ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1832 นักนวดชั้นดี
ครั้นพายุหมุนก่อตัวขึ้น มันก็ได้พุ่งเข้าหากระบวนท่าไม้ตายที่จ้าวชูนำออกมาใช้อย่างไม่เกรงใจ
ปัง!
จ้าวชูตกตะลึงไปเล็กน้อย การโจมตีของเขาถูกทำลายลงอย่างนั้นหรือ เป็นไปได้อย่างไร?
เขาเปลี่ยนการโจมตีเป็นการป้องกัน ทว่าการป้องกันของเขาก็ยังยากที่จะต้านทานสายลมที่ทั้งดุดันและเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงนี้ได้ ร่างของจ้าวชูเคลื่อนถอยหลังไปไม่หยุดหย่อน ทำให้เขาเกือบจะตกขอบเวทีการประลองอยู่รำไร
ส่วนมู่เฉียนซีก็ได้อาศัยโอกาสนี้โจมตีอีกฝ่ายไปอีกหนึ่งกระบวนท่า “พลังวายุทำลายวิญญาณ!”
ปัง!
จ้าวชูเซถลาแล้วกลิ้งลงมาจากแท่นประลอง ทำให้เขาพ่ายแพ้การประลองในครั้งนี้ไป
นี่เป็นการประลองสนามที่แปด หากมู่เฉียนซีชนะติดต่อกันอีกสองสนาม นางก็จะสามารถชนะติดต่อกันสิบสนามได้แล้ว
รอบบริเวณล้วนเต็มไปด้วยความเงียบสงัด ศักยภาพของมู่เฉียนซีทำให้พวกเขาตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
ความสามารถของนางทำให้ศิษย์จากห้าสำนักใหญ่ร้อนรนอยู่ไม่น้อย “อาจารย์ มู่เฉินซีที่เป็นศิษย์ไร้สำนักนั่นชักจะหยิ่งยโสเกินไปแล้ว ข้าจะไปสั่งสอนนางสักหน่อย”
“อาจารย์ ข้าก็จะไปด้วย!”
“……”
ผลปรากฏว่าพวกเขาถูกอาจารย์ห้ามปรามไว้ “หากอยู่ในระดับต่ำกว่าผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเจ็ด เกรงว่าคงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าเด็กนั่นหรอก”
“อาจารย์ ท่านจะประเมินเจ้าเด็กนั่นสูงเกินไปแล้ว ข้าไม่เชื่อหรอก!”
“นี่เจ้าไม่สังเกตหรือว่าตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่ได้นำอาวุธออกมาใช้เลย?”
“อาจเป็นเพราะเจ้าเด็กไร้สำนักนั่นไม่มีอาวุธวิญญาณดี ๆ น่ะสิ ก็เลยไม่อยากนำออกมา คงกลัวจะขายหน้ากระมัง!”
อาจารย์ของเขาจึงตอบโต้กลับไปในทันที “ไม่มีอาวุธวิญญาณดี ๆ อย่างนั้นรึ นางเป็นคนที่คุณชายไป๋เจ๋อแนะนำนะ แล้วจะไม่มีอาวุธวิญญาณดี ๆ สักชิ้นได้อย่างไร”
เมื่อชนะติดต่อกันสิบสนามแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดรับคำท้าของมู่เฉียนซีอีก ทำให้นางต้องกลับไปพักที่อัฒจันทร์ของผู้นั่งชมการประลองก่อน
เมื่อมู่เฉียนซีกลับมาแล้ว ฉู่หลีก็ได้หลีกให้มู่เฉียนซีนั่งในที่นั่งที่สบายที่สุด
เขาพยักหน้าให้มู่เฉียนซีเล็กน้อย เป็นการแสดงให้เห็นว่าเขารู้สึกชื่นชมในศักยภาพที่มู่เฉียนซีแสดงออกบนแท่นประลอง จากนั้นเขาจึงจะหายวับไปจากเบื้องหน้ามู่เฉียนซี
โม่ซวนยื่นถ้วยชาให้กับมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “คู่ต่อสู้สนามถัดไปของเจ้าคงจะเป็นศิษย์เอกของห้าสำนักใหญ่อย่างแน่นอน”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เป็นการประลองที่ข้าตั้งหน้าตั้งตารอเลยล่ะ”
ปัง ปัง ปัง!
