ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1793 รอเจ้าที่ชั้นสิบ
กระบี่ถูกเหวี่ยงออกมาเป็นแนวนอน ไอสังหารที่แผ่ซ่านออกมาจากกระบี่เย็นยะเยือกเป็นอย่างยิ่ง การฟาดกระบี่ออกไปในครานี้ร้ายแรงถึงชีวิต
มู่เฉียนซีที่ถูกโจมตีอีกครั้ง แต่นางกลับยืนนิ่งเฉยอยู่ที่เดิม นางได้ถือพัดไว้ในมือ ภายในชั่วพริบตาพัดวิหคเฟิงหลิงก็กลายเป็นกระบี่หยกไปในทันที
ปัง!
กระบี่สองเล่มได้ปะทะกันอย่างรุนแรง
กระบี่วิหคเล่มนั้นให้ความรู้สึกบางเฉียบดั่งหยก เบาดั่งขนนก และความจริงแล้วมันก็เป็นเช่นนั้น ทว่ากระบี่วิญญาณก็ไม่อาจทำอะไรได้แม้แต่น้อย
ชิงซวนหน้าถอดสีไปในทันที ร่างของเขาได้ลอยกระเด็นออกไปไกล
ในฐานะมือกระบี่คนหนึ่ง ในที่สุดเขาก็สามารถสัมผัสได้แล้วว่ากระบี่ที่อยู่ในมือของมู่เฉียนซีนั้นเป็นกระบี่ชั้นสูง
เมื่อเขาลงมือโจมตีมู่เฉียนซีอีกครั้ง กระบวนท่ากระบี่ของเขาก็ได้ผิดแปลกไป
มู่เฉียนซีก็ได้ทำการตอบโต้กลับไป นี่เป็นการประลองที่ดุเดือดเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากพัดวิหคเฟิงหลิงและทักษะวิญญาณธาตุวายุที่นิรันดร์คอยให้คำชี้แนะนั้นเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง ทำให้การประลองในครานี้ให้ความรู้สึกราวกับกำลังชมภาพวาดโคลงกลอนก็มิปาน
ปัง!
เมื่อกระบี่ทั้งสองเล่มปะทะกันอีกครั้ง บนแท่นการประลองก็ปรากฎรอยแตกหักขึ้นหลายรอย
ร่างของคนทั้งสองแทบจะกลายเป็นปีศาจอยู่รอมร่อ มีคนจำนวนไม่น้อยที่มองเห็นการเคลื่อนไหวของพวกเขาได้ไม่ชัดเจนนัก
นี่เป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่เลวคนหนึ่ง มู่เฉียนซีที่ประลองมาแล้วสิบสนาม นางก็ยอมรับว่าชิงซวนผู้นี้เป็นสุดยอดฝีมือของการประลองชั้นหนึ่งจริง ๆ
เมื่อปะทะกันไปมาแล้วแปดครั้งแปดครา ชิงซวนก็ทำอะไรมู่เฉียนซีไม่ได้แม้แต่น้อย และมู่เฉียนซีก็สัมผัสได้ว่าความเร็วของเขาเริ่มลดลงแล้วด้วย
ยามลงมืดฟาดกระบี่ก็ไม่ได้มีความเด็ดขาดมากขนาดนั้น นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่สิ!
พัดวิหคเฟิงหลิงได้แปลงร่างอีกครั้ง ครานี้พัดวิหคเฟิงหลิงได้แปรสภาพเป็นใบพัดอันแหลมคม แล้วพุ่งเข้าใส่ชิงซวนอย่างรวดเร็ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีทั้งสี่ทิศทาง ชิงซวนก็จำจะต้องหลบหลีกออกไปด้วยความสุขุม
“อาวุธวิญญาณชิ้นนี้ยอดเยี่ยมไปเลย!”
