ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 490 งานเลี้ยงเอิกเกริกของหมอปีศาจ
“มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าคิดว่าที่ข้ามาสำนักอวิ๋นเยียนของเจ้า ข้าไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลยรึ ?”
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
องครักษ์เงาตระกูลมู่เก้าสิบเก้าร่างโผล่ออกมา
นอกจากองครักษ์เงาของตระกูลมู่แล้ว ยังมีเหล่ายอดฝีมือที่หลายปีมานี้ตระกูลมู่ใช้กำลังทรัพย์หามา ใช้การดึงดูดชักจูงมาของหอหมอปีศาจ อีกทั้งยังมีกลุ่มกองกำลังที่ต้องการจะถล่มสำนักอวิ๋นเยียนที่ขยายตัวอยู่ในทะเลมาเข้าร่วมด้วย
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งที่พวกของมู่เฉียนซีได้เตรียมพร้อมมาจำพวกอาวุธลับ อาวุธวิญญาณ ชุดเกราะ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นชนิดที่ดีที่สุด และยังมีพิษร้ายที่ใช้อย่างไรก็ใช้ไม่หมดอีก
หากเมื่อเปิดศึกขึ้น สำนักอวิ๋นเยียนจะยังสามารมีโอกาสชนะอยู่เพียงกี่ส่วน! สีหน้าของเจ้าสำนักอวิ๋นเยียนในเวลานี้นั้นสลดเสียยิ่งกว่าสัตว์หงอย ๆ
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้านั้นจะเล่นเป็นเพื่อนกับคุณหนูใหญ่อวิ๋นเฟิ้งต่อ ส่วนพวกเจ้านั้นให้ไปเล่นเป็นเพื่อนกับผู้อื่นที่เหลือให้สนุก”
“ขอรับ!”
แน่นอนว่าในเวลาเช่นนี้ก็มีคนที่คิดจะฉวยโอกาสอันวุ่นวายลอบโจมตีมู่เฉียนซี เพราะพวกเขานั้นพบว่าพลังความสามารถขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าของมู่เฉียนซีนั้นได้หายไปแล้ว
มีช่วงเวลาที่มีฤทธิ์ ก็ย่อมมีช่วงเวลาที่หมดฤทธิ์ เหล่าผู้ที่มู่เฉียนซีพามาด้วย อย่างน้อย ๆ ก็ขั้นจักรพรรดิ มาตอนนี้พลังของนางนั้นได้ถอยกลับไปเป็นพลังของราชาแห่งภูตระดับเก้า เช่นนั้นนางจึงเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มอย่างแน่นอน เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่บุกเข้ามาลอบโจมตีด้วยท่าทีดุดันนั้น มู่เฉียนซีกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “เสี่ยวหง อู๋ตี้ สำแดงให้พวกนั้นได้เห็นหน่อยเร็ว เสี่ยวหง เจ้ามันอยู่ยงคงกระพัน รีบแสดงให้พวกเขาเห็นใบหน้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเจ้าเลย”
“อู๋ตี้ผู้ไร้เทียมทานหนึ่งเดียวในใต้หล้ามาแล้ว! ผู้ที่มันกล้าขัดอารมณ์นายท่านของข้า ตาย!”