การประลองของชิงเสวียนได้จบลงแล้ว
กระบี่ของเขาส่องประกายความดุดันและเย็นชาออกมาอย่างชัดเจน ถึงแม้คู่ต่อสู้จะเป็นผู้ที่อยู่ในระดับสูงกว่าเขาหนึ่งถึงสองขั้น ก็ล้วนได้รับความทุกข์ทรมานไปไม่น้อย
หากไม่ใช่เพราะแต้มการประลองในสนามที่ผ่าน ๆ มาของมู่เฉียนซีน่าทึ่งจนสามารถดึงดูดสายตาของทุก ๆ คนไปได้ถึงเพียงนี้ เกรงว่าเขาก็คงจะสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้ไม่น้อย
ทว่าการที่ชิงเสวียนเข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนของผู้มากฝีมือในครานี้ ก็ทำให้เขาได้รับผลประโยชน์ไปได้ไม่น้อย
การประลองยังคงดำเนินต่อไป เมื่อมู่เฉินซีผู้วิปริตลงจากแท่นประลองแล้ว ก็ทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง
ไม่นานนักศิษย์จากสำนักที่มีชื่อเสียงทั้งหลายก็เริ่มสำแดงฝีมือกันอย่างดุเดือด การประลองของแต่ละคู่มีสีสันที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
การประชุมแลกเปลี่ยนของผู้มากฝีมือในครานี้ได้ดำเนินไปเป็นเวลาเจ็ดวัน วันเวลาได้ล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว การประชุมในวันแรกก็ได้สิ้นสุดลงในเวลาอันสั้น
เมื่อการประลองสิ้นสุดลง ศิษย์จากสำนักต่าง ๆ ก็ได้ทยอยกันกลับไปพักผ่อน โม่ซวนได้นำสิ่งของบางอย่างในแหวนมิติมาให้มู่เฉียนซี
“โม่ซวน ไม่มีทาง! ข้ามาเข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนของผู้มากฝีมือนะ เจ้าจะมาบีบคั้นข้าอย่างนี้ไม่ได้สิ”
โม่ซวนกล่าว “เจ้าเป็นเจ้าของหอ เจ้าของหอคือเจ้า นี่เป็นเรื่องที่เจ้าต้องรับผิดชอบ”
“ผู้มากความสามารถย่อมต้องทำงานหนักกว่าผู้อื่น”
“ข้าเป็นคนป่วย ไม่ใช่ผู้มากความสามารถสักหน่อย”
“……”
คุณชายไป๋เจ๋อที่ดูเป็นคนอ่อนแอขี้โรค อ่อยโยนไร้พิษสง ทว่าแท้จริงแล้วก็เป็นคนหน้าเนื้อใจเสือดี ๆ นี่เอง
มู่เฉียนซีเบ้ปากแล้วกล่าว “เฮ้อ! โม่ซวน เจ้าไม่น่ารักเอาเสียเลย!”
