ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 944 รั้งข้าเอาไว้ไม่อยู่
โหลวหยูนได้ถูกทักษะโยวหลัวระเบิดอัดเสียจนเครื่องในทั้งห้าแหลก แต่เขาก็ยังคงยิ้มอย่างไม่เกรงกลัว มู่เฉียนซีขี้เกียจที่จะไปสนใจเจ้าหมอนั่น
ในตอนนี้จะต้องรักษาบาดแผลให้ตนเองเสียก่อน
ครานี้ได้รับบาดเจ็บหนักและเลือดที่ไหลออกไปนั้นมากมายนัก หากไม่รีบจัดการละก็ เกรงว่าจะเหลือเอาไว้เป็นภัยในภายหลัง
มู่เฉียนซีสะบัดมือ จากนั้นนางก็ได้นำยาจำนวนมากออกมาและเริ่มทำการห้ามเลือดให้ตนเอง
หลังจากที่เลือดหยุดไหลแล้วก็ได้ทำการล้างปากแผลเพื่อฆ่าเชื้อ
ท้ายที่สุดก็เย็บแผล!
“นางกำลังทำอะไรอยู่?”
ความรวดเร็วในการรักษาของมู่เฉียนซี พวกเขานั้นไม่อาจที่จะมองได้อย่างถนัดนัก แล้วก็ไม่รู้ว่านางกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?
แต่ผ่านไปไม่นานพวกเขาก็ได้เห็นผลของมันแล้ว
“ดูเหมือนว่า….จะไม่มีเลือดไหลแล้ว!”
“ปากแผลเองก็ดูเหมือนจะถูกปิดผนึกไปแล้ว”
“……”
หลังจากที่เย็บแผลเสร็จเรียบร้อย มู่เฉียนซีก็ได้ฉีดยาให้แก่ตนเองไปอีกหลายเข็ม จากนั้นก็ได้นำยาเม็ดออกมาอีกหลายขวด
นางไม่ว่ากล่าวอะไรทั้งสิ้นก่อนจะกินมันเข้าไปทั้งหมด!
ทุกคนล้วนแต่ปากอ้าตาค้าง กิน…กินยาเม็ดเข้าไปเช่นนี้
ทรัพยากรด้านยาเม็ดของเมืองเฮยตูนั้นมีอยู่จำกัดเป็นอย่างมาก ในเดือนหนึ่งยังยากที่จะได้กินสักเม็ดสองเม็ด แต่ทว่านางกลับกินเข้าไปทีเดียวขวดใหญ่เช่นนั้น
เมื่อใช้ยาเม็ดกับยาน้ำจำนวนมากเช่นนี้ ในที่สุดสีหน้าที่ซีดเผือดของมู่เฉียนซีก็ได้มีสีขึ้นมาเพราะเลือดไปหล่อเลี้ยงเล็กน้อยแล้ว
มู่เฉียนซีเดินเข้าไปที่ด้านหน้าของโหลวหยูนอย่างช้า ๆ แล้วกล่าว “ขออภัยเป็นอย่างมาก ที่ข้าทำให้เจ้าต้องผิดหวังเสียแล้ว ข้ามิเพียงแต่เป็นผู้บำเพ็ญภูตผู้หนึ่งเท่านั้น และแน่นอนว่าข้าจะไม่ปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นคนพิการไปได้!”
“ส่วนเจ้า แน่นอนว่าเจ้าต้องตายอย่างแน่นอน!”
ซึบ!
กระบี่มังกรเพลิงพุ่งออกไปแล้วแทงเข้าที่ขั้วหัวใจของเขาทันที!
การต่อสู้ครั้งแรกของการเข้าสู่ชั้นที่สองในหอคอยแห่งความตายนั้นก็ได้เจอเลือดไปไม่น้อย
เมื่อมู่เฉียนซีเดินออกไปด้านนอก กู้ไป๋อีก็ได้รออยู่ที่ด้านนอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นคุณหนูใหญ่บาดเจ็บหนักเช่นนี้ ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” กู้ไป๋อีกล่าวถามขึ้น
มู่เฉียนซีตอบ “แค่แผลภายนอกเท่านั้น ข้าได้จัดการเรียบร้อยแล้ว พักผ่อนเสียหน่อยก็ไม่เป็นอะไรแล้ว
“เช่นนั้นพวกเรารีบกลับไปกันเถอะ!”
