ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 623 ชื่อเสียงโด่งดัง
การประลองบนเวทีประลองขั้นปฐพีนั้น เย่อี้และมู่เฉียนซีต่อสู้กันจนเริ่มเข้าขั้นดุเดือดแล้ว
เหล่าบรรดาผู้มาร่วมชมนั้นพบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เวลานี้เห็นได้ชัดเลยว่าเย่อี้หายใจหอบจนแทบจะหายใจไม่ทันแล้ว ทว่าลมหายใจของมู่เฉียนซียังคงสงบนิ่งเสมือนตอนแรกเริ่ม
เห็นกันอยู่ว่าพลังความสามารถของเย่อี้แข็งแกร่งกว่านางมาก สถานการณ์เช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นเลย แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
“เจ้า…” เย่อี้ทําได้เพียงจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยสายตาอาฆาต
มู่เฉียนซีเลิกคิ้วกวน ๆ ก่อนจะกล่าวขึ้น “เหอะ! อ่อนแอ ถึงเวลาแล้วที่เจ้าต้องลงไปจากเวที เจ้าแพ้และสู้ข้าไม่ไหวแล้ว เปลี่ยนคนเถอะ”
“ทักษะตี้ซวน!”
การโจมตีปิดท้ายด้วยทักษะตี้ซวนเพียงกระบวนท่าเดียวก็เพียงพอที่จะทําให้เย่อี้สูญเสียพลังจนต้องลงจากเวทีประลองไป
— ปัง! —
เย่อี้กระเด็นออกไปด้วยกระบวนท่านี้ของมู่เฉียนซี ทุกคน ณ ตรงนั้นไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เลย นี่เป็นเรื่องจริงรึ ?
หลังจากเอาชนะเย่อี้ได้แล้ว มู่เฉียนซีก็ยังคงยืนอยู่บนเวทีประลอง นางถามขึ้นอย่างโอหังเพราะหวังให้พวกเขาหมั่นไส้อยากเข้ามาสู้ “เหอะ! พวกที่เหลือมีแต่พวกไก่อ่อนหรือเปล่า ทำไมยังไม่มีใครกล้าท้าประลองข้าอีกล่ะ ? มาสิ ถ้ามีก็เข้ามาอย่าได้มัวรีรอ”
มู่เฉียนซีคิดว่าตัวนางเพิ่งทะลวงผ่านหนึ่งระดับมาได้ก็ควรฝึกฝีมือให้ดี แน่นอนว่าเวทีประลองขั้นปฐพีนี้ก็ช่างเหมาะเจาะดีจริง ๆ
มู่เฉียนซีล่วงเกินแม่นางซู่ สาวงามอันดับหนึ่งของห้องเรียนระดับกลาง นางเป็นคนโปรดของใครหลายคน ฉะนั้นย่อมมีผู้คนไม่น้อยที่อยากท้าประลองกับมู่เฉียนซี
“ข้า!”
“ข้าเอง!”
“ข้าไปเอง!”
“ไม่! ข้าไม่ใช่พวกไก่อ่อน ข้านี่แหละจะสู้กับนางเอง”
สถานการณ์ตอนนี้ดุเดือดมาก พวกเขาต่างพากันส่งเสียงเอะอะโวยวายอยากแก้แค้นให้แม่นางซู่
ทว่ามู่เฉียนซีหาได้เกรงกลัวไม่ การต่อสู้ครั้งต่อ ๆ ไปสนุกมาก นางต่อสู้อย่างสนุกสนานเสียจนแทบลืมไปเลยว่ากำลังสู้อยู่ พลังวิญญาณที่มี แม้ถูกใช้ไปจนหมดก็ยังมียาฟื้นฟูพลัง พวกโง่เง่านี่คิดจะต่อสู้กันแบบหมุนเวียนเพื่อเอาชนะนาง มันเป็นไปไม่ได้
แต่ก็แน่นอนว่ามู่เฉียนซีจะไม่สิ้นเปลืองพลังของตนไปจนหมดแรง นางคิดเอาไว้ว่าเมื่อสู้ไปได้สักประมาณหนึ่งจนถึงที่ตนเองพอใจก็จะหยุดสู้ทันที
ตอนนี้นางอยู่ในอันดับที่หกสิบเก้าของการประลองบนเวทีประลองขั้นปฐพีแล้ว และนางได้กลายเป็นนักเรียนหรือศิษย์หน้าใหม่คนแรกของห้องเรียนระดับกลาง