หากเป็นพวกคุณชายใหญ่เยวี่ยเจ๋อก็คงไม่ขุดหลุมพรางรอให้ติดกับเช่นนี้หรอก
เจ้าของหอมู่ที่กลางวันต้องเข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยน เมื่อตกกลางคืนก็ต้องรีบทำงานแข่งขันกับเวลา
นอกจากวันแรกแล้ว มู่เฉียนซีก็ทำได้เพียงนั่งชมอยู่ข้าง ๆ แท่นประลองเท่านั้น นางต้องคอยเป็นแมวมองหาผู้มากความสามารถเคียงข้างโม่ซวน และไม่ได้คิดอยากลงไปประลองแต่อย่างใด
วันเวลาหกวันได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ได้รับผลประโยชน์จากการประชุมในครานี้ และแน่นอนว่าศักยภาพสูงต่ำของแต่ละคนก็ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ศิษย์จากสำนักทั้งห้าของกองกำลังระดับสี่และสำนักอื่น ๆ ล้วนโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งในบรรดาสำนักเหล่านั้นยังมีผู้ฝึกตนไร้สำนักและศิษย์จากสำนักระดับต่ำอีกจำนวนหนึ่ง
วันที่เจ็ดเป็นการต่อสู้ของผู้มากฝีมือขั้นสูง หนึ่งในนั้นมีศิษย์ผู้มากฝีมืออันดับหนึ่งของห้าสำนักใหญ่ และยังมีคนที่พิเศษอีกหนึ่งคน นั่นก็คือมู่เฉินซีที่อยู่ในระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ด
กลางดึก แสงตะเกียงจากภายในห้องวูบไหวไปมา
กรอบแกรบ…
กอหญ้าในสวนของเรือนที่คุณชายไป๋เจ๋อพักอาศัยมีเสียงกรอบแกรบแว่วดังขึ้นอย่างแผ่วเบา หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปก็คงไม่ได้ยินอย่างแน่นอน
พลังงานสีแดงแกมดำได้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งเรือน โม่ซวนยังไม่ได้เข้านอน ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็มีประกายวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายในชั่วพริบตาเขาก็ได้ปรากฎตัวขึ้นในห้องของมู่เฉียนซีแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “โม่ซวน นี่ไม่ใช่ว่าเจ้าเกิดมีคุณธรรมขึ้นมาแล้วมาช่วยข้านะ! หอหมอปีศาจขยายขอบเขตและพัฒนาขึ้นทุกวัน เรื่องที่ต้องจัดการก็มีเยอะแยะมากมาย ข้าล่ะปวดหัวจะตายอยู่แล้ว!”
โม่ซวนกล่าว “ไอที่อยู่ในสวนนั่น…”
“ก็แค่อะไรที่ไม่สำคัญก็เท่านั้น ข้าเป็นใครกัน? มีหรือที่ข้าจะเก็บมาใส่ใจ”
“นี่เจ้าไม่กลัวว่าหากเกิดประมาทขึ้น แล้วเกิดเรือพลิกในคูคลองหรืออย่างไร?”
สุ้มเสียงเปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์แว่วดังขึ้น “ข้ากลับหวังให้เรือของเด็กน้อยพลิกในคูคลอง ข้าจะได้มีโอกาสขึ้นไปนั่งบ้าง แต่น่าเสียดายที่เด็กน้อยทำให้ข้าผิดหวังเสียแล้ว”
“หรือนี่จะเรียกว่าหากอาจารย์สั่งสอนลูกศิษย์ให้มีความรู้แล้ว อาจารย์ก็ไร้ความสำคัญอีกต่อไป?” ดวงตาเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์ของนิรันดร์ก็ส่องประกายวับวามขึ้นในทันที
ด้านนอกเรือน ในขณะนั้นเองสตรีคนหนึ่งก็ได้กล่าวกับคนสวมเสื้อคลุมสีดำคนหนึ่งว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าจะไม่มีปัญหา”