สามวันให้หลัง มู่เฉียนซีก็ได้ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีประลองอย่างมีชีวิตชีวา อีกทั้งยังสามารถกวัดแกว่งกระบี่มังกรเพลิงได้ดั่งใจ ราวกับว่ามือที่เกือบจะขาดไปในวันนั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาก็มิปาน
มู่เฉียนซีได้เริ่มการต่อสู้กับคู่ต่อสู้ทีละคน ๆ ในชั้นที่สอง
กระบี่มังกรเพลิงก็ยังคงกลืนกินวิญญาณอย่างตะกละตะกลาม เมื่อมีมันอยู่ในมือก็สามารถที่จะรักษาสถิติการชนะเอาไว้ได้
ต่อสู้ รักษาแผล พักผ่อน จากนั้นก็สู้ใหม่…
ไม่ว่าจะออกมาจากหอคอยแห่งความตายด้วยอาการบาดเจ็บหรือไม่ กู้ไป๋อีก็ล้วนแต่ได้รอนางอยู่ที่ด้านนอกทุกครั้งไป
มู่เฉียนซีถามขึ้น “เสี่ยวไป๋ เจ้าอยู่ที่เมืองเฮยตูไม่มีเรื่องอะไรให้ทำหรือ?”
กู้ไป๋อีกล่าวตอบ “ข้านั้นเป็นขั้นสูงเรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องไปท้าสู้กับใคร แน่นอนว่าจึงไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ ก็แค่เพียงดูแลคุณหนูใหญ่ให้ดีเท่านั้นก็พอแล้ว”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “ในตอนแรกเจ้าต่อต้านยิ่งนัก นึกไม่ถึงเลยว่านับวันเจ้าจะยิ่งได้เรื่องเข้าไปทุกที ข้านั้นอยากจะให้เจ้าอยู่เป็นพ่อบ้านให้ข้าเสียจริง”
กู้ไป๋อีเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “รอเมื่อพลังความสามารถของข้าฟื้นฟูขึ้นมาแล้ว คุณหนูใหญ่ก็ไม่สามารถที่จะรั้งข้าเอาไว้ได้”
มู่เฉียนซีพยักหน้ากล่าว “ก็จริง เจ้าเป็นใครกันเล่าเสี่ยวไป๋? เจ้าเป็นถึงยอดฝีมือแห่งโลกทั้งสี่ทิศ ข้านั้นรั้งเจ้าเอาไว้ไม่ได้หรอก!”
น้ำเสียงของมู่เฉียนซีแฝงความเสียดายเอาไว้ ดวงตาของกู้ไป๋อีก็ฉายแววอ่อนโยนออกมา
อย่างไรก็ตาม นางมีความอาลัยอาวรณ์ต่อเขาเพียงเล็กน้อย นั่นก็เพียงพอแล้ว!
หนึ่งปีผ่านไป ในตอนนี้มู่เฉียนซีได้ไปอยู่ชั้นที่แปดของหอคอยแห่งความตายแล้ว และกำลังเข้าสู่การต่อสู้ครั้งที่หนึ่งร้อยซึ่งเป็นรอบตัดสิน!
“บัวแดงพิฆาต!”
“มังกรเพลิงสังหาร!”
ดอกบัวแดงและมังกรเพลิงได้พัวพันอยู่ด้วยกันแล้วพุ่งไปทางคู่ต่อสู้
ชายที่มีโล่อันใหญ่โตและหนังของมันประหนึ่งเหล็กกล้าผู้นั้นได้หลบหลีกอย่างรีบร้อน พร้อมกับได้ใช้เกราะสีดำสนิทนั้นป้องกันการโจมตีของมู่เฉียนซีเอาไว้
มู่เฉียนซีปรากฏตัวขึ้นราวกับภูตผีที่ด้านหลังของเขาและได้กระโดดขึ้นไปกลางอากาศแล้วกล่าว “หลบไปก็ไร้ประโยชน์ เจ้าได้เผยจุดอ่อนออกมาแล้ว!”
