ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1792 เปิดตัวกระบี่วิญญาณ
ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่ไม่อยากจะเชื่อ มู่เฉียนซีกลับก้าวขึ้นไปบนแท่นประลองชั้นที่หนึ่งด้วยท่าทางสุขุมเป็นอย่างยิ่ง
หวังฉงเหลือบมองมู่เฉียนซีด้วยสีหน้าท่าทางดูแคลน แล้วกล่าว “เมื่อก้าวขึ้นแท่นประลองของหอคอยซิงเหลยแล้ว จะไม่มีการอนุญาตให้ยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ประลองหรอกนะ แต่วันนี้ข้าอารมณ์ดีชนะติดต่อกันสิบสนาม ข้าจะออมมือให้เด็กสาวตัวเล็ก ๆ อย่างเจ้าก็แล้วกัน ถ้าจะให้ดีเจ้าต้องรู้สำนึกสักหน่อยนะ”
มู่เฉียนซียังคงมีท่าทีสงบสุขุมไม่แปรเปลี่ยน นางแหงนหน้าขึ้นมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วกล่าว “ข้าต้องขออภัยที่จะบอกเจ้าว่า วันนี้เจ้าไม่มีทางชนะติดต่อกันสิบสนามได้หรอก”
ทุกคนต่างจ้องมองไปยังมู่เฉียนซีด้วยความตกตะลึงยิ่ง ดรุณีน้อยอาภรณ์สีม่วงผู้นี้มีรูปโฉมงดงาม ดวงตาเปรียบดั่งดวงดารา ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาขาวสะอาด ท่าทางสุขุมอีกทั้งยังดูสูงส่งสง่างาม ราวกับผู้มากฝีมือที่ถูกบ่มเพาะมาจากสำนักใหญ่ ๆ ที่ทรงอิทธิพลก็มิปาน
คนประเภทนี้แทบจะไม่ใช่คนที่สุขุมอย่างที่พวกเขาจินตนาการไว้ ทว่าเป็นคนประเภทสุขุมที่แฝงไปด้วยความน่าเกรงขามอันน่ายำเกรง
“เจ้าว่าอะไรนะ? ไหนลองว่ามาอีกทีสิ?” มู่เฉียนซีกล่าวออกไปโดยไม่ให้เกียรติเขาต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ คิ้วของหวังฉงจึงขมวดติดกันในทันที ท่าทางที่กำลังโกรธเกรี้ยวเดือดดาลของเขานี้ หากเป็นดรุณีน้อยผู้บอบบางแล้วละก็ คงตกใจกลัวจนร้องไห้ไปแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าไม่อยากเสียเวลา เริ่มประลองเลยได้หรือไม่!”
ผู้ดำเนินการประลองได้เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเริ่มประกาศการประลองครั้งที่สิบของหวังฉงขึ้นในทันที
หวังฉงได้ปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมาแล้ว ท่าทางดูน่าเกรงขามอยู่ไม่น้อย เขากล่าวด้วยความโกรธแค้น “เดิมทีข้าก็อยากจะออมมือให้เจ้าสักหน่อย แต่ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักสำนึก เห็นทีหากไม่ฝากรอยแผลรอยเลือดไว้บนตัวเจ้าบ้างก็คงจะไม่ได้การแล้ว”
ทันทีที่มือหนาโบกไปมา ดาบขนาดใหญ่ความสูงราว ๆ ตัวของหวังฉงก็ปรากฎขึ้นในทันที
หากถูกดาบเล่มนี้ฟันจนเลือดตกยางออก เช่นนั้นแล้วบาดแผลนั้นจะน่ากลัวมากเพียงใดกัน!
