๋นซิ่วเหล่านั้นต่างก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
ซิ่วจวนเป็นผู้นำทางพวกเขาไปยังสถานที่แห่งนั้น ระหว่างทางก็เริ่มมีกองกระดูกเยอะมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ผุพังและขึ้นสนิมมากมายหลายประเภทต่างก็กระจัดกระจายไปทั่วทุกพื้นที่
ด้านหน้ามีพลังวิญญาณที่ไม่เลวอยู่เล็กน้อย คงจะเป็นพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์
ระหว่างทางมีปีศาจจำนวนหนึ่งที่คอยพุ่งเข้ามาโจมตี ทว่าก็ถูกศิษย์ของสำนักอวิ๋นซิ่วจัดการไปจนสิ้นซาก ภายใต้การคุ้มครองของนิรันดร์ มู่เฉียนซีก็ไม่จำเป็นต้องออกแรงใด ๆ แม้แต่น้อย ซิ่วจวนจึงแอบรู้สึกอิจฉาริษยาอยู่ในใจ หากต้องการคนคอยปกป้องเช่นนั้น แล้วจะมาฝึกฝนที่เกาะวิญญาณปีศาจทำไมกัน?เช่นนั้นมิสู้นอนเล่นอยู่ในเรือนไม่ดีกว่าหรือ!