แสงสีขาวพลันส่องประกาบวาบออกมา ทันใดนั้นก็มีแมวสีขาวตัวหนึ่งที่สูงใหญ่ราวภูเขาเลากาปรากฏตัวขึ้น และผู้ที่บุกเข้าไปทีละคนก็ได้ปลิวกระเด็น
เปลวเพลิงสีแดงเข้มพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า เสี่ยวหงกล่าวเย้ยหยัน “พวกเจ้าเหล่านี้ก็ช่างไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย นายท่านของข้ามีอารมณ์ดีที่จะเล่นเป็นเพื่อนกับคุณหนูใหญ่ของพวกเจ้า แต่พวกเจ้าแต่ละคนกลับมาก่อนกวน เช่นนั้นให้ข้าเผาพวกเจ้าให้เป็นเถ้าธุลีเสียเถอะ!” เหล่าคนที่มุงดูเหตุการณ์อยู่นั้นล้วนแต่แสยะยิ้มมุมปาก ผู้นำตระกูลมู่ทำตัวหยิ่งยโสอวดดีนั่นก็ว่าแย่แล้ว สัตว์พันธสัญญาแต่ละตัวของนางก็ยังอวดดีเสียจนไม่มีขอบเขต
เสี่ยวหงและอู๋ตี้คอยคุ้มกันอยู่ข้างกายมู่เฉียนซี นอกจากจะต้องมียอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิเข้ามาโจมตี มิเช่นนั้นแล้วแม้แต่มุมเสื้อผ้าของมู่เฉียนซีก็อย่าได้หวังว่าจะสามารถจับต้องได้
เวลานี้อวิ๋นเฟิ้งสิ้นหวังแล้ว ไม่ว่านางจะขอร้องอย่างไร มู่เฉียนซีก็ไม่มีความเมตตาต่อนางแม้แต่น้อยเลย ส่วนบิดาของนางนั้น บัดนี้ก็เหมือนรูปปั้นองค์พระโพธิสัตว์ที่กำลังข้ามแม่น้ำใหญ่ แม้แต่ตนเองนั้นยังแย่ เขาจึงไม่ได้สนใจนาง
นางถูกเด็กสาวที่โหดร้ายทรมานเสียจนกลายเป็นคนตาบอด นางคิดว่าหากเป็นเช่นนี้ มิสู้ปลิดชีวิตตัวเองเสียไม่ดีกว่าหรือ ? — พรวด! —
ความคิดนี้เพิ่งผุดขึ้นในใจนาง ทว่ามู่เฉียนซีก็ได้หยิบเอาเข็มยาอีกเข็มหนึ่งออกมา แล้วปักเข้าไปยังคอของนาง ทำให้นางนั้นไม่มีแม้แต่แรงที่จะปลิดชีพตนเอง เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อครู่นี้กระดูกของนางเพิ่งแตกหักไป ด้วยเวลาเพียงชั่วพริบตา นางพบว่าเส้นลมปราณของตนเองกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ
“อ๊ากกกกก!” เส้นลมปราณถูกทำลายป่นปี้ อีกทั้งพลังวิญญาณที่ฝึกปรือมาทั้งชีวิต ล้วนแต่ไม่เหลือสิ่งใด คงไว้แต่ความว่างเปล่า อวิ๋นเฟิ้งในตอนนี้มีชีวิตอย่างไร้ความหมาย ทว่าสตรีอย่างนางที่ถูกปีศาจชั่วร้ายควบคุมเอาไว้หมดทุกอย่างนั้น แม้คิดที่จะตายไป ก็ยังเป็นความหวังลม ๆ แล้ง ๆ
มู่เฉียนซีกล่าว “ต่อไป… ตัวยาชนิดที่สองจะถูกใช้แล้ว” นางส่ายหน้าอย่างหวั่นกลัว “ไม่…. อย่า ต่อไปข้าไม่กล้าอีกแล้ว… ข้าผิดเอง ข้าสมควรตายเป็นหมื่นครั้ง ในตอนนั้นข้าไม่ควรที่จะไปวางยาพิษอวู่ซวงอาของเจ้า ทำให้ดวงตาและขาทั้งสองข้างของเขาพิการ ตอนนั้นรู้อยู่แท้ ๆ ว่าตนเองไม่เหมาะสมกับเขา และถูกเขากล่าวเรื่องจริงออกมาจึงทำให้โกรธแค้นกลายเป็นความอับอายจึงได้วางยาพิษเขา ข้า…”
อวิ๋นเฟิ้งนั้นสารภาพบาปออกมาทั้งหมด พร้อมทั้งกล่าวถึงความสำนึกผิด แต่ทว่าในตอนนั้น เมล็ดพันธุ์แห่งความชั่วร้ายได้ถูกบ่มเพาะเข้าเสียแล้ว มาสำนึกผิดเอาตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ?!