“หวังฉงจริงจังขึ้นมาแล้ว น่าเสียดายจริง ๆ” โหยวหรูกล่าวด้วยความเสียดาย
เมื่อหวังฉงเริ่มโจมตี ก็เปรียบดั่งพยัคฆ์ที่พุ่งออกมาจากพงไพร ความน่าเกรงขามนั้นยากจะต้านทาน เขาเหวี่ยงดาบเล่มใหญ่ที่หนักราวกับภูผาพันลูกออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อพบว่าเลือดของมู่เฉียนซีกำลังจะสาดกระเซ็นไปทั่วสนาม ก็มีคนที่ทนดูต่อไปไม่ได้
ทว่าคนที่กำลังจับจ้องการประลองบนแท่นประลองกลับพบว่ามู่เฉียนซีได้หายตัวไปอย่างปริศนาแล้ว
“หายไปแล้ว นี่มันทักษะวิญญาณอันใดกัน?”
“ผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวายุ เด็กสาวคนนั้นเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวายุ”
“ความเร็วขนาดนี้สำหรับผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวายุ นับว่าเป็นพลังที่แข็งแกร่งมากเลยทีเดียว! เป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสูงสุดอย่างนั้นหรือ? หวังฉงกำลังจะแพ้แล้ว”
ความเร็วในการหายตัวของมู่เฉียนซีนั้นเร็วมากจริง ๆ เร็วเสียจนพวกเขาไม่สามารถคาดเดาได้ว่า ที่สุดแล้วพลังของมู่เฉียนซีอยู่ในระดับขั้นใดกันแน่
ทว่าผู้ดำเนินการประลองทราบถึงพลังของมู่เฉียนซีเป็นอย่างดี เขาได้ดูแบบทดสอบก่อนที่จะเข้าร่วมหอคอยซิงเหลยมาก่อนแล้ว พลังของนางไหนเลยจะเป็นเพียงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสูงสุดเพียงเท่านั้น?
ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิระดับหกวิปริตถึงเพียงนี้ บ้าบอน่ะสิ!
เมื่อเป้าหมายที่ตนกำลังจะทำการโจมตีได้หายวับไปต่อหน้าต่อตา หวังฉงก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดเขาก็เข้าใจได้เสียทีว่าเขาประเมินคู่ต่อสู้ตัวน้อยผู้นี้ต่ำเกินไปแล้ว
ทว่าเมื่อเขาตั้งสติขึ้นได้นั้น ก็มีพัดวิหคเฟิงหลิงมาจ่อที่ลำคอของเขาเสียแล้ว
เส้นเลือดในข้อมือของเขาเต้นตุบ ๆ จนแทบจะปริแตกอยู่รำไร เขากำดาบไว้ในมือแน่นและไม่กล้าขยับเขยื้อนตัวแต่อย่างใด
เหตุการณ์ทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดขึ้นรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ราวกับเพียงช่วงเวลาหายใจก็สามารถตัดสินผลแพ้ชนะได้ก็มิปาน
หวังฉงเบิกตาจ้องมองดรุณีน้อยที่อยู่เบื้องหน้า ดวงตาดำขลับคู่นั้นแฝงไปด้วยหนาวเหน็บราวกับเกล็ดน้ำแข็ง
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อื้ม! คิดจะทำให้ข้าเลือดตกยางออกรึ ไม่มีทางเสียหรอก แต่ข้าสามารถให้เจ้าลองดูได้”
“พลังวายุกักขังวิญญาณ!”
ภายในชั่วพริบตาหวังฉงก็รู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งร่าง พลังธาตุวายุที่อยู่รอบกายก็เกิดปั่นป่วนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
“อ้าาา!”
หวังฉงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ภายในชั่วพริบตาใบมีดวายุก็ได้ฝากบาดแผลที่ลึกลงไปจนเห็นกระดูกตามเนื้อตัวของเขาจนนับไม่ถ้วน ร่างสูงใหญ่ของหวังฉงล้มลงกระแทกพื้นพร้อมกับโลหิตที่แข็งตัว
ในขณะนั้นเองร่างสีม่วงก็ได้ออกห่างเขาไปไกลแล้ว โลหิตของนางก็ไม่มีไหลรินออกมาแม้แต่หยดเดียว
“ความเร็วขั้นสูงสุด ทักษะวิญญาณก็สุดยอดไปเลย”
“นะ…นางเป็นเพียงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิระดับหกเท่านั้น! นี่มันไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย”
“ระดับหก ระดับหกจริง ๆ นะ!”
