ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1819 เดินจับมือเคียงกัน
“ถุย! ใช้ไม่ได้อย่างนั้นรึ” จื่อโยวได้ยินนิรันดร์กล่าวมาเช่นนั้นก็อดที่จะรู้สึกขำเสียไม่ได้
เขาทอดมองไปยังนิรันดร์แล้วกล่าว “ท่านนิรันดร์ หากเยี่ยได้ยินวาจาที่เจ้ากล่าวมา ข้าว่าเขาคงจะลงมืดจัดการเจ้า ทำให้เจ้าต้องร้องขอความเมตตาเลยคอยดู!”
ไป๋เจ๋อสุขุมกว่าพวกเขาทั้งสองเป็นเท่าทวี เขากล่าว “เมื่อคืนคนที่ได้แผนที่ไปก็ล้วนพยายามคิดหาวิธีไขปริศนาที่ตั้งในแผนที่กันทั้งนั้น สุดท้ายแล้วก็คิดไว้เป็นสองที่ ที่ทะเลสาบโยวหมิงกับทะเลทรายสิ้นหวัง ข้าคิดว่าพวกเราควรแยกย้ายกันไปหาเป็นอย่างไร”
จื่อโยวกล่าว “เช่นนั้นข้าจะไปทะเลสาบโยวหมิงกับเจ้า ให้เยี่ยกับคนงามไปที่ทะเลทรายสิ้นหวังก็แล้วกัน”
จื่อโยวผู้ชาญฉลาดได้ตัดสินใจออกห่างจากเยี่ยเจ้านายของตน เพื่อที่เขาจะได้ไม่ถูกใช้ให้ไปต่อสู้แทนเจ้านายอีก
“ไม่ต้องปรึกษาเฉียนซีหรือ?” ไป๋เจ๋อเอ่ยถาม
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง เรื่องเล็ก ๆ น้อยแค่นี้เอง”
เมื่อจื่อโยวและโม่ซวนจากไปแล้ว นิรันดร์ก็รอมู่เฉียนซีจนรากแทบงอก ครั้นหวนนึกว่าในขณะนี้ทั้งสองกำลังซบไหล่แอบอิงกันมากเพียงใด เขาก็แทบอยากจะทำลายอาคารที่อยู่เบื้องหน้าให้ราบเป็นหน้ากลองไปเสียอย่างนั้น
มีเพียงเรื่องเดียวที่จะสามารถนำมาปลอบใจตัวเองได้นั่นก็คือ “หวงจิ่วเยี่ยใช้ไม่ได้ จะต้องมีสักวันที่ศิษย์ที่รักรู้ถึงความดีของข้า”
ในที่สุดมู่เฉียนซีและจิ่วเยี่ยก็ออกมาแล้ว ผู้ดำเนินการประมูลก็ได้นำแผนที่จื่อโยวและโม่ซวนวางไว้มาแจ้งให้นางและจิ่วเยี่ยได้ทราบ
มู่เฉียนซีพยักหน้าแล้วกล่าว “ข้าทราบแล้ว”
นิรันดร์รีบก้าวออกมาเบื้องหน้าแล้วกล่าว “ศิษย์ที่รัก ดูเหมือนเจ้าจะไม่ค่อยได้พักผ่อนเลยนะ อาจารย์ปวดใจจริง ๆ เจ้าหวงจิ่วเยี่ยไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเลย หากเป็นข้าล่ะก็…”
สุ้มเสียงเย็นชากล่าวตัดบทนิรันดร์เสียไม่มีชิ้นดี “หม้อวิญญาณนิรันดร์ กลับไปเดี๋ยวนี้”
“เหตุใดข้าต้องฟังเจ้าด้วย?”