จนแล้วจนรอด มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นด้วยเสียงอิ่มเอมใจ “วันนี้สู้กันมาพอสมควรแล้ว ถ้าหากพวกเจ้ายังอยากแก้แค้นให้สาวงามอันดับหนึ่งของพวกเจ้า พรุ่งนี้ค่อยมาท้าประลองกับข้าใหม่แล้วกัน”
กล่าวจบร่างบางเดินลงจากเวทีประลอง ทันใดนั้นทุกคนรู้สึกว่าอากาศโดยรอบเริ่มเย็นยะเยือก เงาร่างสีดำร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้ามู่เฉียนซี
“เหนื่อยแล้วรึ ?” เสียงที่ไม่อบอุ่นและไม่อ่อนโยนเอ่ยถามมา ทว่ามันกลับมีความเป็นห่วงแฝงอยู่
“ไม่เหนื่อย นี่ไม่เหมือนตอนที่ข้าสู้กับเจ้าหรอก” มู่เฉียนซีส่ายศีรษะเบา ๆ ทุกครั้งที่นางต่อสู้กับจิ่วเยี่ยมักจะเหนื่อยแทบลมจับ บางคราแม้แต่จะขยับนิ้วก็ยังไม่สามารถขยับได้เลย
คนอื่น ๆ ไม่ได้วิปริตเช่นเขา นางสามารถจัดการได้อย่างสบาย ๆ ไร้กังวล
ร่างสีดําได้ยินคำตอบนางก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เขาพุ่งผ่านไปโฉบเอาร่างบาง พานางไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
ในมุมหนึ่ง ดวงตาใสเหมือนดั่งผิวน้ำในฤดูใบไม้ร่วงมองพวกเขาทั้งสองที่รักกันแสนหวานจนน่าอิจฉาแทบอยากจะแผดเผา
‘นังบัดซบมู่เฉียนซี! การประลองแบบหมุนเวียนเช่นนี้ไม่สามารถจัดการเจ้าได้ พรุ่งนี้… พรุ่งนี้จะต้องจัดการเจ้าให้ได้’ ซู่ซินเซี่ยคิดอย่างเผ็ดร้อนในใจ ดวงตาจ้องเขม็งไปยังมู่เฉียนซีที่ถูกจิ่วเยี่ยอุ้มไป
……
วันต่อมา ซู่ซินเซี่ยดูเหมือนยังคงปลุกเร้าให้เกิดเพลิงโทสะในหมู่ชายที่หลงใหลนางต่อไป ผู้ที่ได้อันดับต้น ๆ ของการต่อสู้จัดอันดับจากเวทีระดับปฐพีนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนั้นแล้วจึงทำให้มู่เฉียนซีมีคู่ต่อสู้อยู่ไม่ขาด
ไม่นานนัก รายชื่อผู้ติดอันดับจากการต่อสู้บนเวทีขั้นปฐพีก็ปรากฏผู้วิปริตที่เปลี่ยนอันดับอย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไปสามวันแล้ว ซู่ซินเซี่ยไม่เพียงแต่ไม่สามารถทำให้มู่เฉียนซีได้รับบาดเจ็บหรือพิการ แต่กลับกัน นี่มันยิ่งทําให้มู่เฉียนซีมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วห้องเรียนระดับกลาง
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ามีศิษย์ใหม่คนหนึ่งปีนขึ้นไปยังห้าสิบอันดับแรกของการจัดอันดับในเวลาสามวัน”
“นางน่าทึ่งมาก ข้าได้ยินมาว่านางเป็นเพียงจักรพรรดิแห่งภูตระดับหนึ่งเท่านั้น แต่กลับเอาชนะพวกระดับสี่ได้โดยไม่กดดันเลยสักนิด”
“อ้อ และนางยังเป็นหญิงงามที่งามเสียยิ่งกว่าแม่นางซู่ด้วย”
ในใต้หล้านี้ ผู้คนย่อมเคารพนับถือผู้ที่แข็งแกร่งเสมอ ความแข็งแกร่งของมู่เฉียนซีทําให้คนส่วนใหญ่ลืมเรื่องที่ซู่ซินเซี่ยโกรธจัดจากการถูกมู่เฉียนซีรังแก
สถานการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่ซู่ซินเซี่ยคาดไม่ถึงเลย สามวันมานี้เมื่อเห็นชื่อเสียงของมู่เฉียนซีลือกระฉ่อนในห้องเรียนระดับกลางของพวกเขาจนโด่งดังมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีผู้ชื่นชมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบแซงหน้านางแล้ว ซู่ซินเซี่ยก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป
นางตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ปล่อยให้มู่เฉียนซีหยิ่งยโสเช่นนี้ได้ต่อไป สี่สิบอันดับแรกของห้าสิบอันดับแรกในรายชื่อขั้นปฐพีมีเหลือเพียงไม่กี่คนที่เป็นคู่ต่อสู้ของนางมู่บัดซบนั่นได้ เช่นนั้นยี่สิบอันดับแรกล่ะ
“ฮั่วเฟย หากเจ้าท้าทายมู่เฉียนซี ทําให้นางพิการและเผาหน้านางให้เละได้ ข้าจะมอบยาระดับเก้าให้เจ้า” ซู่ซินเซี่ยเดินไปหาชายชุดแดงคนหนึ่งแล้วกล่าวเสนอขึ้น
บุรุษชุดแดงหัวเราะอย่างสนุกสนาน “อา… แม่นางซู่สู้ผู้ใจดีมาโดยตลอดกลับคิดซื้อตัวคนชั่วร้าย ช่างแปลกเสียจริงนะ”
“ในเมื่อข้าพูดกับคนฉลาดเช่นเจ้า ข้าก็ขอพูดตรง ๆ เลยนี่แหละ ว่ายังไงล่ะ สรุปแล้วเจ้าจะทำหรือไม่ทำ ?”
“ข้าได้ยินมาว่าศิษย์น้องผู้นั้นร้ายกาจมาก อีกทั้งยาเม็ดฟื้นฟูพลังนางก็มีไม่น้อย ยาเม็ดระดับเก้าเม็ดเดียวนี้ เจ้าคิดจะซื้อให้ข้าลงมือกับนาง นี่ไม่คุ้มค่ากระมัง! อย่างน้อยต้องสามสิ สามน่ะ!”
“สองเม็ด” ซู่ซินเซี่ยต่อรอง
เฟยฮั่วกล่าว “สามคือสาม ข้าจะไม่ให้ขาดเลยแม้แต่เม็ดเดียว มิเช่นนั้นเจ้าไปหาคนอื่นเถอะ แต่ข้าเตือนไว้อย่าง ถ้าเจ้าตระหนี่และเที่ยวไปถามคนนั้นคนนี้ เกรงว่าคนทั้งสำนักศึกษาจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าเอาได้นะแม่นางซู่”
“ตัวตนที่แท้จริงของข้ามีเจ้าเพียงคนเดียวที่รู้ก็พอแล้ว ก็ได้ ข้าตกลงที่สามเม็ด”
“ดี! เช่นนั้นตอนนี้วางมัดจำมาก่อนก็แล้วกัน” ฮั่วเฟยกล่าวพร้อมยื่นมือออกมา
“เจ้าอย่าให้มันมากไปนัก!”
“แม้แต่สิ่งเริ่มต้นดี ๆ เพียงน้อยนิดเจ้ายังไม่มอบให้ แล้วจะให้ข้าไปเสี่ยงชีพเพื่อเจ้า เจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกโง่รึ ?” ฮั่วเฟยกล่าวพลางเบะปากเชิงดูถูก
“เหอะ เจ้าเองก็ร้ายนักนะ แต่เอาเถอะ ข้าจะให้ยาเม็ดหนึ่งเม็ดก่อน ค่ามัดจำนี้เจ้าพอใจหรือยังล่ะ ?” ซู่ซินเซี่ยหยิบขวดยาออกมาและโยนมันให้เขาอย่างหงุดหงิด
บิดาของนางเป็นรองอาจารย์ใหญ่ของสํานักย่อยการปรุงยา นางจึงมีเม็ดยาระดับนี้ ตัวนางเองยังไม่ได้ใช้ประโยชน์เลยแล้วตอนนี้ต้องเอามันให้คนอื่น หัวใจซู่ซินเซี่ยบีบรัดแน่นจนนางแทบกระอักเลือด
