ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1876 เจ้าควรมีเกียรติบ้าง
ครืน ครืน!
การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งระดับนี้ มีแต่จะนำพาไปสู่การทำลายล้างเท่านั้น
บรรดาสัตว์วิญญาณในเขตสัตว์ร้ายล้วนตกใจจนหนีเตลิดเปิดเปิงไปหมดแล้ว
“มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพมิติ ครานี้ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าหนีรอดไปได้อย่างแน่นอน!” เป่ยกงจั๋วพุ่งตรงเข้าหามู่เฉียนซีอย่างรวดเร็ว
พลังการต่อสู้ของฉู่หลีเป็นอะไรที่น่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ทว่าในฐานะองค์รัชทายาทของราชวงศ์เป่ยกงกองกำลังระดับห้าก็แข็งแกร่งไม่น้อย กลอุบายการสู้รบก็มากล้น
เขาดิ้นหลุดจากพันธนาการของฉู่หลี แล้วพุ่งตรงเข้าหามู่เฉียนซีในทันที
มิติรอบกายของมู่เฉียนซีถูกกักขังเอาไว้ทั้งหมด เป่ยกงจั๋วไม่มีทางผิดพลาดในเรื่องเดิมซ้ำเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน
“ซีซี…”
“ซีเอ๋อร์…
เปลวเพลิงสีแดงฉานเริ่มลุกลามออกไปไกล โม่ซวนเองก็เริ่มลงมือแล้ว
สีหน้าของโม่ซวนในยามนี้ขาวซีดเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเขาก็ยังคงยืนหยัดที่จะต่อสู้ต่อไป
เป่ยกงจั๋วกล่าว “ข้าชื่นชมในพลังของพวกเจ้าทั้งสองมาก แต่พวกเจ้าแน่ใจแล้วหรือที่จะเป็นศัตรูกับข้าเพื่อนาง! อีกอย่างข้าก็ไม่มีทางฆ่าซีเอ๋อร์! อย่างไรเสียการกลายมาเป็นพระชายาของข้า ก็เป็นความปรารถนาของทุก ๆ คนที่ไม่อาจเอื้อมถึง”
จูเชว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “องค์รัชทายาทเป่ยกง เจ้าควรทำตัวให้มีเกียรติเสียบ้าง! ถึงแม้น้องซีเอ๋อร์จะชอบข้า นางก็ไม่มีวันเห็นเจ้าอยู่ในสายตา”
โม่ซวนกล่าว “ได้ยินมาว่าองค์รัชทายาทเป่ยกงเป็นผู้มากความรู้ความสามารถ แต่วันนี้ข้าไม่เห็นถึงความรู้ความสามารถนั้นเลย แต่เรื่องเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายความเจ้าเล่ห์นั้น องค์รัชทายาทเป่ยกงกลับเป็นที่หนึ่ง”
“ในเมื่อพวกเจ้าไม่ฟังคำข้า เช่นนั้นก็ไปตายกันเสียให้หมด!”
ครืน ครืน!
ฉู่หลีสัมผัสได้ว่าถึงแม้ว่าพวกเขาจะร่วมมือกัน แต่ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถจัดการเป่ยกงจั๋วได้สำเร็จ
พลังของเขาได้แข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว
“อั้ก!” โม่ซวนกระอักเลือดออกมาหนึ่งกอง
มู่เฉียนซีกล่าว “หยุนชาง พาเขาไปรักษาในมิติก่อน”
โม่ซวนส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าว “ไม่ต้อง!”
ทั้งฉู่หลีและเสี่ยวโม่โม่ต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่าสัตว์พันธสัญญาของเป่ยกงจั๋วนั้นไม่ได้มีตัวเดียว
เกล็ดน้ำแข็งของธาตุน้ำแข็งได้ข่มกลิ่นอายธาตุอัคคีของจูเชว่ไว้ ส่วนการโจมตีของมู่เฉียนซีและฉู่หลีก็ไร้ผล
“อั้ก อั้ก อั้ก!”
คนอื่น ๆ เองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ในขณะนี้ทางฝั่งของเป่ยกงจั๋วนับว่าเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบกว่าอย่างชัดเจน
เมื่อการโจมตีของจูเชว่ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็กล่าวขึ้นด้วยความหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง “ข้าขอสู้ตาย!”
สุ้มเสียงกระดิ่งอันน่าคุ้นหูแว่วดังขึ้น นั่นเป็นการโจมตีของกระดิ่งวิญญาณเก้าชั้น การโจมตีจิตวิญญาณ
มู่เฉียนซีกล่าว “จูเชว่ หยุดนะ! มันอันตราย”
การโจมตีวิญญาณสำหรับเป่ยกงจั๋วแล้ว ก็เป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรเสียในฐานะนักปรุงยาคนหนึ่งพลังวิญญาณก็จะต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งเป็นธรรมดา ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่เขาติดต่อกับเผ่าวิญญาณเลย
เพียงแต่จูเชว่ที่อยากจะดึงพลังของตนเองกลับมา แต่ก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว
ปัง!