“ข้าไม่ถือสาหากจะจัดการให้เจ้ากลับไปเป็นร่างเดิม”
“เมื่อคืนเจ้ามันเจ้าเล่ห์เพทุบายหนีกลับไปก่อน วันนี้ข้าจะจัดการให้เจ้ากลับไปในร่างเดิมเลยคอยดู”
พวกเขาเพิ่งจะได้พบเจอกันเพียงสองวันเท่านั้น ทั้งสองก็เริ่มฟาดฟันห้ำหั่นกันอีกครั้งแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยท่าทางปวดศีรษะเป็นอย่างยิ่ง “นิรันดร์ ข้ายังมีธุระที่ต้องจัดการนะ อย่าก่อความวุ่นวายสิ!”
นิรันดร์กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “อื้ม! ศิษย์ที่รักว่าอย่างไรข้าก็ว่าอย่างนั้น ข้าเองก็ง่วงแล้ว ขอกลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า!”
นิรันดร์จะกลับไปพักผ่อนในมิติพันธสัญญาแต่โดยดีแล้ว การที่เขาสงบเสงี่ยมเจียมตัวเช่นนี้เป็นอะไรที่มู่เฉียนซีคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ
ผลปรากฏว่าก่อนที่เขาจะหายวับไป นิรันดร์ก็ได้กล่าวยั่วยุหวงจิ่วเยี่ยทิ้งท้าย “ถึงแม้ข้าจะไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าศิษย์ที่รัก แต่ข้าก็จะคอยเฝ้าอยู่ในที่ใกล้ ๆ ศิษย์ที่รัก ไหนเลยจะเหมือนเจ้า ต้องข้ามผ่านมากี่โลกแล้วก็ไม่รู้”
มิติพันธสัญญาของมู่เฉียนซีล้วนอยู่ห่างจากตัวมู่เฉียนซีไม่ไกลทั้งนั้น
จิ่วเยี่ยที่ถูกนิรันดร์พูดจายั่วยุก็ยังคงมีสีหน้าเฉยชาเช่นเคย ทว่าอ้อมแขนของเขาที่ยังคงกอดมู่เฉียนซีอยู่นั้นกลับแน่นขึ้น และแน่นขึ้นกว่าเดิม เขากล่าว “ซี พวกเรารีบไปกันเถอะ!”
มู่เฉียนซีที่เพิ่งออกเดินทางได้ไม่นานก็รู้สึกว่าตนเองได้ลืมบางสิ่งบางอย่างไป นางจึงรีบบอกกล่าวกับผู้ดำเนินการประมูล “สหายของข้ายังอยู่ที่โรงเตี๊ยม หากเขาจะออกเดินทางก็ช่วยดูแลความปลอดภัยให้เขาด้วย แล้วฝากบอกเขาด้วยว่าข้ามีธุระที่ต้องไปจัดการ!”
นางลืมชิงเสวียนไปแล้ว!
จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีไว้แน่นมาตลอดทาง มู่เฉียนซีกล่าว “จิ่วเยี่ย เป็นอะไรไป?”
จิ่วเยี่ยกล่าว “ข้าคิดมากและหึงหวงเจ้าอีกด้วย”
ไม่ว่าจะเป็นหม้อวิญญาณนิรันดร์ ศาลานิรันดร์ ก็ล้วนอยู่ใกล้ซีทั้งนั้นเลยหรือ?
สมแล้วที่เจ้านิรันดร์เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ขนาดตกเป็นรองแล้วก็ยังสามารถทำให้จิ่วเยี่ยรู้สึกไม่พอใจเช่นนี้ได้
“ดังนั้นอีกไม่นานข้าก็จะสู่ขอซีมาอยู่ในมือ ทำให้ซีกลายเป็นผู้หญิงของข้า”
ดวงตาสีน้ำเงินเกล็ดน้ำแข็งได้จ้องมองไปยังมู่เฉียนซีด้วยความลึกซึ้ง ทำให้ดวงใจของมู่เฉียนซีเต้นช้าลงครึ่งจังหวะ ราวกับการตัดสินใจของจิ่วเยี่ยมีผลกระทบต่อนางอย่างร้ายแรง
นางเองก็เช่นกัน!
นางเองก็อยากทำให้จิ่วเยี่ยกลายเป็นคนของนางไม่ต่างกัน
“เช่นนั้นก็รีบเดินทางกันเถอะ! ครานี้หากได้รับข่าวคราวของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างละก็ วันที่จิ่วเยี่ยจะขายตัวให้นางก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว!”