“ข้าสงสัยว่ามันจะต้องเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุดอย่างแน่นอน ดาบปีศาจนั่นก็เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน เจ้าดูสิมันไม่สามารถทำอะไรพัดเล่มนั้นได้เลย”
“……”
ผู้บำเพ็ญภูตที่พลังความสามารถมากล้น ทักษะวิญญาณก็แกร่งกล้า อีกทั้งยังมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้นอีก ไม่รู้ว่าเป็นผู้มากฝีมือจากที่ใดที่ออกมาฝึกฝนวิชา ช่างน่าตกใจเสียจริง ๆ
มู่เฉียนซีวาบผ่านไปราวกับภูตผีปีศาจ ใบพัดที่แผ่ขยายออกมาก็แปรงร่างเป็นพัดวิหคเล่มหนึ่ง ภายในชั่วพริบตานางก็ได้ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าชิงซวน และพัดวิหคเล่มนั้นก็ได้จ่ออยู่บริเวณลำคอของชิงซวนแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าแพ้แล้ว!”
ชิงซวนจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยสายตาที่ไม่ยอมแพ้ มู่เฉียนซีกล่าว “หากไม่ยอมแพ้ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ชั้นสิบ! ถึงยามนั้นข้าจะใช้กระบี่วิญญาณธรรมดาต่อสู้กับเจ้าแทน จะได้รู้แพ้รู้ชนะกันไป เจ้าว่าอย่างไร?”
ชิงซวนทอดมองไปยังมู่เฉียนซีด้วยความตกตะลึง ขณะนี้มู่เฉียนซีได้ชนะการประลองติดต่อกันสิบสนามตามที่หวังไว้แล้ว นางจึงลงจากแท่นการประลอง
กระบี่ปีศาจชิงซวน ใช่ว่าเขาจะไม่สนใจเรื่องแพ้ชนะ ทว่าเขาสนใจกระบี่ที่อยู่ในมือของเขาตอนนี้เสียมากกว่า
เดิมทีกระบี่เล่มนี้ก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักอยู่แล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอาวุธศักดิ์สิทธิ์อย่างพัดวิหคเฟิงหลิง มันก็ยิ่งเข้าใกล้คำว่าพังทลายลงไปอีก ดังนั้นชิงซวนจึงไม่กล้าใช้กระบี่วิญญาณจนสุดกำลังมากนัก
ชิงซวนทอดมองไปยังมู่เฉียนซีที่กำลังเดินจากไป เขากำหมัดไว้แน่น “ชั้นสิบอย่างนั้นรึ? เขาจะขึ้นไปให้ได้”
มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกอิจฉามู่เฉียนซี การประลองทั้งสิบสนามของมู่เฉียนซีนั้นใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามด้วยซ้ำไป
แน่นอนว่านี่ไม่ได้เป็นการทำลายสถิติเวลาที่สั้นที่สุดในชั้นหนึ่งของหอคอยซิงเหลย ทว่าผู้ที่สามารถทำได้ในระดับนี้แน่นอนว่าก็มีจำนวนไม่มาก
นี่เป็นเพียงชั้นที่หนึ่งเท่านั้น ถึงแม้จะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้เข้าร่วมการประลองและผู้ชมได้ ทว่าก็ไม่ได้ทำให้เกิดความตื่นตระหนกไปทั่วหอซิงเหลยขนาดนั้น
มู่เฉียนซีไม่ได้พักผ่อน ทว่ากลับทำการประลองต่อในชั้นที่สอง
ครั้นเพิ่งมาถึงชั้นที่สอง การประลองในชั้นนี้ก็เพิ่งสิ้นสุดไปได้ไม่นาน มู่เฉียนซีก็รับคำท้าในทันที
“เพิ่งขึ้นมาจากชั้นที่หนึ่ง ก็เข้าร่วมการประลองเลยหรือ ใจกล้าไม่เบา!”