“ทักษะโยวหลัว!”
การต่อสู้อย่างบ้าคลั่งดำเนินไปเป็นเวลาหนึ่งปี ถึงแม้ว่าอาจารย์ผู้ที่สอนทักษะโยวหลัวให้จะไม่อยู่ แต่ทว่ามู่เฉียนซีก็ได้ฝึกทักษะโยวหลัวจนสำเร็จขึ้นมาบ้างแล้ว
เนื่องเพราะนางได้มาถึงขั้นที่สำเร็จขึ้นมาบ้างแล้ว จึงทำให้การต่อสู้ในหลาย ๆ ชั้นนั้นราบรื่นไปไม่น้อย มีบางผู้ที่เพียงได้ยินแค่ชื่อของนางก็ถึงกับขอยอมแพ้ไปในทันที
จึงทำให้ที่หอคอยของไป๋อีนั้นมีข้ารับใช้เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย!
นางถูกผู้คนในหอคอยแห่งความตายขนานกันว่า เทพโยวหลัวแห่งการฆ่าฟัน
ทักษะโยวหลัวระเบิดลงไปยังจุดที่การป้องกันของเขาอ่อนแอที่สุด หนังเหล็กนั้นได้กระเด็นลอยออกไปดั่งกระสุนปืนใหญ่
แกรก! แกรก!
เมื่อเกิดเสียงขึ้นเกราะสีดำสนิทของเขานั้นก็ค่อย ๆ ร่วงกราวลงมาทีละชิ้น และตัวเขาเองก็หายใจอย่างยากลำบาก
ทุกคนต่างร้องตะโกนขึ้นมา “ชนะแล้ว ชนะแล้ว สำเร็จการต่อสู้ทั้งหนึ่งร้อยครั้งแล้ว”
“หัวหน้าโยวหลัวจะกลายเป็นตำแหน่งจักรพรรดิในรอบสิบปีนี้แล้วหรือ?”
“ในที่สุดก็จะปรากฏจักรพรรดิคนใหม่แล้ว”
คู่ต่อสู้ของนางนั้นไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอที่จะต่อสู้เลยแม้แต่น้อย กระบี่มังกรเพลิงนั้นอดทนรอไม่ไหวกับการที่จะได้กลืนกินวิญญาณ
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเหนื่อยใจ “เจ้าตะกละ!”
ตลอดเส้นทางแห่งการฆ่าฟันมานี้ เจ้าหมอนี่ไม่เคยเพียงพอเลยแม้แต่นิดเดียว
กระบี่มังกรเพลิงได้มอบจุดสิ้นสุดให้แก่ฝ่ายตรงข้าม วิญญาณของฝ่ายตรงข้ามได้กลายมาเป็นอาหารของกระบี่มังกรเพลิง
ในที่สุดก็สามารถเอาชนะในชั้นที่แปดได้แล้ว
“ยินดีกับท่านโยวหลัวด้วย!”
“ยินดีด้วย!”
“…….”
เมื่อการแข่งขันจบลง ทั่วทั้งสนามก็ได้เกิดเสียงเจี๊ยวจ๊าวขึ้นมา
ในตอนนี้ผู้ดูแลงานประลองในชั้นที่แปดได้เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มแล้วกล่าว “ขอแสดงความยินดีกับคุณหนูด้วย เจ้าได้รับคุณสมบัติที่จะขึ้นไปยังชั้นที่เก้าของหอคอยแห่งความตายขอถามว่าเจ้าอยากจะไปในตอนนี้เลยหรือว่าจะผลัดไปก่อนสองสามวัน?”
มู่เฉียนซีกล่าวตอบ “พรุ่งนี้!”
