ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1829 ยิ่งอธิบายยิ่งเลวร้าย
สุดท้ายแล้วก็เป็นฉู่หลีที่ส่งมู่เฉียนซีกลับไป เขาไม่ได้อยู่นาน เมื่อส่งมู่เฉียนซีถึงที่พักแล้วก็เดินทางกลับในทันที เห็นทีศิษย์น้องคงจะไม่ยอมให้เจ้าบ้ากามนั่นเอาเปรียบได้ง่าย ๆ
ก่อนจะเดินทางกลับ ฉู่หลีได้กล่าวกับมู่เฉียนซี “ศิษย์น้อง ข้าจะพยายามนึกเรื่องมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างให้ออกโดยเร็ว ข้าคิดว่าข้าน่าจะรู้ว่ามันอยู่ที่ใด?”
“ศิษย์พี่ หากมันทรมานก็อย่าพยายามนึกอีกเลย ข้าพอจะมีเบาะแสอยู่บ้าง ตราบใดที่มันยังอยู่ในใต้หล้านี้ ถึงจะต้องพลิกแผ่นดินหา ข้าก็จะหามันให้เจอจนได้” เมื่อมู่เฉียนซีหวนนึกถึงท่าทางของศิษย์พี่ที่ดูทรมาน นางก็อดรู้สึกเป็นห่วงเสียมิได้
ฉู่หลีพยักหน้าพลางกล่าว “อืม! ศิษย์น้องว่าอย่างไรข้ากว่าอย่างนั้น เพียงแต่ข้ารู้สึกว่ามันใกล้ถึงเวลาแล้ว”
ฉู่หลีหายลับไปท่ามกลางความมืด นิรันดร์ยังคงจ้องเขม็งไปยังทิศที่เขาหายลับไปอย่างไม่ลดละ อีกทั้งยังบ่นกระปอดกระแปดอย่างไม่หยุดหย่อน “พวกไม่เข้าตาโผล่มาอีกคนแล้ว แต่ที่น่าแปลกก็คือข้าไม่กลับไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร?”
“ศิษย์ที่รัก เจ้าอย่าไปฟังคำพูดเหลวไหลของเขานะ เขาจะต้องอิจฉาที่ข้ารูปงามกว่าจึงได้จงใจใส่ร้ายป้ายสีข้า ข้า…” นิรันดร์ที่ต้องการใช้วาทศิลป์แก้ต่างให้ตนเอง ทว่ากลับถูกมู่เฉียนซีกล่าวตัดบทขึ้นเสียก่อน “ไม่ต้องอธิบายแล้ว ชื่อเสียงเรื่อง นิรันดร์บุรุษเจ้าสำราญ ผู้ไม่ผูกมัดกับผู้ใดลือกระฉ่อนไปทั่วทั้งใต้หล้า แม้กระทั่งศิษย์พี่ที่มักจะปลีกวิเวกไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกมากนักก็ยังรู้เรื่องนี้ ชื่อเสียงของเจ้าช่างโด่งดังเสียจริง”
“เด็กน้อย ไม่ใช่อย่างนั้นอย่างแน่นอน เจ้าอย่าได้คาดเดาซี้ซั้วสิ! เมื่อก่อนข้า…”
ยิ่งอธิบายก็ยิ่งเลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆ นิรันดร์แทบจะกระอักเลือดออกมาอยู่รำไร
การประชุมแลกเปลี่ยนของดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ใกล้เริ่มขึ้นแล้ว มีศิษย์จากสำนักต่าง ๆ จำนวนมากที่มุ่งหน้าไปยังสำนักเหยียนเยี่ยตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
ทว่ามู่เฉียนซีกลับไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด อย่างไรเสียการประลองก็ยังไม่ได้เริ่มขึ้นในวันนี้
ช่วงบ่าย มู่เฉียนซีจึงจะเดินทางไปยังสำนักเหยียนเยี่ย และแน่นอนว่าสำนักเหยียนเยี่ยก็จะต้องส่งศิษย์ในสำนักออกมาต้อนรับแขกผู้มาเยือนทุก ๆ คน
ศิษย์จากสำนักใหญ่ ๆ ทั้งหลายสามารถเข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนได้โดยตรง ทว่าไม่ใช่ศิษย์ไร้สำนักทุก ๆ คนที่จะสามารถเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ได้
“ทั้งสองท่านเป็นศิษย์ไร้สำนัก เชิญมาทดสอบศักยภาพทางด้านนี้” ศิษย์สำนักเหยียนเยี่ยกล่าว
ชิงเสวียนเป็นคนเริ่มทดสอบศักยภาพก่อน เขาอยู่ในระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับสาม ศักยภาพในระดับนี้สำหรับศิษย์จากสำนักกองกำลังระดับสี่แล้วก็นับว่าไม่สะดุดตาแต่อย่างใด ทว่าก็เป็นระดับที่ไม่เลวเช่นกัน
“นี่เป็นป้ายเข้าร่วมการประลอง เชิญเข้าไปข้างในได้!”