“วางใจเถอะ! พิษนี้สังเกตได้ยากนัก เมื่อนางใช้พลังวิญญาณบนแท่นประลองในวันพรุ่งนี้ นางจะต้องอับอายขายขี้หน้าอย่างแน่นอน ถึงยามนั้นผู้มากฝีมือไร้สำนักก็จะเลือดออกจากทางทวารทั้งเจ็ด ร่างของนางก็จะระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ เพราะลุ่มหลงในการฝนการฝึกยุทธ์มากจนเกินไป เสี่ยวเยว่รอดูงิ้วน้ำดีได้เลย” เสียงแหบพร่ากล่าวขึ้น
“หากฆ่านางทิ้งเสียตอนนี้ก็คงจะง่ายเกินไป มีเพียงทำให้นางเด็กหยิ่งยโสนั่นตายอย่างน่าอนาถเท่านั้น จึงจะสามารถลบล้างความอับอายให้กับสำนักหลินเยว่ของเราได้”
พวกนางรีบเดินจากไปแล้ว เกรงว่าคนทั้งสองนั้นจะคาดไม่ถึงว่าภายในเรือนหลังนี้มีนักปรุงยาระดับสูงอยู่ถึงสองคน คนหนึ่งเป็นนักปรุงยาชั้นสูง ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นถึงบรรพบุรุษของนักปรุงยา
คนหนึ่งคือคุณชายไป๋เจ๋อ คนหนึ่งคือมู่เฉียนซี อีกคนคือนิรันดร์ เพียงการเคลื่อนไหวเล็กน้อย ๆ และเสียงที่แผ่วเบาดั่งสายลมนี้ ล้วนถูกพวกเขาค้นพบได้อย่างง่ายดาย
โม่ซวนกล่าว “เฉียนซี เจ้าจะจัดการคนที่อยู่ในสวนนั่นเมื่อไร”
“ไม่ต้องรีบร้อน เมื่อข้าจัดการธุระเสร็จค่อยว่ากันอีกครา เจ้ากลับไปนอนก่อนเถอะ! ร่างกายของเจ้าไม่ค่อยแข็งแรง ข้าเป็นห่วงอาการป่วยของเจ้ามากนะ” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มจนดวงตาหยิบหยี
ถึงแม้มู่เฉียนซีจะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากการข่มขู่ของคนที่อยู่ด้านนอกเรือนนั้น ทว่าหากยังไม่ได้จัดการคนเหล่านั้นให้สิ้นซาก แล้วผู้ใดจะนอนหลับลงกัน
“นอนไม่หลับหรือ! มา เมื่อเจ้าช่วยข้าจัดการธุระเสร็จแล้ว พวกเราค่อยไปจัดการคนเหล่านั้นกัน” มู่เฉียนซีกวักมือเรียกโม่ซวน
“เจ้า…” นี่น่ะหรือจุดประสงค์ที่แท้จริงของนาง
โม่ซวนรู้สึกจนปัญญาเป็นอย่างยิ่ง เขาทำได้เพียงอยู่ช่วยมู่เฉียนซีเท่านั้น เมื่อทั้งสองร่วมด้วยช่วยกัน ธุระจึงถูกสะสางไปได้อย่างรวดเร็ว
มู่เฉียนซีตบมือพลางกล่าว “จัดการเรียบร้อยแล้ว ข้าคิดว่าหลังจากนี้หากข้าพบเจอเจ้าเมื่อใด ข้าก็จะรีบวิ่งไปให้ไกลจากเจ้าให้เร็วที่สุด ข้าจะได้ไม่ถูกเจ้าจับมาทรมานอีก”
“เฉียนซีเจ้าทำตัวไม่น่ารักเอาเสียเลย ข้าต่างหากที่ถูกจับมาทรมาน”
“ใครว่าล่ะ! ข้าปวดแขนไปหมดแล้ว”
“เด็กน้อยปวดแขนหรือ มาให้ข้านวดให้สิ วางใจเถอะฝีมือการนวดของข้าไม่เป็นรองผู้ใด!” นิรันดร์ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังมู่เฉียนซีภายในชั่วพริบตา
นิรันดร์ยื่นมือออกไป แต่กลับไม่สามารถแตะต้องตัวมู่เฉียนซีได้เลยแม้แต่น้อย มุมปากของนิรันดร์กระตุกขึ้นทันที พร้อมกับกร่นด่าอยู่ภายในใจ ‘แค่จะนวดให้ก็ไม่ได้ สุ่ยจิงอิ๋งชักจะทำเกินไปแล้ว’
มู่เฉียนซีก้าวออกไปเบื้องหน้าแล้วผลักประตูออก ขณะนี้ทั่วทั้งสวนล้วนเต็มไปด้วยหมอกประหลาดสีแดงแกมดำ