“รับทราบ! เช่นนั้นวันพรุ่งนี้พวกเราจะรอคอยการมาถึงของเจ้า”
กู้ไป๋อีก็ได้รอคอยนางอยู่ที่ด้านนอกเช่นเคย
เมื่อเห็นมู่เฉียนซีออกมา กู้ไป๋อียิ้มแล้วกล่าว “ขอแสดงความยินดีกับคุณหนูใหญ่ด้วย ภายในเวลาหนึ่งปีก็สามารถฝ่าฟันไปได้ถึงชั้นที่เก้าได้ ซึ่งนี่นับเป็นผู้ที่สองในประวัติศาสตร์ของเมืองเฮยตูอย่างแน่นอน”
“หรือพูดได้อีกอย่างว่าข้ายังมิได้ล้ำหน้าเจ้าไปละสิ!”
กู้ไป๋อีพยักหน้ากล่าว “ใช่แล้ว!”
“เมื่อกลับไปแล้วข้าจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับชั้นที่เก้าของหอคอยแห่งความตายให้คุณหนูใหญ่ฟัง!”
มู่เฉียนซีพยักหน้ารับ “ดีเลย!”
แน่นอนว่าการอยู่ในเมืองเฮยตูนี้จะต้องรอบคอบและระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นแล้วนางจึงมิได้ถูกชัยชนะปิดตาและขึ้นไปยังชั้นที่เก้าในทันที
มันจำเป็นที่จะต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับหอคอยแห่งความตายถึงจะได้!
เมื่อกลับมาถึงที่ป้อมปราการ กู้ไป๋อีก็กล่าวขึ้น “ชั้นที่เก้าของหอคอยแห่งความตายจะมิใช่ลานประลองยุทธ์อีกต่อไป หากแต่เป็นมิติที่แยกตัวออกมา ซึ่งก็คือมิติแห่งความตาย”
“มันเป็นมิติกักขัง ด้านในนั้นจะมีกลิ่นอายมรณะที่จับตัวกันก่อเป็นวิญญาณแห่งความตาย อีกทั้งยังมีฉากกำบังแห่งความตาย ภายใต้การล้อมโจมตีของวิญญาณแห่งความตาย เจ้าจะต้องฝ่าออกมาจากฉากกำบังแห่งความตายให้ได้จึงจะนับว่าผ่านด่าน เรื่องนี้สำหรับคุณหนูใหญ่แล้วมันคงมิยากเย็น”
เมื่อครั้งก่อนที่ไปยังมิติของหงส์ดำ นางก็ได้กลับออกมาอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ดังนั้นมู่เฉียนซีจึงไม่กังวลว่านางจะติดอยู่ด้านในของมิติแห่งความตาย
มู่เฉียนซีพยักหน้าแล้วกล่าว “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ดูทีแล้วข้าจะต้องเตรียมยาชนิดน้ำเอาไว้บ้างถึงจะได้”
พลังชีวิตบนร่างของชิงอิ่งนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่ทว่าพลังของร่างกายของเขานั้นไม่ค่อยมั่นคง อีกทั้งมันยังเป็นพลังที่ตนเองไม่สามารถควบคุมได้ แน่นอนว่านางจึงต้องเตรียมการเอาไว้อีกอย่างหนึ่ง
วันต่อมา เฉียนซีได้เตรียมยาเม็ดและยาชนิดน้ำเอาไว้อย่างเพียงพอแล้วจึงได้ขึ้นไปยังชั้นที่เก้าของหอคอยแห่งความตาย
ส่วนกู้ไป๋อีได้ถูกหลงฉือผู้เป็นเจ้าแห่งเมืองเฮยตูเชิญไปจิบน้ำชาเสียแล้ว หลงฉือกล่าวขึ้น “ข้ารู้สึกว่าที่ทางหอคอยแห่งความตายนั้นมีผู้ได้เข้าไปยังมิติแห่งความตายแล้ว ไป๋อีเจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใด?”