ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 888 จุดเด่นอีกข้อ
มู่เฉียนซีกล่าว “ต่อไปข้าจะเป็นคนหลอมยาหยินหยางอนันต์ออกมา หากแม้แต่เรื่องนี้ข้าทำไม่ได้ แล้วข้าจะมีความสามารถใดเพียงพอที่จะหลอมยาหยินหยางอนันต์ออกมาช่วยชีวิตคนที่ข้าอยากช่วยกันเล่า”
“ขอเพียงแค่หาสมุนไพรที่ยังขาดอยู่เจอครบ นับจากนี้ต่อไป การฝึกฝนของเจ้าก็ไม่ใช่ปัญหา และการปรุงยาของเจ้าก็ไม่ใช่ปัญหาเช่นกัน”
เย่เฉินถือกระดาษใบนั้นด้วยความตื่นเต้น เขาท่องตำราสมุนไพรนานาชนิดของตระกูลได้อย่างแม่นยำและเข้าใจสมุนไพรเหล่านี้ได้อย่างแจ่มแจ้ง เขากล่าว “ข้าจะพยายามหามาให้ครบโดยเร็วที่สุด!”
“สาวน้อยช่างมีฝีมือที่น่าทึ่งมาก แม้แต่ร่างกายเช่นนั้น นึกไม่ถึงว่าจะสามารถรักษาได้” กู้ไป๋อีเดินเข้ามา
“เจ้ามักจะลืมสถานะของตัวเองตลอดเลยนะ นี่เจ้าอยากจะให้ข้าลงโทษเจ้าอย่างนั้นเหรอ?” มู่เฉียนซีมองกู้ไป๋อีที่ยืนอยู่ตรงประตูด้วยสีหน้าท่าทางหยอกล้อพลางกล่าว
กู้ไป๋อีตะโกนอย่างไม่เต็มใจว่า “คุณหนูใหญ่!”
มู่เฉียนซีมองเขา และกล่าวว่า “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ข้าจัดการได้อยู่แล้ว ข้าอยากจะเป็นนักปรุงยาที่แข็งแกร่งที่สุด”
ใบหน้าของกู้ไป๋อีค่อย ๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “ที่แท้ สิ่งที่คุณหนูใหญ่แสวงหาก็คือการเป็นนักปรุงยาที่แข็งแกร่งที่สุดนี่เอง แต่เดิมข้าก็คิดว่าจะเป็นเหมือนกันกับข้า คิดไม่ถึงว่าพวกเราเลือกเดินเส้นทางที่ต่างกัน”
มุมปากของมู่เฉียนซียกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “เส้นทางต่างกันอย่างนั้นเหรอ เส้นทางการสู้รบ เส้นทางการเป็นนักปรุงยา เส้นทางต่างกัน แต่ก็มุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกันไม่ใช่เหรอ ฝึกบำเพ็ญเพื่อกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง เพื่อปกปักษ์รักษา เส้นทางการปรุงยาก็เพื่อกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง เพื่อความสนใจที่มีต่อเรื่องหยูกยา แล้วก็เพื่อปกป้องทุกคนที่ตัวเองรัก”
แววตาของกู้ไป๋อีเผยความงุนงงออกมา “คุณหนูใหญ่ ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูด”
“เจ้าไม่มีคนที่เจ้าอยากจะปกป้องเหรอ?” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“มุ่งมั่นในการฝึกบำเพ็ญ แสวงหาเส้นทางในการเป็นผู้แข็งแกร่ง ไม่อาจให้เรื่องใดหรือว่าบุคคลใดมาทำให้ส่งผลกระทบได้” เขากล่าวเสียงดังน้ำเสียงเต็มไปด้วยพลัง
มู่เฉียนซีกล่าว “ดูเหมือนว่าวันนั้นสายฟ้าไม่ได้ผ่าเจ้าผิดจริง ๆ บางทีอาจจะเพื่อให้เจ้าตกลงมาจากสวรรค์มาจุติยังโลกมนุษย์ หรือไม่ก็อาจจะเพื่อทำให้โลกที่ขาวบริสุทธิ์ไร้มลทินของเจ้ามีสีสันก็อาจเป็นไปได้นะ”
กู้ไป๋อีมองหน้านาง เขายังไม่เข้าใจอยู่ดี!
ชีวิตนี้ ในใจของเขามีเพียงแค่การฝึกบำเพ็ญ
ส่วนเรื่องอื่นอย่างมากก็แค่ได้เห็นศิษย์น้องมีพรสวรรค์ในการฝึกบำเพ็ญ ได้แนะนำให้แต่ละวันผ่านไป แต่ละปีผ่านไป…
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “ถูกแล้วที่ข้าเรียกเจ้าว่าเสี่ยวไป๋”
“แต่ข้าไม่ชอบ!”