พลังของมู่เฉียนซีที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ทำให้ทุก ๆ คนรู้สึกตกตะลึงไปไม่น้อย
ครานี้ผู้คนที่เข้าร่วมการประลองก็เริ่มมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีขึ้นทีละน้อย เขากล่าวด้วยความทอดถอนใจ “หวังฉงก็แข็งแกร่งมากแล้ว มาตอนนี้เพียงแค่แท่นประลองชั้นหนึ่งก็มีปีศาจวิปริตโผล่มาอีก จากนี้คงลำบากน่าดู”
“คนเราตัดสินกันที่หน้าตาไม่ได้จริง ๆ สำหรับนางแล้ว การข้ามระดับชั้นการประลองคงเป็นอะไรที่สบายมาก ๆ อีกทั้งยังเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวายุที่ชำนาญในการใช้ความเร็วอีกด้วย”
“……”
หวังฉงถูกนำตัวลงแท่นประลองไปทำการรักษา ผู้ดำเนินการประลองจึงทำการประกาศ “สนามนี้มู่เฉินซีเป็นฝ่ายชนะ”
ครานี้เองที่ทุก ๆ คนได้ทราบว่าดรุณีน้อยที่ทำให้หวังฉงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้มีนามว่ามู่เฉินซี
มู่เฉียนซีเลือกที่จะไม่หยุดพัก นางจึงกล่าวขึ้นขณะอยู่บนแท่นประลองว่า “ข้ายังต้องการท้าประลองต่อ ผู้ใดจะรับการท้าประลองจากข้า”
บริเวณที่นั่งของผู้เข้าร่วมการประลองก็เงียบเชียบขึ้นมาในบัดดล แม้กระทั่งหวังฉงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง แน่นอนว่าก็ต้องไม่มีผู้ใดกล้ารับการท้าประลองจากนาง
ในขณะนั้นเอง บุรุษใบหน้าดำคล้ำผู้หนึ่งก็พุ่งออกไปเบื้องหน้าแล้วกล่าว “ข้าฉงเฉิง ยินดีรับคำท้าของเจ้า”
ฉงเฉิงผู้นี้ชนะติดกันสามสนามนั้นถือว่าน้อยมาก ๆ แต่เนื่องจากเขาชอบท้าประลองกับคนที่มีพลังแข็งแกร่งกว่า เช่นนี้แล้วเขาจึงพ่ายแพ้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ยิ่งเขาแพ้เขาก็ยิ่งท้าประลองมากขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ เช่นกัน
เมื่อการประลองเริ่มขึ้น ผู้ชมต่างก็คิดว่ามู่เฉียนซีจะใช้ความเร็วที่เป็นฝ่ายเหนือกว่าฉงเฉิงมาต่อสู้กับเขา เนื่องจากความเร็วของนางได้แสดงให้ทุกคนเห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วเมื่อครู่นี้ ฉงเฉิงไม่มีทางไล่ตามนางทันได้อย่างแน่นอน
ทว่ามู่เฉียนซีกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น นางได้ใช้พลังของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิที่เรียบง่ายประลองกับฉงเฉิงแทน
“พลังวายุกักขังวิญญาณ!”
“หมัดระห่ำไร้เทียมทาน!”
ครืน ครืน!
