ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1878 เสี่ยวไป๋หยุดมือ
พรวด พรวด พรวด!
พลังของกระบี่นั้นสามารถทะลวงผ่านเกาะป้องกันของเป่ยกงจั๋วไปได้อย่างง่ายดาย ซึ่งมันก็ทำให้สีหน้าของเป่ยกงจั๋วบิดเบี้ยวเป็นที่สุด
ร่างสีเงินสว่างวาบขึ้น และเขาก็ถอยออกไปจนห่างจากมู่เฉียนซี แต่ทว่ามู่เฉียนซีก็ยังคงใช้การเคลื่อนย้ายภายในชั่วพริบตาไล่ตามเขามาจนสำเร็จ
มู่เฉียนซีในเวลานี้คลี่ยิ้มขึ้นมา “เป็นพลังกระบี่ของเสี่ยวไป๋”
เป่ยกงจั๋วกล่าวว่า “หานดับสิ้นไปตั้งนานแล้ว นั่นเป็นเพียงแค่ความบังเอิญเท่านั้น จะต้องเป็นความบังเอิญแน่นอน เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยังมีชีวิตอยู่”
ในตอนที่พลังของกระบี่นั้นปรากฏออกมา ก็เห็นได้ชัดว่าเป่ยกงจั๋วมีอาการลนลานเล็กน้อย อีกทั้งสีหน้าของเขายังเผยให้เห็นถึงความเหลือเชื่ออีกด้วย
“ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อว่าเสี่ยวไป๋ไม่อยู่แล้วหรือไม่ก็ตาม แต่ข้าเชื่อเสมอมา และยังคงเชื่ออยู่ตลอดไป!”
ในเมื่อเรื่องที่เป่ยกงจั๋วครอบครองร่างของเสี่ยวไป๋มีความเกี่ยวข้องกับเผ่าวิญญาณ เช่นนั้น…
ทันใดนั้น พลังจิตวิญญาณของมู่เฉียนซีก็ระเบิดออกมาอย่างไร้ความหวาดกลัว
นางเตรียมที่จะรวบรวมวิญญาณให้ออกมาและโจมตีเข้าใส่จิตวิญญาณของเป่ยกงจั๋ว หากสร้างความบาดเจ็บให้กับจิตวิญญาณของเป่ยกงจั๋วได้ เช่นนั้นเสี่ยวไป๋ก็จะต้องสามารถกลับมายังร่างตนเองได้แน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณหรือจะเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ เมื่อได้สัมผัสถึงพลังวิญญาณอันน่าสะพรึงกลัวเช่นในเวลานี้ ทุกคนต่างก็ต้องตื่นตะลึงกันไปหมด
พวกเขาไม่อาจที่จะคาดเดาได้ว่าพลังจิตวิญญาณนี้ทรงพลังมากเพียงใด แต่กลับรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังถูกคุกคามอยู่
จูเชว่และโม่ซวนก็ประหลาดใจมากเช่นกัน พลังจิตวิญญาณของนักปรุงยานั้นแข็งแกร่ง แต่ทว่าหากทรงพลังจนผิดปกติเช่นนี้คงจะมีเพียงแค่มู่เฉียนซีเท่านั้นที่สามารถทำได้
เพียงแค่คิดวิธีการนี้ขึ้นมาได้ มู่เฉียนซีก็ลงมือจู่โจมในทันที และเป็นความจริงที่ว่าวิธีการนี้นั้นไม่มีกลอุบายเลยแม้แต่น้อย
ความแข็งแกร่งของพลังจิตวิญญาณนี้ไม่ได้แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้มากนัก แต่ทว่าพลังในการโจมตีกลับแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้สีหน้าของเป่ยกงจั๋วเปลี่ยนไปอย่างมาก
เขาสัมผัสได้ว่าจิตวิญญาณของตนเองได้ถูกพลังนั้นพุ่งเข้าโจมตี ซึ่งราวกับว่ากำลังดำดิ่ง จนเขาไม่อาจที่จะต้านทานมันได้อย่างสิ้นเชิง
“หะ…เหตุใดเจ้าถึงสามารถใช้พลังวิญญาณเช่นนี้ในการโจมตีได้?”