ฟึ่บ! จูเชว่ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ขณะนี้ความเจ็บปวดทรมานได้แผ่ซ่านไปทั่วตัว ราวกับวิญญาณของเขากำลังฉีกขาดอยู่ก็มิปาน
เขาขยับเขยื้อนเคลื่อนตัวไม่ได้ ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงไปมากกว่านั้นก็คือ การกล่าวเตือนของมู่เฉียนซีในก่อนหน้านี้
“ซีซี…เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อใด?”
กระดิ่งวิญญาณเก้าชั้นที่จูเชว่นำออกมาใช้เมื่อครู่เป็นของเหยียน อีกทั้งกระบวนท่าการโจมตีจิตวิญญาณก็เหมือนกันทุกประการ นอกจากคนทั้งสองเป็นคนคนเดียวกันแล้วก็ไม่มีคำอธิบายอื่นได้อีก
ทว่ามู่เฉียนซีในตอนนี้กลับไม่ได้รู้สึกตกตะลึงแต่อย่างใด
“ศิษย์พี่ ระวัง!”
ปัง!
ร่างของฉู่หลีกระเด็นลอยออกไปไกล แล้วกระแทกเข้ากับต้นไม้ต้นใหญ่อย่างรุนแรง
คนของพวกเขาเกือบจะบาดเจ็บล้มตายกันไปหมดแล้ว จูเชว่หัวเราะเย้ยหยันตนเอง “ดูเหมือนพวกเราจะประเมินเป่ยกงจั๋วต่ำเกินไปแล้ว พลังของราชวงศ์เป่ยกงแข็งแกร่งมากจริง ๆ”
ทุก ๆ คนถูกช่วยกลับไปหมดแล้ว นับว่ายังสามารถรักษาชีวิตน้อย ๆ เอาไว้ได้ ทว่ามู่เฉียนซีนั้นกลับไปไหนไม่ได้
“พวกเจ้าสองคนยังไม่รีบไปอี.ก!” มู่เฉียนซีกล่าว
“ซีซี ข้ายังสู้ไหว! อย่างไรเสียยาลูกกลอนที่เจ้าเตรียมไว้ให้พวกเราก็มีเพียงพออยู่แล้ว” จูเชว่กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ไป๋เจ๋อกล่าว “หากเจ้าตาย ข้าเองก็ไม่รอด”
ขณะนี้มู่เฉียนซีถูกโอบล้อมจนไม่อาจหนีไปไหนได้ เป่ยกงจั๋วจึงกล่าวขึ้นมาว่า “ซีเอ๋อร์ ข้าได้ให้เวลาเจ้าคิดพิจารณามานานมากแล้ว เจ้าคิดได้แล้วหรือยังว่าเจ้าจะตกลงหรือไม่ตกลง?”
มู่เฉียนซีกล่าว “คนมากรังแกคนน้อย เป่ยกงจั๋ว เจ้าและข้ามาสู้กันตัวต่อตัวสักครั้งเป็นอย่างไร?”
เป่ยกงจั๋วกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ย่อมได้อยู่แล้ว ใช้กำลังของตัวเองสยบผู้หญิงที่ตัวเองอยากจะสยบ”
“ข้าสามารถข่มให้พลังของข้าอยู่ในระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำได้ จริง ๆ แล้วเพียงแค่เจ้ายอมรับข้า เจ้าจะต้องรู้สึกว่าข้าดีกว่าหานมากอย่างแน่นอน” เป่ยกงจั๋วเผยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นและเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่งออกมา
มู่เฉียนซีกล่าวเย้ยหยัน “องค์รัชทายาทเป่ยกง เจ้ารู้หรือไม่ว่าหน้าของเจ้าหนากว่ากำแพงเมืองเสียอีก”
จูเชว่กล่าวเยาะเย้ย “องค์รัชทายาทเป่ยกง หากเจ้าบอกว่าสามารถข่มพลังให้อยู่ในระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับสูงได้ ข้าก็ยังรู้สึกนับถือที่เจ้าใจกว้าง ฮึ ฮึ ฮึ! แต่ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำนั้นมันรังแกกันเกินไปจริง ๆ”
แน่นอนว่าเป่ยกงจั๋วไม่ใช่คนประเภทที่จะถูกกระตุ้นจนเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ เขามักจะชอบให้ทุกสิ่งอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขามาโดยตลอด
การที่พลังของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำสามารถเอาชนะมู่เฉียนซีได้นั้นไม่ควรค่าแก่การพูดถึง ทว่าผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับสูงนั้นไม่เหมือนกัน อีกทั้งมู่เฉียนซีผู้นี้ก็มีไพ่ตายที่คาดไม่ถึงจำนวนมาก
มู่เฉียนซีกำกระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณไว้แน่นแล้วกล่าว “มังกรเพลิง ครั้งนี้ต้องสู้กันสักตั้งแล้ว”
“อื้ม!”