มู่เฉียนซีคิดว่าหากมิใช่เพราะนางข้ามกาลเวลามา แม้กระทั่งถึงคราวต้องตาย ท่านอาเล็กก็คงจะไม่มีโอกาสมองเห็นแสงสว่างอันใดอีกเลย
“พรวด!” มู่เฉียนซีนำตัวยาที่สองส่งให้แก่อวิ๋นเฟิ้งก่อนจะกระซิบว่า “อวิ๋นเฟิ้ง บนโลกใบนี้ ผู้ที่ได้รับการตอบแทนจากข้าอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ เจ้าเป็นคนแรก คาดว่าเจ้าคงจะรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก”
อวิ๋นเฟิ้งไปยุ่งกับญาติสนิทเพียงคงเดียวของนาง ดังนั้นแล้วนางจึงได้กลายเป็นคนแรกบนโลกนี้ที่ได้รับงานเลี้ยงอย่างเอิกเกริกจากหมอปีศาจมู่เฉียนซี
งานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ของหมอปีศาจนั้น มิใช่ใครที่มีความโชคดีก็สามารถที่จะรับมันเอาไว้ได้ นางสามารถทำให้ใครก็ตามอยู่ใกล้กับความตายเป็นอย่างมากได้ แต่ว่ามิอาจที่จะไปถึงขั้นที่ถูกปลดปล่อยได้ ตกอยู่ในหุบเหวลึกและดิ้นรนอย่างไม่มีวันสิ้นสุดเพื่อหลุดพ้น นี่แหละคือสิ่งที่ว่า อยู่ไม่สู้ตายของจริง!
อวิ๋นเฟิ้งสั่นสะท้านไปทั้งตัว นางนั้นไม่รู้สึกเป็นเกียรติเลยแม้แต่น้อย นางรู้สึกกลัว… กลัว…
ดวงตานั้นยังคงมองเห็นอยู่ ยาทั้งสองกลับไม่ทำลายดวงตาของนางไปโดยตรง จึงทำให้อวิ๋นเฟิ้งนั้นมีความหวังอยู่บ้างเล็กน้อย
แต่ทว่า… ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงอาการคันอย่างอดทนได้ยากที่ถูกส่งมาจากดวงตาของนาง นางมิอาจที่จะควบคุมตัวเองได้ ต้องขยี้ตาของตนเองอย่างแรง
“อ๊าาาาา!”
ถึงแม้จะเจ็บปวดลึกเข้าไปยังไขกระดูก แต่นางก็ไม่สามารถหยุดยั้งการกระทำของตนเองได้เลย เลือดนางไหลออกจากเบ้าตาอย่างเอาเป็นเอาตาย ใบหน้านางเปลี่ยนกลายเป็นสีเขียวราวกับผีร้ายตนหนึ่งก็มิปาน ที่เบื้องหน้าของนางนั้นมีแต่ความมืดมิด นางมองไม่เห็นอะไรเลย มู่เฉียนซีถามขึ้น “คุณหนูใหญ่อวิ๋นเฟิ้ง ครั้งที่สองนี้ทำลายดวงตาของเจ้า เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้างเล่า ?”
“โอ้! บางทีอาจจะไม่ใช่ครั้งที่สอง” ในตอนนั้นเป็นเพราะว่านางโกรธ จึงได้วางยาพิษท่านอาเล็ก แล้วยังคิดอีกว่าเป็นเรื่องที่สมควรด้วยเหตุผล บางทีนางอาจจะเคยทำมาตั้งนานแล้วก็ได้
“เพียงแต่ว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน นี่เป็นการทำลายดวงตาของตนเอง เกรงว่าคงจะมีรสชาติอยู่บ้าง” ดวงตาที่ดำสนิทของมู่เฉียนซีแฝงรอยยิ้มบาง ๆ แต่กลับทำให้ผู้อื่นผุดเหงื่อเย็นวาบไปทั้งตัว
“มาร… นางมาร มู่เฉียนซีเจ้ามันเป็นมาร…”
สิ่งที่มู่เฉียนซีได้ทำไปนั้น ช่างน่าตกตะลึงเสียจริง นึกถึงเมื่อตอนที่พบเจอนางครั้งแรก ชุดกระโปรงผ้าพลิ้วสีม่วงทั้งตัว สวยงามและสูงส่ง เหมือนดั่งถูกเลี้ยงเอาไว้ในอุ้งมือของเจ้าผู้ปกครอง มิเคยแปดเปื้อนฝุ่นผงสิ่งสกปรกหรือเปื้อนเลือดแสนคาวแต่อย่างใด แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเมื่อนางลงมือล้างแค้น กลับทำให้ผู้คนหวาดหวั่นได้มากเช่นนี้
ผู้นำตระกูลมู่มิใช่ผู้ที่จะไปล่วงเกินได้
“พวกเจ้าว่าผู้นำตระกูลมู่น่ากลัว หรือว่าหมอปีศาจน่ากลัว”
“ได้ยินมาว่าทั้งสองนั้นเป็นสหายผูกพันแน่นแฟ้นกัน ไม่แปลกเลยที่ผู้นำตระกูลมู่เป็นเช่นนี้” “พิษทั้งสองชนิดที่นางให้อวิ๋นเฟิ้งนั้น ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว!”