คนที่สามารถใช้พลังจิตวิญญาณเช่นตอนนี้ในการโจมตีได้มีไม่มากนัก และผู้ที่มีพลังเสน่ห์อันแข็งแกร่งประจำกายเหมือนอย่างเหยียนเหลียนเจีย ที่มีมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์อย่างกระดิ่งเก้าชั้นเท่านั้นถึงจะสามารถทำได้
แต่ทว่านอกจากมู่เฉียนซีจะลงมือใช้พลังจิตวิญญาณของนางอย่างอุกอาจแล้ว ยังปราศจากความช่วยเหลือจากพลังของผู้อื่นอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย
วิญญาณของเป่ยกงจั๋วรู้สึกทรมานเป็นอย่างยิ่ง และสิ่งนี้ก็ทำให้อีกจิตวิญญาณหนึ่งที่อยู่ในร่างสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ได้
พลังของธาตุน้ำแข็งและธาตุอัสนีมาบรรจบกัน ต่อมาพลังที่แข็งแกร่งของกระบี่ก็ได้ระเบิดออกมา
“ซีซี อันตราย!”
สัญชาตญาณของจูเชว่ได้บอกกับเขาว่า ความอันตรายของพลังของกระบี่นี้ไม่ได้แข็งแกร่งน้อยกว่าพลังธาตุคู่ของเป่ยกงจั๋วเลย
แต่ทว่า มู่เฉียนซีกลับไม่ได้รู้สึกเลยว่าพลังของกระบี่นี้กำลังคุกคามนางแต่อย่างใด กลับกัน…
เป้าหมายของพลังแห่งกระบี่นี้ ก็คือตัวเขาเอง!
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นยะเยือกว่า “เสี่ยวไป๋ หยุดนะ!”
“โล่วิญญาณน้ำแข็ง!”
พลังของธาตุวารีแปรเปลี่ยนกลายเป็นโล่ผลึก และได้สกัดกั้นพลังของกระบี่นั้นเอาไว้
ปังง!
ด้วยแรงกดดันของพลังแห่งกระบี่ทำให้โล่น้ำแข็งของนางแตกออกทันที และร่างสีเงินร่างนั้นก็มีสีรอยเลือดที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ
เดิมทีแล้วคิดอย่างที่จะต่อสู้ต่อไป แต่ทว่าเมื่อเห็นสายตาที่โกรธเคืองของมู่เฉียนซีแล้ว กระบี่ที่กวัดแกว่งอยู่ในมือก็หยุดลงทันที
สายตาคู่นั้นที่มองมาทางมู่เฉียนซีไม่ได้เต็มไปด้วยแผนการอีกต่อไปแล้ว แต่มันมีเพียงความทุกข์ใจและโหยหาเท่านั้น
ร่างสีแดงราวกับอาบย้อมไปด้วยโลหิตร่างหนึ่งสว่างวาบขึ้นมา และหลังจากนั้นก็ได้ไปอยู่ตรงหน้าของมู่เฉียนซี
“หากไม่ทำเช่นนี้ ข้าจะเอาหน้าที่ไหนมายืนอยู่ต่อหน้าซีเอ๋อร์กัน เขาทำร้ายเจ้า แถมยังใช้มือของข้า และร่างของข้า…”
ดวงตาที่เย็นชากวาดมองไปที่บาดแผลที่อยู่บนร่างกายของมู่เฉียนซี กลิ่นอายก็เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกมากขึ้นไปอีก จนอดที่จะกวัดแกว่งกระบี่อีกหลายครั้งไม่ได้เลยทีเดียว
“นั่นมันไม่ใช่เจ้า ข้าไม่โทษเจ้าหรอก ขอเพียงเจ้ายังสบายดีก็พอแล้ว หากสามารถทำให้แน่ใจได้ บาดเจ็บเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้จะเป็นไรไป? สำหรับหมอปีศาจอย่างข้า บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านี้ไม่ได้อยู่ในสายตาข้าเลยด้วยซ้ำ”