ไม่นานนักก็ถึงคราวของมู่เฉียนซีแล้ว
ศักยภาพของนางอยู่ในระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ด สำหรับศิษย์สำนักกองกำลังระดับสามแล้วก็นับว่าไม่เลวเท่าใดนัก ทว่าสำหรับศิษย์จากสำนักกองกำลังระดับสี่แล้ว แม้จะเป็นเพียงอันดับรั้งท้ายก็ไม่มีค่าพอ
ศิษย์สำนักเหยียนเยี่ยกล่าว “แม่นาง การประชุมแลกเปลี่ยนครั้งนี้มีกฎระบุไว้อย่างชัดเจน ศิษย์ไร้สำนักจำเป็นต้องมีศักยภาพในระดับผู้บำเพ็ญภูตขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าขึ้นไปจึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมได้”
“เป็นเพียงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ดก็ยังอยากจะเข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยน ไร้เดียงสามากเกินไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็กลับไปฝึกฝนอีกสักสองสามปีแล้วค่อยว่ากันจะดีกว่า!”
“อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย ถึงแม้มองภายนอกแล้วแม่นางผู้นี้อายุจะยังน้อย แต่ก็มีศักยภาพไม่น้อยเลยนะ”
“……”
ผลการทดสอบของมู่เฉียนซี ทำให้ผู้ที่ยืนชมอยู่ใกล้ ๆ วิพากษ์วิจารณ์ขึ้นในทันที
ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งพุ่งตัวออกมาจากกลุ่มฝูงชนด้วยความรวดเร็ว เขามุ่งตรงมาหามู่เฉียนซีแล้วกล่าว “แม่นางมู่ คุณชายของเรารอแม่นางอยู่นานแล้ว หากมีการแนะนำจากคุณชายแล้ว แม่นางก็ไม่ต้องเข้าร่วมการทดสอบศักยภาพอีก”
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าคนผู้นี้คือผู้ใด ทว่าผู้ที่ได้รับการแนะนำรายชื่อเป็นพิเศษ ก็ล้วนมีศักดิ์สถานะที่ไม่ธรรมดาในราชวงศ์ตงหวงและดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อย่างแน่นอน
ทว่าผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นจะรู้หรือไม่ว่าผู้ที่เขาทำการแนะนำมีศักยภาพเพียงน้อยนิดเท่านั้น? เขาจะต้องไม่รู้อย่างแน่นอน
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “ไปกันเถอะ!”
ชิงเสวียนเองก็ได้เดินตามไปด้วย มู่เฉียนซีได้เข้าไปพบโม่ซวนก่อน โม่ซวนกล่าว “เจ้ามาแล้ว นี่คือศักยภาพของผู้มากฝีมือจากสำนักนิกายต่าง ๆ ที่ได้เข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนในครานี้”
โม่ซวนทราบดีว่าครั้งนี้มู่เฉียนซีมาเพื่อคว้าอันดับหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงได้สืบศักยภาพของอีกฝ่ายมาอย่างชัดเจน
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “ไหนข้าดูสิ!”