“อื้ม!”
ถึงแม้พวกเขาจะเป็นคนสุดท้ายที่ออกเดินทางไปถึงทะเลทราบสิ้นหวัง ทว่าเนื่องจากจิ่วเยี่ยเดินทางด้วยความรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางไปถึงด้วยความรวดเร็วไม่แพ้ผู้อื่นเช่นกัน
ทันทีที่ก้าวล้ำเข้าไปในเขตทะเลสาบสิ้นหวัง ก็จะได้ยินเสียงดนตรีแห่งความสิ้นหวังแว่วดังมาจากทั่วทุกสารทิศ
ดนตรีนั้นแฝงไปด้วยความโศกเศร้าเจ็บปวดที่ทิ่มแทงเข้ากระดูก ทำให้ผู้ฟังอดหลั่งน้ำตาเสียมิได้ จากนั้นสติก็จะค่อย ๆ เลือนหายไปท่ามกลางทะเลทรายแห่งนี้
นี่คือพลังปีศาจของทะเลสาบสิ้นหวัง
และแน่นอนว่าความโศกเศร้าสิ้นหวังเหล่านั้นไม่อาจมีผลกระทบใด ๆ ต่อหวงจิ่วเยี่ยและมู่เฉียนซีได้แม้แต่น้อย
ทั้งสองสอดนิ้วมือประสานกัน คนที่รักและสำคัญที่สุดล้วนอยู่ข้างกายแล้ว ความสุขนี้สามารถต้านทานความโศกเศร้าและสิ้นหวังทั้งหลายให้สลายหายไปได้
…
ทางฝั่งทะเลสาบโยวหมิง โม่ซวนเอ่ยถาม “เหตุใดท่านจื่อโยวจึงได้เลือกมาที่นี่ล่ะ?”
จื่อโยวกล่าว “ทะเลสาบโยวหมิงดูลึกลับเกินไป ไม่เห็นจะมีบรรยากาศหวานซึ้งอะไรเลย หากเทียบกันแล้วทะเลทรายสิ้นหวังคงจะมีบรรยากาศหวานซึ้งกว่าไม่น้อย เช่นนั้นก็ถือโอกาสให้เยี่ยได้สัมผัสโลกที่มีเพียงเยี่ยและคนงามตัวน้อยสักหน่อยก็แล้วกัน”
จื่อโยวกล่าวขึ้นในใจ ‘เขาคงจะเป็นลูกน้องคนแรกที่ยอมให้ใจตัวเองแตกสลายเพื่อเส้นทางความรักที่สมบูรณ์ของเจ้านาย’
…
ทะเลทรายสิ้นหวังกว้างใหญ่ไพศาลเป็นอย่างยิ่ง ทว่าแผนที่ชิ้นนั้นกลับไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน
ตอนนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังหลงทาง และมีคนจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่ไม่อาจทานทนเสียงดนตรีของทะเลทรายสิ้นหวังได้ ไม่ว่าจะอุดหูหรือสกัดกั้นการได้ยินอย่างไรก็ไม่ได้ผลอยู่ดี
ดนตรีของทะเลทรายสิ้นหวังเป็นอะไรที่ลึกลับและแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
ขณะที่พวกเขากำลังต้องอยู่ในความทุกข์ทรมาน พวกเขาก็กลับเห็นหนุ่มสาวสองคนที่กำลังเดินจับมือกันกลางทะเลทราย ราวกับรอบกายไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็มิปาน
พวกเขาดูผ่อนคลายสบายใจราวกับออกมาเดินเล่นอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นอย่างยิ่ง
“ฮือ ฮือ ฮือ…” มีบุรุษหนุ่มคนหนึ่งคร่ำครวญร้องไห้อย่างน่าไม่อาย เขาเหลือบมองดูมู่เฉียนซีและหวงจิ่วเยี่ย จากนั้นเขาจึงรีบวิ่งออกไปด้วยความฝืนใจยิ่ง “พวกเจ้าสองคนหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงจะมีวิธีอะไรที่ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบของทะเลทรายสินะ! ทุก ๆ คนล้วนมีเส้นทางเดียวกันทั้งนั้น มีปัญหาใดก็ควรที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันสิ เอาออกมาแบ่งปันกันบ้างเป็นอย่างไร!”