ฉงเฉิงดื้อรั้นเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อต้องต่อสู้กับมู่เฉียนซีแล้ว เขาก็ทำได้เพียงยืนหยัดต่อไปได้อีกสามกระบวนท่าเท่านั้น
“ทักษะวิญญาณธาตุวายุชักจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ฉงเฉิงเองก็มีทักษะวิญญาณระดับเจ็บ แต่กลับถูกทักษะวิญญาณของนางข่มเสียจนไม่เหลือหลอ”
“นั่นก็เป็นทักษะวิญญาณที่สูงแล้ว หากจะให้มู่เฉินซีข้ามระดับขั้นการประลองก็เป็นอะไรที่สบายมาก ๆ เห็นทีคนที่มีระดับขั้นมากกว่าเพียงหนึ่งขั้นจะไม่มีทางชนะนางได้เลย นอกเสียจากจะมีคนที่ฝึกฝนทักษะวิญญาณระดับสูงเท่านั้น”
“ข้าดูการประลองมาหลายสนามแล้ว แต่ข้าก็ยังไม่เห็นว่าจะมีใครที่มีทักษะวิญญาณแบบนี้เลย!”
มู่เฉียนซีที่ชนะติดต่อกันสองครา ก็ได้ทำการประลองต่อไป การประลองถึงสองสนามติดต่อกัน ไม่ได้ทำให้พลังวิญญาณของนางลดน้อยลงแต่อย่างใด
มู่เฉียนซียังคงท้าประลองต่อไป และก็มีคนรับคำท้าประลองของนางอยู่เนืองๆ มู่เฉียนซีเองก็ได้ชนะติดต่อกันสี่สนาม ห้าสนาม เจ็ดสนาม…
มีคนบ่นขึ้น “วันนี้ทั้งวัน นางคงอยากจะชนะติดต่อกันสิบสนามแล้วเลื่อนขั้นไปชั้นสองสินะ”
“ต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ”
เมื่อมู่เฉียนซีชนะติดต่อกันเป็นสนามที่เก้าแล้ว บุรุษสีหน้าเย็นชาผู้หนึ่งก็ได้ปรากฎตัวขึ้นบริเวณที่นั่งของผู้เข้าร่วมการประลอง
“คนผู้นั้นดูเหมือนจะเป็นชิงซวนใช่หรือไม่! ทั้งเก้าสนามก่อนหน้านี้ที่เขาประลองมา ก็สามารถใช้กระบี่จัดการคู่ต่อสู้ได้ภายในชั่วพริบตา กระบี่ของเขามันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”
“ได้ยินมาว่าเขาประลองไม่ครบสิบสนาม เพราะมีธุระอะไรบางอย่างก็เลยออกจากการประลองไป คาดไม่ถึงว่าวันนี้จะบังเอิญเช่นนี้”
“ดูเหมือนชิงซวนจะรับคำท้าประลองของมู่เฉินซีเป็นแน่ ครานี้จึงจะเรียกว่าดุเดือด สมน้ำสมเนื้อ”
ไม่เกินความคาดหมาย ชิงซวนได้ตอบรับคำท้าของมู่เฉียนซีจริง ๆ
ชิงซวนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ได้ยินมาว่าความเร็วของเจ้านั้นเหนือชั้น ข้าสงสัยยิ่งว่าที่สุดแล้วความเร็วของเจ้าหรือกระบี่ปีศาจของข้าที่เร็วกว่ากัน”
มู่เฉียนซีกล่าว “แน่นอนว่าต้องเป็นข้าอยู่แล้ว!”
เมื่อการประลองเริ่มขึ้น ชิงซวนก็ได้ชักกระบี่ออกมา กระบี่ของเขามีความเร็วสูงอีกทั้งยังมีวิญญาณปีศาจราวกับภูติผีที่คอยล้อมรอบมู่เฉียนซีไว้ก็มิปาน
“เงาปีศาจกระชากวิญญาณ!”
ครั้นประกายกระบี่กำลังจะปลิดชีพอีกฝ่าย ร่างสีม่วงก็ได้วาบหายไปราวกับภูติปีศาจก็มิปาน
อยู่ตรงนั้น! นัยน์ตาของชิงซวนมีประกายแสงวาบผ่าน เมื่อไล่จับร่างของมู่เฉียนซีได้ เขาก็เหวี่ยงกระบี่ออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า “เงาปีศาจล่าวิญญาณ!”