ผู้ที่มีศักยภาพแข็งแกร่งที่สุดคือศิษย์พี่ใหญ่ของห้าสำนักใหญ่ในดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เขามีพลังระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับแปด ซึ่งก็เป็นหนึ่งในห้าสำนักแนวหน้าของสำนักกองกำลังระดับสี่ในดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เช่นกัน
ลำดับถัดมาก็เป็นศิษย์จากสำนักกองกำลังระดับสี่และระดับถัด ๆ ลงไป ศักยภาพของผู้มากฝีมือแต่ละคนล้วนเป็นที่น่าสะดุดตาทั้งสิ้น
มู่เฉียนซีกล่าว “ดูเหมือนศิษย์พี่ใหญ่จากห้าสำนักใหญ่จะเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวไม่น้อย แน่นอนว่าอาจจะมีม้ามืดซ่อนอยู่ก็ได้ อย่างไรเสียดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ก็ไม่ใช่พื้นที่เล็ก ๆ”
โม่ซวนกล่าว “แต่ข้าก็เชื่อมาตลอดว่าเจ้าสามารถเป็นผู้มากฝีมือที่โดดเด่นที่สุดในใต้หล้านี้ได้”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว อย่างไรเสียต่อจากนี้ข้าก็จะต้องท้าประลองกับผู้มากฝีมืออันดับหนึ่งของแดนซวนเทียนอยู่แล้ว ข้าไม่มีทางถูกดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ฉุดรั้งข้าไว้เพียงแค่นี้อย่างแน่นอน” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยท่าทางมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
วันถัดมา เป็นวันที่การชุมนุมแลกเปลี่ยนผู้มากฝีมือได้เริ่มขึ้นเป็นวันแรก สนามการประลองกว้างขวางและโอ่อ่าเป็นอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของสำนักเหยียนเยี่ยของกองกำลังระดับสี่ยิ่งนัก
แท่นประลองตั้งอยู่ใจกลางสนาม ซึ่งรายล้อมไปด้วยอัฒจันทร์สูงต่ำสลับกันไป ซึ่งสามารถรองรับผู้ชมได้เป็นหมื่นคน
ภายใต้การนำของเจ้าสำนักเหยียนเยี่ย ศิษย์ของสำนักเหยียนเยี่ยก็ได้เดินขึ้นไปนั่งบนใจกลางอัฒจันทร์ในชั้นที่สูงที่สุด ไม่นานนักสำนักใหญ่อีกสี่สำนักก็มาถึงเป็นที่เรียบร้อย แบ่งออกเป็นสำนักเหลยถิง สำนักซิงหู และหอหลิวเซวียน
ส่วนศิษย์จากสำนักอื่น ๆ ก็เริ่มทยอยกันเข้ามานั่งตามที่ว่างบนอัฒจันทร์เรื่อย ๆ ทว่าที่นั่งสามที่ของชั้นบนสุดนั้นยังเว้นว่างเอาไว้อยู่สามที่นั่ง พวกเขาเหล่านั้นยังเดินทางมาไม่ถึง
ร่างบางอรชรจำนวนนับไม่ถ้วนได้ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นกลุ่มสตรีที่มีรูปร่างหน้าตางดงามราวกับนางฟ้าก็มิปาน พวกนางเป็นที่ดึงดูดสายตาเป็นอย่างยิ่ง ทำให้หญิงงามอันดับหนึ่งของสำนักอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกอิจฉาริษยากันเป็นอย่างยิ่ง