จิ่วเยี่ยเหลือบมองบุรุษหนุ่มผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะกล่าวกับมู่เฉียนซี “ใช่ว่าข้าจะไม่อยากบอก แต่บอกพวกเจ้าไปมันก็ไร้ประโยชน์!”
พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งพร้อมกับมีผู้ที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลด้วยความรักที่แท้จริง เกรงว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยในสถานที่แห่งนี้ล้วนไม่อาจมีตามเงื่อนไขเช่นนี้ได้
บุรุษหนุ่มกล่าว “เจ้าจะขี้งกเกินไปแล้ว สรุปจะพูดหรือไม่พูด อย่าบังคับให้ข้าต้องใช้ไม้แข็งเลยน่า!”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คิดจะใช้วรยุทธ์อย่างนั้นหรือ!หากเจ้าไม่กลัวตายละก็ เชิญเข้ามาได้ตามสบาย”
“รนหาที่ตายนัก!” บุรุษผู้นั้นโบกฝ่ามือไปมา กาลก่อนไม่ว่าจะไปที่ใดก็ล้วนมีแต่คนเคารพนับถือ ไฉนเลยจะเคยถูกมองข้ามเช่นนี้ เขาจึงลงมือจัดการมู่เฉียนซีในทันที
จิ่วเยี่ยที่คิดอยากจะตบบุรุษหนุ่มที่เปรียบดั่งมดตัวกระจ้อยร่อยให้ตายข้ามือ กลับถูกมู่เฉียนซีลากออกไปเสียก่อน
“ให้ข้าจัดการก็พอ!”
ทันทีที่ประกายแสงสีขาววาบผ่านไป พลังธาตุวายุก็ระเบิดขึ้นในทันที
เมื่อจิ่วเยี่ยได้เห็นมู่เฉียนซีสามารถใช้พลังธาตุวายุขั้นสุดยอดได้เช่นนี้ แน่นอนว่าเขาก็ต้องทราบว่านี่เป็นความดีความชอบของผู้ใด หากไม่ใช่หม้อเทพนิรันดร์แล้วจะเป็นผู้ใดไปได้อีก!
“พลังวายุกักขังวิญญาณ!”
อีกฝ่ายหัวเราะพลางกล่าว “พอมีพลังอยู่บ้างนี่เอง มิน่าถึงไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา พลังเพียงเล็กน้อยแค่นี้มันไม่พอหรอก!”
ทันทีที่เขาลงมือ กระบวนท่าต่อสู้ก็เข้าจู่โจมมู่เฉียนซีในทันที ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเจ็ด
มู่เฉียนซีก้าวออกไปเบื้องหน้าด้วยความสง่า แล้วกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “แล้วแบบนี้ล่ะ!”
“พลังวายุจันทราไร้คู่!”
“พลังวายุทำลายดับสูญ!”
ครืน ครืน!
บุรุษหนุ่มผู้นั้นลอยคว้างออกไปในทันที ก่อนจะตกลงบนกองทรายด้วยท่าทางสะบักสะบอม
“แหวะ แหวะ แหวะ!” เมื่อล้มหน้าคะมำ เขาก็กินทรายเข้าไปเต็มปาก เขารีบบ้วนออกมาในทันที ภายในใจก็อดรู้สึกหวาดหวั่นเสียมิได้
อีกฝ่ายเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเจ็ด ทว่าเขากลับพ่ายแพ้!
แต่แล้วมันอย่างไรล่ะ การเดินทางมาในครานี้ไม่ใช่เขาคนเดียวสักหน่อย ยังมีผู้อาวุโสของสำนักเดินทางมาด้วยกันอีกด้วย! สตรีผู้นี้ไม่รอดเป็นแน่