พวกเขานั้นกล่าวซุบซิบถกเถียงกันเบา ๆ ไม่กล้าเสียงดังด้วยเกรงว่ามู่เฉียนซีจะได้ยิน
อวิ๋นเฟิ้งตะโกนเสียจนเสียงแหบพร่า “เจ้า… เจ้ายังจะเอาเช่นไรอีกเล่า ? ข้ากลายเป็นเช่นนี้ เจ้ายังไม่พอใจอีกรึ ?”
“แน่นอนว่ายังไม่พอใจ ด้วยเวลามีจำกัดข้าจึงได้เตรียมยาไว้ให้เจ้าเพียงสามชนิด อย่างไรเสียก็ต้องเอายาชนิดที่สามมาใช้ให้เสร็จสิ้น” มู่เฉียนซียกมือขึ้น ยาเข็มนั้นแทงเข้าไปที่บนใบหน้าของอวิ๋นเฟิ้ง
เข็มยาแหลมคมถูกทิ่มเข้าไปในกระดูกของอวิ๋นเฟิ้ง เข็มยาก่อนหน้านี้สองเข็มถูกโยนลงบนพื้น แต่เข็มยาเข็มนี้นางตั้งใจจะปล่อยมันเอาไว้อย่างนั้น ถึงแม้ว่าเข็มยานี้จะมีราคาแพง ทว่านางไม่เคยใช้มันเป็นครั้งที่สอง
ในการเลี้ยงฉลองอันยิ่งใหญ่ นางตั้งใจจะเล่นงานอวิ๋นเฟิ้งอย่างสมเกียรติ เริ่มจากสายตาของนาง เรื่อยไปยังใบหน้าของอวิ๋นเฟิ้งนั้น มันเริ่มเน่าสลาย กลิ่นเน่าลอยไปยังเจ้าสำนักอวิ๋นเยียนที่กำลังตัวสั่นระริกอยู่ใกล้ ๆ มู่อวู่ซวง
เจ้าสำนักอวิ๋นเยียนหันศีรษะกลับไปมองบุตรสาวคราหนึ่ง เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาตกใจกลัวเสียจนวิญญาณแทบจะแตกสลาย
นั่นคือบุตรสาวของเขาหรือ ?
ไม่… นั่น… นั่นมันดูไม่ใช่สภาพของมนุษย์
“อ๊ากกกก! มู่เฉียนซี มู่อวู่ซวง พวกเจ้านั้นโหดร้ายเกินไป ถึงแม้วันนี้ข้าจะต้องตายไปพร้อมกับพวกเจ้า ก็ต้องแก้แค้นให้กับเฟิ้งเอ๋อร์ให้ได้!”
มู่เฉียนซียิ้มเยาะ “แก้แค้นรึ ? เจ้าฝันไปเถอะ! ถึงแม้ว่าเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้ลิ้มรสกับงานเลี้ยงที่เอิกเกริกของข้า แต่ว่าข้านั้นจะมอบของขวัญเล็ก ๆ น้อยให้เจ้าก็แล้วกัน ถือว่าเป็นน้ำใจจากข้ามู่เฉียนซี”
.