กู้ไป๋อีจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของมู่เฉียนซี และใบหน้ารูปไข่ที่อ่อนช้อยนั้นก็ดูจะซีดเผือดลงไปเล็กน้อย
“ข้ารู้ แต่ว่าข้าก็ไม่อาจที่จะให้อภัยตนเองได้ ซีเอ๋อร์เจ้าพุ่งเข้ามาเหมือนก่อนหน้านี้เถิด”
“องค์รัชทายาท…” เหล่าลูกน้องของเป่ยกงจั๋วต่างพากันตะลึกงัน องค์รัชทายาทในตอนนี้ให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
กู้ไป๋อีกวาดสายตามองไปที่พวกเขา และทันใดนั้นพลังแห่งกระบี่นับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้ามาจู่โจมพวกเขา
เขาหันหน้ากลับไปมองทางมู่เฉียนซีแล้วกล่าวว่า “ซีเอ๋อร์ เจ้ารีบออกไปเร็วเข้า”
“ข้าไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าต้องเสี่ยงเพื่อข้าอีกแล้ว เช่นนั้น…”
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าก็ไม่คิดที่จะพ่ายแพ้ให้กับเป่ยกงจั๋วหรอก”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “หากไป ก็ต้องไปด้วยกันสิ”
“จะให้ข้าอยู่ข้างกายเจ้าอย่างสบายใจได้อย่างไร?” ร่างของกู้ไป๋อีสั่นเทา ทั้งยังกล่าวตอบกลับมาด้วยเสียงที่แหบแห้ง
ตูมมมม!
คนของราชวงศ์เป่ยกงที่น่าสงสาร เพราะถูกองค์รัชทายาทของพวกเขาโจมตีเข้าใส่อย่างกะทันหัน
สำหรับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณเหล่านั้น ยังพอสามารถสกัดกั้นการโจมตีขององค์รัชทายาทได้ แต่ทว่าผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นกลับน่าเวทนายิ่งนัก
คนเหล่านี้ต่างก็เป็นคนสนิทของเป่ยกงจั๋ว ซึ่งก็ต้องรู้แน่นอนอยู่แล้วว่านี่เป็นสิ่งที่ผิดปกติมาก พวกเขากล่าวว่า “เมื่อครู่ที่แม่สาวน้อยนั่นใช้จิตวิญญาณโจมตีมิใช่หรือ ที่จริงแล้วนางทำอะไรองค์รัชทายาทกันแน่?”
“องค์รัชทายาท พระองค์เป็นอันใดกันแน่พ่ะย่ะค่ะ?”
“จับแม่สาวน้อยผู้นั้นเอาไว้ นางจะต้องรู้แน่นอน!”
แต่ละคนต่างจ้องมองไปทางมู่เฉียนซีอย่างดุร้าย กู้ไป๋อีจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หยุดเดี๋ยวนี้! กล้าลงมือกับนางก็ลองดูสิ?”
“องค์รัชทายาท พวกเราจะต้องช่วยพระองค์ให้ได้แน่นอน”
“โปรดอภัยให้กระหม่อมที่ไม่อาจทำตามคำสั่งของพระองค์ได้”
“องค์รัชทายาท เมื่อพระองค์ได้สติกลับมาแล้วพระองค์จะเข้าพระทัย ว่าที่พวกกระหม่อมฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์นั่นก็เพื่อตัวพระองค์เอง”
เรื่องที่เขาถูกคนสังหารจนตาย และวิญญาณก็ได้หลบหนีจนต้องมายึดครองร่างของกู้ไป๋อีผู้เป็นพระอนุชาของเขานั้น เป็นเรื่องที่หน้าอับอายจนนอกเสียจากเสด็จแม่ของเขาแล้ว เป่ยกงจั๋วก็ไม่เคยเล่าให้ผู้ใดฟังมาก่อนเลย
ดังนั้น ยอดฝีมือเหล่านี้จึงคาดเดาไม่ได้ว่าอันที่จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเป่ยกงจั๋วกันแน่?