“ตกลง!” ฮั่วเฟยยิ้มร้ายเยี่ยงผู้ชนะ
……
เจ็ดวันผ่านไป แทบจะเรียกได้ว่ามู่เฉียนซี ‘สังหาร’ เรียบไปถึงสามสิบอันดับแรกแล้ว พลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้ทําให้ผู้คนตะลึงอึ้งค้าง
นางเก่งกาจขนาดนี้ ตอนนี้ทั้งห้องเรียนระดับกลางยังจะมีใครจําเรื่องที่มู่เฉียนซีเคยรังแกซู่ซินเซี่ยได้อีก
นางคืออัจฉริยะหาตัวจับยาก คงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่ก้าวเข้ามาให้นางรังแกเอง
ผู้คนที่กล้าท้าประลองกับมู่เฉียนซีเริ่มมีจำนวนน้อยลงเรื่อย ๆ กลับกลายเป็นว่ามู่เฉียนซีเริ่มกังวลแล้วว่านางจะไม่มีคู่ให้ต่อสู้
เวลานี้ อันดับที่สิบสี่ของรายชื่อการจัดอันดับขั้นปฐพีท้าทายมู่เฉียนซีมาก
ฮั่วเฟยเป็นจักรพรรดิแห่งภูตระดับสี่ ในลำดับการจัดอันดับของขั้นปฐพี ชื่อเขาอยู่อันดับที่สิบสี่ และเขายังเป็นผู้มีพลังภูตธาตุอัคคีด้วย นิสัยของเขาโหดร้ายเลื่องชื่อ เป็นผู้ที่ชอบลงมือย่างรุนแรงดุดัน อีกทั้งยังเป็นผู้ที่เคยผ่านการต่อสู้นองเลือดมาแล้ว
เมื่อคู่ต่อสู้มาหาเองถึงที่เช่นนี้ มีหรือมู่เฉียนซีจะปฏิเสธ แน่นอนว่านางตอบรับคำท้า
การที่มู่เฉียนซีรับคำท้าของฮั่วเฟยนั้นทำให้เหล่าศิษย์ในห้องเรียนระดับกลางสั่นสะท้านกันไปทั้งหมด
“เฮ้ย! คราวนี้แม่นางน้อยมู่เฉียนซีเล่นใหญ่ไปกระมัง ถึงแม้นางจะไต่ระดับไปด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่นางทำได้ ทว่าถ้าต้องเจอเข้ากับฮั่วเฟยผู้ป่าเถื่อนดุดันนั่น ก็คงถือว่าอันตรายอยู่บ้าง”
“ฮั่วเฟยมิใช่ผู้ที่ทำอะไรอย่างทะนุถนอมเลย ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้มีผู้ท้าประลองคนหนึ่งถูกเขาเผาเสียจนพิกลพิการไป”
“ให้ตาย! หากว่าใบหน้าของหญิงงามผู้นี้ถูกเผาแล้วละก็ คงต้องวุ่นวายแน่ นี่มันหุนหันพลันแล่นเกินไป”
ทว่าเสียงตกใจหรือคัดค้านใด ๆ ก็มิอาจหยุดการประลองฝีมือกันของคนทั้งคู่ได้
ณ ตอนนี้ทั้งสองขึ้นไปยืนที่ด้านบนของเวทีประลองแล้ว…
ฮั่วเฟยในวันนี้มาในชุดคลุมยาวสีแดงเลือดทั้งตัว เขาเพียงสะบัดมือก็บังเกิดลูกไฟขึ้นกลางอุ้งมือหนา สายตาดุจเหยี่ยวมองมู่เฉียนซีอย่างพิจารณาก่อนจะกล่าว “หืม เจ้านี่ช่างเหมือนกับที่ได้ยินคนเขาลือกันจริง ๆ เจ้าเป็นหญิงงดงามผู้หนึ่ง ทว่าต้องระวังเปลวเพลิงของข้าให้ดี มิเช่นนั้นจะโดนเผากลายเป็นนางขี้เหร่”
มู่เฉียนซีทำสีหน้าไม่ใส่ใจพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เหอะ ๆ หากมีผู้ที่จะกลายเป็นตัวอัปลักษณ์ ผู้นั้นก็คือเจ้านั่นแหละ”
“แต่ก็นะ” มู่เฉียนซีเสริม “ข้าดูแล้วหน้าเจ้าในตอนนี้มันอัปลักษณ์พอตัวอยู่แล้ว ข้าเกรงว่าเจ้าคงไม่สามารถอัปลักษณ์ไปกว่านี้ได้อีกแล้วล่ะ”