“ไม่ชอบ เจ้าก็ไม่อาจปฏิเสธได้” มู่เฉียนซีแสยะปากกล่าว
กู้ไป๋อีหันหลังเดินจากไป ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับสาวน้อยจอมดื้อผู้นี้ รอให้พลังความแข็งแกร่งของเขากลับคืนมาก่อน สาวน้อยผู้นี้ไม่กล้าเรียกชื่อเขาเช่นนั้นแน่
เย่เฉินได้เตรียมสมุนไพรวิญญาณพร้อมแล้ว มู่เฉียนซีกล่าว “พาข้าไปห้องปรุงยาเถอะ!”
ถึงแม้ว่าเย่เฉินไม่สามารถปรุงยาได้ แต่ตระกูลเย่กลับเตรียมห้องปรุงยาเอาไว้พร้อม และเขาก็เตรียมตัวรอนางอยู่หน้าห้องปรุงยา
มู่เฉียนซีกลับกล่าวว่า “เจ้าเข้ามาได้ เข้ามาดูข้าปรุงยา”
“ขอบคุณนายท่านมาก!”
จากนั้นเย่เฉินนายน้อยแห่งตระกูลเย่ หนึ่งในสามตระกูลยาโบราณผู้นี้ก็ตกอกตกใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นึกไม่ถึงมาก่อนเลยว่าไร้ซึ่งพลังวิญญาณก็สามารถปรุงยาที่มีความบริสุทธิ์เช่นนี้ออกมาได้
นึกไม่ถึงเลยว่ายาแผนปัจจุบัน (ยาน้ำ)จะมีฤทธิ์เช่นนี้
ที่แท้การจะเป็นนักปรุงยาผู้หนึ่ง ต่อให้ไร้ซึ่งพลังวิญญาณก็สามารถทำได้
ไม่นานนักมู่เฉียนซีก็ปรุงยาออกมาได้สำเร็จ และได้นำยานั้นบรรจุใส่ขวด นางกล่าว “อาบยานี่สามครั้งต่อวัน ครั้งละขวด หลังจากอาบเสร็จมาหาข้า”
เย่เฉินกำขวดยานั้นไว้แน่นพลางกล่าวว่า “ขอรับ!”
……
“อ๊า!” เสียงกรีดร้องดังก้องไปทั่วทั้งจวนตระกูลเย่
ผู้นำตระกูลเย่กับข้าบริวารก็อดที่จะเป็นกังวลไม่ได้ นายน้อยกำลังรับความทรมานเช่นไรกัน
กู้ไป๋อีกลับดูเหมือนไม่ได้ยินก็มิปาน ชงชาให้มู่เฉียนซีด้วยความสงบ
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “เสี่ยวไป๋ ข้าพบว่านอกจากหน้าตาเจ้าจะดีแล้ว เจ้ายังมีจุดเด่นอยู่อีกอย่างนึงนะ ชงชาได้ไม่เลวเลย!”
“ทั่วทั้งดินแดนสี่ทิศ ผู้ที่ได้ดื่มชาฝีมือข้ามีไม่เกินสามคน นับว่าคุณหนูใหญ่โชคดี” กู้ไป๋อีกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เช่นนั้นก็ทำให้ข้าตกตะลึงอย่างคิดไม่ถึงจริง ๆ!” มู่เฉียนซีหรี่ตายิ้มพลางกล่าว
“เพิ่มมาแค่คนเดียว ไม่เป็นไร!”
มู่เฉียนซีดื่มชาเข้าไปหนึ่งจอก กู้ไป๋อีรินเพิ่มให้นางอีกจอก
หลังจากที่เขารินเสร็จ มู่เฉียนซีก็จับแขนเขา
ผิวนี้ ก็เหมือนกันกับเขา เย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งหิมะก็มิปาน
กู้ไป๋อีกลับรู้สึกว่าแขนของตนเองนั้นได้รับความอบอุ่นเล็กน้อย!
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ยังคงไม่มีพลังวิญญาณแม้แต่น้อย เจ้าบอกว่าถูกทำลายลงแต่ตอนหลังก็จะฟื้นฟูกลับมาเอง แต่ตอนนี้มันยังไม่ฟื้นฟูกลับมาเลย เมื่อไหร่เจ้าจะสามารถฟื้นฟูพลังกลับมาได้”
“ทุกอย่างล้วนแต่ขึ้นอยู่กับลิขิตสวรรค์!” ใบหน้าของกู้ไป๋อียังคงไม่แยแสเฉกเช่นเดิม
“เจ้าไม่กลัวเหรอว่าการที่เจ้าติดตามคนอย่างข้าผู้ที่สร้างปัญญาไปทั่วทุกหนทุกแห่งเช่นนี้ เจ้าผู้ที่ไร้พลังวิญญาณจะถูกลูกหลงตายได้”
นางไม่ได้พูดเล่น ต่อไปการกระทำของเย่เฉินจะให้พื้นที่แห่งนี้ไม่สงบอีกต่อไป
“คุณหนูใหญ่ไม่มีทางปล่อยให้ข้าตาย”
“เจ้าแน่ใจเช่นนั้นเลยเหรอ?”
“อาจจะ!”
เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะเขาไม่เคยเข้าใจนางมาก่อน
“วางใจได้ ข้าไม่ให้เจ้าตายเร็วเช่นนั้นหรอก” มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว
“เจ้ามีความเข้าใจแค่ไหนเกี่ยวกับกองกำลังระดับสามทั้งสามแห่งดินแดนสี่ทิศ?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
กู้ไป๋อี “ข้ามักจะเก็บตัวฝึกบำเพ็ญ สำหรับเรื่องของดินแดนสี่ทิศนั้นไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก แต่กองกำลังใหญ่ทั้งสามนั้นได้สร้างอัจฉริยะจำนวนไม่น้อย”
“นายน้อยเฟิงอวิ๋นซิวแห่งตำหนักตงจี๋ อายุยังน้อย แต่พลังความแข็งแกร่งกลับถึงขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหก ภายในร้อยปีจะต้องเหนือกว่าไป๋อู๋ห่ายได้แน่นอน”
มู่เฉียนซีกล่าว “ไป๋อู๋ห่าย”
“หัวหน้าตำหนักตงจี๋เป็นผู้ที่จิตใจมีแต่อุบายมากมาย เชี่ยวชาญในการวางแผนทำร้ายผู้อื่น ข้าไม่ชอบคบค้าสมาคมกับคนเช่นนี้ ต่อไปหากคุณหนูใหญ่ได้เจอ ก็ต้องระมัดระวังตัวสักหน่อย”
“อ๋อ!” ความแข็งแกร่งของเสี่ยวไป๋ดูเหมือนว่าจะอยู่ในระดับเดียวกันกับนายน้อยตำหนักตงจี๋ เรียกชื่อเขาโดยตรงเช่นนี้ก็ไม่แปลก
สำหรับอัจฉริยะของตำหนักตงจี๋นั้น กู้ไป๋อีจำได้แม่นยำราวกับเป็นสมบัติในบ้านของตนก็มิปาน
ทว่า สำหรับเรื่องอื่นนั้น เจ้าหมอนี่กลับไม่รู้อะไรเลย
มู่เฉียนซีนับถือเขาจริง ๆ คนรับใช้ผู้นี้มุ่งมั่นเพียงแต่การฝึกบำเพ็ญจริง ๆ ไม่สนใจเรื่องภายนอกเลย
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “แล้วตำหนักเป่ยหานล่ะ?”
“ผู้ที่โดดเด่นในตำหนักเป่ยหานนั้นมีไม่น้อย แต่ผู้ที่น่าสนใจมากที่สุดนั่นก็คือองครักษ์หลิง องครักษ์ฝ่ายซ้ายของตำหนักเป่ยหาน อายุยังไม่ถึงสามสิบแต่กลับมีพลังความแข็งแกร่งขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหก พรสวรรค์เป็นรองจากเฟิงอวิ๋นซิว”
เมื่อได้ยินชื่ออารองของตนเอง มู่เฉียนซีก็อดกำหมัดแน่นไม่ได้
เกรงว่าแม้แต่กู้ไป๋อีเองก็ไม่รู้ ถึงแม้ว่าพรสวรรค์ในการฝึกบำเพ็ญของอารองจะมีความทะนงองอาจ แต่ชีวิตของเขา ความคิด และการกระทำของเขานั้นล้วนแต่ถูกผู้อื่นควบคุมเอาไว้ในมือ
มู่เฉียนซีกล่าว “แล้วหัวหน้าตำหนักเป่ยหานกับผู้อาวุโสสูงสุดเป็นคนเช่นไรกัน?”
แววตาของนางแฝงไปด้วยความเย็นชา แต่กู้ไป๋อีไม่ได้สังเกตเห็นแต่อย่างใด
เขากล่าว “ท่านผู้อาวุโสสูงสุดเป็นผู้อาวุโสที่แก่ที่สุดและปัญญาเฉียบแหลมที่สุด เรื่องทุกอย่างของตำหนักเป่ยหานไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เขาก็ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่……”
เมื่อได้ยินกู้ไป๋อีชื่นชมผู้อาวุโสสูงสุดของตำหนักเป่ยหานเช่นนี้ สีหน้าของมู่เฉียนซีก็ยิ่งดำคล้ำขึ้นเรื่อย ๆ
นางกล่าว “ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ ก็หมายความว่าทุกอย่างในตำหนักเป่ยหานก็ล้วนแต่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดที่เป็นคนจัดการ แล้วหัวหน้าตำหนักจะไปทำอะไรกินล่ะ?”
ได้ยินคำพูดนี้ของมู่เฉียนซี ใบหน้าของกู้ไป๋อีก็แข็งทื่อทันที จากนั้นเขากล่าว “คุณหนูใหญ่อย่าได้พูดหยาบคายเกินไป!”
มู่เฉียนซีมองเขาและกล่าวว่า “ข้าก็แค่ถามว่าเช่นนี้แล้วหัวหน้าตำหนักเป่ยหานมีหน้าที่ทำอะไรล่ะ?”