ภายในชั่วพริบตา เปลวเพลิงสีแดงฉานก็ระเบิดขึ้น
ไม่เพียงแต่ธาตุอัคคีเท่านั้น มังกรวารีตัวหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นท่ามกลางท้องนภาอีกด้วย อีกทั้งยังมีธาตุวายุที่น่าเกรงขามด้วยเช่นกัน
การต่อสู้ในครั้งนี้มู่เฉียนซีได้ทุ่มสุดกำลัง
ในขณะนี้ทุก ๆ คนต่างก็รู้สึกตกตะลึงไปตาม ๆ กัน “สามธาตุ ผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวิญญาณสามธาตุ ดินแดนซวนเทียนยังมีผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวิญญาณสามธาตุอยู่อีกหรือ?”
เป่ยกงจั๋วหัวเราะแล้วกล่าว “ในใต้หล้านี้มีเพียงข้าเท่านั้นที่คู่ควรกับเจ้า แล้วเหตุใดเจ้ายังจะต้องทำตัวดื้อรั้นด้วยเล่า! แต่อีกไม่นานเจ้าก็ต้องยอมจำนนต่อข้า”
เมื่อพลังความหนาวเหน็บระเบิดออกมา พลังสายฟ้าก็ได้ล้อมรอบกายของเป่ยกงจั๋วไว้ จากนั้นเขาจึงพุ่งเข้าหามู่เฉียนซีด้วยความรวดเร็ว
เป่ยกงจั๋วเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวิญญาณคู่
ครืน ครืน ครืน!
การปะทะกันของพวกเขาในแต่ละครั้งน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เพราะร่างกายของมู่เฉียนซีมีความแข็งแกร่ง เกรงว่าร่างกายของนางคงจะแตกสลายออกเป็นเสี่ยง ๆ แล้ว
พลังของมู่เฉียนซีทำให้เป่ยกงจั๋วรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง “ไม่ได้พบเจอกันมานาน ซีเอ๋อร์แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อยเลย! ข้าปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพรสวรรค์ของเจ้ายอดเยี่ยมกว่ามู่หลินหลางหลายเท่า เจ้าเหมาะจะเป็นชายาของข้ามากกว่ามู่หลินหลางเสียอีก”
จูเชว่และไป๋เจ๋อเห็นด้วยกับครึ่งประโยคแรกที่เขากล่าวมา ทว่าครึ่งประโยคหลังนั้น พวกเขาไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน
“มังกรวารีจงบังเกิด!”
“เพลิงสังหารซิวหลัว!”
นอกจากพลังวิญญาณธาตุวายุที่มู่เฉียนซีมีแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกที่นางได้นำพลังวิญญาณธาตุทั้งสามออกมาใช้ในการต่อสู้
เป็นการใช้พลังวิญญาณที่ค่อนข้างมหาศาล ทว่าก็ทำให้การต่อสู้เป็นไปด้วยความถึงอกถึงใจเป็นอย่างยิ่ง
นิรันดร์สัมผัสได้ว่าพลังของมู่เฉียนซีได้ระเบิดไปถึงระดับสูงสุดแล้ว อีกทั้งยังเป็น…
“เวรเอ้ย!” เขาก่นด่าด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ก่อนจะทำการโจมตีออกไปอย่างรวดเร็ว
“ก็แค่ไอ้ชั่วสองตัวเท่านั้น เกะกะน่ารำคาญจริง ๆ!”
สีหน้าของจิ่วจวนย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง นิรันดร์ไม่ได้เพียงแค่ก่นด่าฉีฉยงนั่นเท่านั้น แต่ยังด่าว่าเขาอีกด้วย
“ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าทำให้หานต้องเสียเรื่องหรอก ข้าจะต้องหยุดเจ้าไว้ให้ได้” จิ่วจวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
แน่นอนว่านิรันดร์ไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่าย ๆ จิ่วจวนจึงเริ่มยั่วยุให้นิรันดร์โกรธ
“เจ้าก็คอยอยู่เคียงข้างเจ้านายของเจ้ามานานแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่ทำให้เจ้านายของเจ้ารักเจ้าจริง ๆ เสียทีล่ะ มิหนำซ้ำเจ้ายังยอมให้นางมาเสี่ยงอันตรายเพื่อผู้ชายคนอื่น”
“คาดไม่ถึงว่าท่านนิรันดร์ก็จะมีช่วงที่ไร้เสน่ห์ด้วยเหมือนกัน!” น้ำเสียงของเขายิ่งฟังดูเยาะเย้ยมากขึ้นเรื่อย ๆ
นิรันดร์มีสีหน้าเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน “เจ้ามันรนหาที่ตาย! ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นกองขี้เถ้า ไม่ให้เหลือแม้แต่วิญญาณ”
ครืน ครืน!
ครั้งการโจมตีและกลยุทธ์ของมู่เฉียนซีดำเนินมาถึงจุดสูงสุดแล้ว การโจมตีของเป่ยกงจั๋วก็น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
จูเชว่ที่สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ก็กล่าวขึ้นด้วยใบหน้าที่ถอดสีในทันที “แย่แล้ว!”
”ซีซี!”
“ศิษย์น้อง!” ร่างสีดำทมิฬพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยพลังมืดอันแข็งแกร่ง