อาภรณ์สีขาวพลิ้วไสว เปรียบดั่งเทพเซียนบนสรวงสวรรค์ พวกนางค่อย ๆ นั่งลงบนอัฒจันทร์ด้วยความสง่า ทุก ๆ คนจึงได้ละสายตากลับมาอย่างช้า ๆ
คนเหล่านั้นไม่ได้แนะนำตัวพวกนาง ทว่าทุกคนก็ล้วนแต่ทราบดีว่าหญิงงามเหล่านี้มาจากสำนักหลินเยว่
สำนักหลินเยว่ก่อตั้งขึ้นในดินแดนทางทิศตะวันออกของราชวงศ์ตงหวง
ซึ่งไม่ได้อยู่ในสำนักของดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้นพวกนางจึงไม่ได้มาเข้าร่วมการประลอง ทว่ามาเพื่อรับชมการประลองเท่านั้น
ทันทีที่ศิษย์จากสำนักหลินเยว่มาถึง บุรุษรูปงามอาภรณ์สีฟ้าครามกลุ่มหนึ่งก็ได้ปรากฏตัวขึ้นในอีกฝั่งหนึ่งของอัฒจันทร์ รูปร่างหน้าตาของแต่ละคนไม่ธรรมดา มีสตรีวัยแรกแย้มจำนวนไม่น้อยที่แอบมองพวกเขาด้วยท่าทีเขินอาย ดวงใจของพวกนางเปรียบดั่งบุปผาที่ถูกแมลงภู่ผึ้งฉกฉวยน้ำหวานไปก็มิปาน
พวกเขาเป็นคนของสำนักหลางซิง สำนักหลางซิงได้ก่อตั้งขึ้นในดินแดนทางทิศใต้ของแผ่นดินตงหวง ซึ่งสำนักหลางซิงก็ไม่ได้ก่อตั้งในดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เช่นกัน แน่นอนว่าจุดประสงค์ของพวกเขาก็ไม่ต่างอันใดจากสำนักหลินเยว่แม้แต่น้อย
ยังมีคนผู้หนึ่งที่ยังมาไม่ถึงอัฒจันทร์ สตรีผู้นำกลุ่มของสำนักหลินเยว่ผู้หนึ่งจึงกล่าว “เจ้าสำนักเหยียนเยี่ย คนใหญ่คนโตจากที่ใดกันถึงได้ให้พวกเรามานั่งรออยู่เช่นนี้!”
การที่พวกนางมาเข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนผู้มากฝีมือของดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ในครั้งนี้ นับว่าเป็นการให้เกียรติสำนักของดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มากแล้ว แน่นอนว่าท่าทีของพวกนางก็ต้องหยิ่งยโสเป็นธรรมดา
สุ้มเสียงเคร่งขรึมสุ้มเสียงหนึ่งได้แว่วดังขึ้น “ข้ามาแล้ว!”
เจ้าของน้ำเสียงเคร่งขรึมเสียงนั้นสวมอาภรณ์สีขาวนวล กิริยาท่าทางอ่อนโยน ดูมีอานาคต ทุกย่างก้าวของเขาสามารถสะกดสายตาของผู้คนได้เป็นอย่างดี
ถึงแม้ใบหน้าจะถูกบดบังด้วยหน้ากาก ทว่าเสน่ห์ของเขาก็ไม่ได้ถูกลดทอนลงแต่อย่างใด เมื่อเทียบเคียงกันแล้วบรรดาบุรุษหนุ่มจากสำนักหลางซิงก็กลายเป็นรองไปในชั่วพริบตา
“นะ..นี่คือคุณชายไป๋เจ๋อ!”
“ใช่แล้ว! ต้องเป็นคุณชายไป๋เจ๋อแน่ ๆ”
“……”
คุณชายไป๋เจ๋อดึงดูดความสนใจของทุกคนได้เป็นอย่างดี ไม่นานนักก็มีคนสังเกตเห็นสตรีอาภรณ์สีม่วงที่อยู่ข้างกายคุณชายไป๋เจ๋อ
รูปโฉมของนางทำให้หญิงงามจากสำนักหลินเยว่ดูด้อยลงไปไม่น้อย ครั้นหวนนึกถึงยามที่หญิงงามของสำนักหลินเยว่ทำตัวเสียมารยาทไปก่อนหน้านี้ พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าตนเองไร้ซึ่งประสบการณ์จริง ๆ!