“แม่นางผู้นี้ใจร้อนเกินไปแล้ว”
“……”
ตั้งแต่มู่เฉียนซีขึ้นแท่นประลองจนกระทั่งการประลองสิ้นสุดลง นางก็ได้ใช้เวลาที่สั้นเป็นอย่างยิ่ง
ความเร็วอันน่าประหลาดนั้น ทำให้ทุก ๆ คนต่างรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย
“ผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวายุช่างน่าชังเสียจริง! เร็วขนาดนั้นแล้วจะต่อสู้ด้วยได้อย่างไร?”
“ความเร็วขนาดนั้นมันรังแกกันชัด ๆ”
“……”
จะว่าไปแล้วพลังและความสามารถของมู่เฉียนซีก็รังแกผู้อื่นจริง ๆ ไม่เพียงแค่ความเร็วเท่านั้น แต่ยังเป็นการเริ่มและจบการประลองที่แสนรวดเร็วอีกต่างหาก ไม่นานนักนางก็สามารถชนะการประลองทั้งสิบสนามของชั้นที่สองได้อย่างรวดเร็ว
“การที่ทักษะวิญญาณข้ามระดับขั้นไปหนึ่งระดับก็เป็นอะไรที่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ทว่าจากความเร็วของนางแล้ว การที่นางจะข้ามมาระดับสองก็เป็นอะไรที่ง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง”
“ชักจะน่าตื่นเต้นเกินไปแล้ว นางเป็นใครกัน! รีบไปสืบมาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
“……”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมู่เฉียนซีเพียงคนเดียวก็ยังพอไหว แต่ไม่นานนักกระบี่ปีศาจชิงซวนก็ได้ไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อการประลองสิบสนามในชั้นสามเสร็จสิ้น นางก็ได้ขึ้นไปยังชั้นสี่ ชั้นห้า…
ชั้นหก ชั้นเจ็ด ชั้นแปด ชั้นเก้า…
มู่เฉียนซีไม่ได้หยุดพักแต่อย่างใด จุดมุ่งหมายของนางคือพุ่งทะยานขึ้นไปยังชั้นสิบอย่างชัดเจน
คนที่บ้าคลั่งเช่นนี้ภายในหอซิงเหลยก็มีเช่นกัน ทว่าปกติแล้วพลังของคนเหล่านี้ก็มักจะอยู่ที่ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสูงสุด ทว่าคนผู้นี้กลับเป็นเพียงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหกเท่านั้น! เด็กรับใช้ที่คอยนำทางให้กับมู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้น “แม่นางมู่ แม่นางได้ประลองไปแล้วถึงเก้าสิบสนาม! ต้องการให้ข้าน้อยนำทางไปห้องรับรองก่อนหรือไม่ ชั้นสิบล้วนเป็นผู้มากฝีมือระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิระดับสูงทั้งนั้น แม่นางทำได้เพียงพักผ่อนให้พลังวิญญาณฟื้นฟูก่อน จึงจะทำการต่อสู้ได้อย่างเต็มที่”
มู่เฉียนซีกล่าว “ไม่เป็นไร ทำการประลองต่อเลยดีกว่า!”
ถึงแม้จะทำการประลองติดต่อกันเก้าสิบสนามแล้ว ทว่าพลังวิญญาณของมู่เฉียนซีก็ไม่ได้สูญเสียไปแต่อย่างใด
ไป๋จิ่งเยว่ที่ทำการประลองไปได้ครู่ใหญ่ เมื่อไม่มีผู้ใดรับคำท้าประลอง เขาจึงเลือกที่จะพักผ่อน และได้มาหามู่เฉียนซีที่แท่นประลองของขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูต
ทว่าเขาก็ไม่พบมู่เฉียนซีในชั้นหนึ่ง ชั้นสองก็ไม่มี ชั้นสามก็ไม่เห็น…
ไป๋จิ่งเยว่ตกตะลึงไปในทันที แม่นางมู่คงไม่ได้ทำการประลองไปเรื่อย ๆ จนไปถึงชั้นสิบแล้วหรอกนะ!