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ แต่พวกเขาก็มุ่งมั่นที่จะจัดการกับมู่เฉียนซีแล้ว อีกทั้งยังลงมือกับมู่เฉียนซีโดยที่ไม่สนใจกู้ไป๋อีที่กำลังขัดขวางอยู่เลย
“ซีเอ๋อร์ เจ้ารีบออกไปเถิด ข้าจะขวางพวกเขาไว้เอง!”
พลังของกระบี่กวัดแกว่งไปมา และกวาดไปยังคู่ต่อสู้ที่อยู่เบื้องหน้า
กู้ไป๋อีต้องการที่จะปกป้องมู่เฉียนซีจนไม่สนใจว่าตนเองจะเป็นหรือตายเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนี่ก็ทำให้ยอดฝีมือของราชวงศ์เป่ยกงเหล่านั้นราวกับถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้
“องค์รัชทายาท พระองค์จะเลอะเลือนเกินไปแล้ว!”
“ไป!” กู้ไป๋อีกล่าวกับมู่เฉียนซี
มู่เฉียนซีกำหมัดเอาไว้แน่น และจ้องมองเสี่ยวไป๋ที่กำลังจัดการกับศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าอย่างสุดกำลัง นางรู้ว่าเหตุใดเขาถึงไม่ยอมที่จะไปด้วยกัน
เป่ยกงจั๋วยังคงอยู่ หากว่าเขาอยู่ข้างกายนาง และเป่ยกงจั๋วเกิดกลับมาอย่างกะทันหัน เมื่อถึงตอนนั้นสำหรับเขาแล้วมันอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว
แต่ทว่านางจะวางใจปล่อยให้เสี่ยวไป๋ไปต่อสู้กับเจ้าคนทรยศที่ชั่วร้ายอย่างเป่ยกงจั๋วเพียงลำพังได้อย่างไร ไหนจะยังมีคนของราชวงศ์เป่ยกงอีก
“เสี่ยวไป๋ พวกเราไปคิดหาหนทางด้วยกันเถอะ! ข้ามีเพื่อนพ้องที่เก่งกาจและยอดเยี่ยมมากมาย…”
ยังไม่ทันที่มู่เฉียนซีจะพูดจบ ก็ได้ถูกเขาขัดจังหวะไปเสียก่อน
“ซีเอ๋อร์ ข้าต้องกลับไปที่ราชวงศ์วังเป่ยกง ของที่ควรเป็นของข้าทั้งหมดข้าไม่อาจมอบให้ผู้อื่นไปอย่างเปล่าประโยชน์ได้ และข้าก็อยากที่จะเอามันคืนมา เช่นนั้นต้องขอโทษด้วย…” กู้ไป๋อีกล่าวอย่างนิ่งสงบเป็นอย่างมาก
“คำพูดไร้สาระเช่นนี้ ผู้ใดจะเชื่อกัน! เจ้าที่แม้แต่จะจัดการกองกำลังระดับสามยังทำได้ไม่ดี แต่เจ้าคิดที่จะจัดการกองกำลังระดับห้าที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเพียงลำพังหรือ” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างโกรธเคือง
กู้ไป๋อีกล่าวอย่างหมดหนทาง “สิ่งที่ข้าพูดคือความจริง”
ตูมมมม!
พลังกระบี่ของกู้ไป๋อีตัดผ่านอย่างรุนแรง
“องค์รัชทายาท หลีกเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“องค์รัชทายาท ระวังพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นพวกกระหม่อมอาจทำพระองค์บาดเจ็บได้”
“……”
ในการต่อสู้ครั้งนี้ เหล่ายอดฝีมือของราชวงศ์เป่ยกงต่างก็ต่อสู้ด้วยความเสียใจมากเช่นกัน และเงาร่างสีดำร่างหนึ่งก็พุ่งทะยานออกมา ซึ่งก็คือฉู่หลีนั่นเอง