ทันทีที่ขึ้นไปบนชั้นสิบ เขาก็ได้พบมู่เฉียนซีจริง ๆ ไป๋จิ่งเยว่จึงตะโกนร้องเรียก “แม่นางมู่”
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “อื้ม! เจ้ามาดูข้าประลองหรือ?”
“ข้ารู้ว่าพลังของแม่นางมู่แข็งแกร่งมาก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าแม่นางมู่จะขึ้นมาถึงชั้นสิบได้รวดเร็วถึงเพียงนี้”
“อืม! อีกประเดี๋ยวข้าจะผ่านทางแท่นประลองของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตพอดี”
การประลองของหอคอยระดับขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูต เป็นเพียงการอุ่นร่างกายเท่านั้น
เมื่อมู่เฉียนซีได้เข้าไปในเขตท้าประลองแล้ว นางก็สามารถขึ้นไปยังชั้นสิบได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ผู้ที่อยู่ในชั้นสิบต่างก็ได้ยินเรื่องของนางมาบ้างแล้ว
อย่างไรเสียคนที่บ้าคลั่งเช่นนี้ก็มีไม่มาก
ทว่ามู่เฉียนซีนั้นได้เข้ามาพร้อมกับไป๋จิ่งเยว่ นั่นทำให้ผู้อื่นยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น
“มู่เฉินซีผู้นี้รู้จักคุณชายไป๋จิ่งเยว่จริง ๆ ด้วย มิน่าเล่าถึงได้โหดเหี้ยมเช่นนั้น”
“หรือนางก็เป็นคนของสำนักซิงหลัว?”
“ไม่ยักจะเคยได้ยินว่าคนของสำนักซิงหลัวมีคนแบบนี้อยู่ด้วย!”
ไป๋จิ่งเยว่ได้ไปที่นั่งของผู้ชมเพื่อร่วมดูการประลอง และมู่เฉียนซีเองก็ได้ไปยังที่นั่งของผู้เข้าแข่งขันแล้วเช่นกัน
การประลองในครั้งนี้ยังไม่มีผลการประลองออกมา มีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้เข้ามาพูดคุยกัยมู่เฉียนซีก่อนการประลองจะเริ่มขึ้น
“ครึ่งวัน! ครึ่งวันเท่านั้น! ได้ยินมาว่ามีผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหกใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็ขึ้นมาถึงชั้นสิบแล้ว โหดเหี้ยมมากจริง ๆ!”
“เจ้าเป็นอะไรกับคุณชายจิ่งเยว่?”
“……”
พวกเขามีคำถามเยอะแยะมากมาย มู่เฉียนซีก็ได้ตอบคำถามด้วยความสุขุมเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่ในมุมเหล่านั้น กลับจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยสายตาโกรธแค้นจากด้านหลัง “ศิษย์พี่หญิง ผู้หญิงคนนั้นมีอะไรดีหนักหนา! ไร้สำนัก ไร้พรรค ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ก็เพียงแต่โชคดีได้ฝึกฝนทักษะวิญญาณที่ไม่เลว แล้วก็มีอาวุธที่ยอดเยี่ยมก็เท่านั้น ศิษย์พี่หญิง อีกไม่นานท่านก็ชนะครบร้อยสนามแล้ว ถึงยามนั้นก็สามารถไปยังแท่นประลองระดับจักรพรรดิได้แล้ว ได้ยินมาว่าศิษย์พี่หลาย ๆ คนก็อยู่ที่นั่นด้วย!”
สุ้มเสียงอ่อนโยนสุ้มเสียงหนึ่งแว่วดังขึ้น “ศิษย์น้อง อย่าได้พูดจาซี้ซั้วไป! แม่นางผู้นี้เป็นสหายของศิษย์พี่จิ่งเยว่ ศิษย์พี่จิ่งเยว่สนิทสนมกับนางมาก อีกทั้งยังมาดูการประลองของนางเป็นพิเศษอีกด้วย”