ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 102
“เจ้า…”
“ที่จริงข้ารู้สึกว่าข้าจะเป็นใครก็ไม่ได้มีข้อแตกต่าง” ลู่ยามองนางพลางเอ่ย “เรื่องที่แตกต่างคือ ข้าไม่ควรหลอกเจ้าแต่แรก”
มู่จิ่วรู้สึกว่าตนเองใกล้จะระเบิดแล้ว เขาพูดอะไรนางก็ไม่ได้ยินทั้งนั้น!
เขาคือลู่ยา เขาคือลู่ยาเต้าจู่จริงๆ?!
นางทำอารมณ์ให้นิ่ง จากนั้นมองเขา
เห็นเพียงเครื่องหน้าทั้งห้าของเขายังคงเป็นแบบเดิม สีหน้าท่าทางก็ยังคงเป็นเช่นนั้น คนผู้นี้เป็นลู่ยาจริงๆ!
นางไม่รู้ว่าควรมีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างไรจึงดี…
มารดามันเถอะ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกันแม้แต่นิดเดียว!
ซ่านเซียนที่นางเก็บมาได้ ทำไมกลายเป็นเทพเซียนบรรพกาลไปเสียแล้ว?
แต่เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่านางไม่เชื่อ เขารู้เรื่องราวมากมายระหว่างเผ่าพันธุ์เทพ เขาสามารถพานางทะลุกำแพงออกมาจากคุกได้ เขาทำลายระฆังม่วงทองที่นางกับซ่างกวนสุ่นรวมหัวกันก็ทำอะไรมันไม่ได้ เพียงกระบวนท่าเดียวก็ขัดขวางการโจมตีพวกจีหมิ่นจวินของจิ้งจอกเฒ่า เมื่อครู่เขายังรับด่านเคราะห์อสุนีบาตสามสายแทนหลินเจี้ยนหรูด้วยสีหน้าผ่อนคลายไม่เปลี่ยน…
สายตาที่แวบผ่านเมื่อครู่ยังเต็มไปด้วยอำนาจทำลายล้าง!
ทั้งหมดนี้ยืนยันว่านี่คือเรื่องจริง!
ข้างกายนางมีเทพเซียนอยู่ และเทพเซียนผู้นี้กลับยังเอ่ยปากบอกว่าเป็นคู่หมั้นของนางอีก…
“เจ้าคือลู่ยาเต้าจู่จริงหรือ?”
ลู่ยาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ครุ่นคิดอยู่นาน เขาจึงพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าขอโทษอย่างมาก”
ขอโทษกับผีสิ!
หลอกนางแล้วก็ขอโทษนาง นี่เป็นการกระทำที่จริงใจหรือ?!
ในใจมู่จิ่วมีไฟแห่งความโกรธผุดขึ้นมา ย่ามันเถอะ ตอนแรกสุดใช้แขนที่เละเทะทำให้นางรับเขาไว้ พูดว่าถูกศิษย์พี่รองตามล่าสังหาร บอกว่าในร่างมีพลังลี้ลับควบคุมอยู่ ทั้งยังพูดอีกว่าแต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยได้รับความจริงใจจากคน…ที่แท้ทั้งหมดคือหลอกนาง!
เจ้าคนโกหก!
ทำไมนางถึงได้โง่ขนาดนั้น เชื่อเขาไปแล้วจริงๆ?
นางจับกระบี่ข้างเอวแน่น มองไปทางเขาอย่างไร้สุ้มเสียง
แต่เรื่องที่ทำให้รู้สึกโมโหที่สุดคือนางไม่สามารถระเบิดอารมณ์ใส่เขาได้ เรื่องก่อนหน้านั้นไม่นับ วันนี้ในเมื่อรู้ถึงฐานะของเขาแล้ว ใครจะรู้ว่าหากไปแหย่ให้เขาโกรธเข้าจะเกิดภัยพิบัติอะไรตามมา?
จิ้งจอกเฒ่ามีพลังบำเพ็ญหลายแสนปี อยู่ต่อหน้าเขายังต้องนอบน้อม แล้วนางเล่า?
และบรรพบุรุษของจิ้งจอกเฒ่ายังอยู่ข้างกายหนี่ว์วา เขาต้องรู้จักลู่ยาแน่ ตอนนั้นเขาเห็นหน้าลู่ยาครั้งแรกก็สงสัยแล้วว่าเป็นลู่ยาคนนั้น! ยิ่งดูท่าทางที่เขาปฏิบัติกับลู่ยาในงานเลี้ยงเมื่อคืนวาน หากลู่หยาไม่ใช่ลู่ยา เช่นนั้นจิ้งจอกเฒ่าก็เปลี่ยนเป็นอีกคน? มิน่าล่ะพวกเขาถึงได้ดูมีลับลมคมใน ที่แท้เพราะฐานะของพ่อหนุ่มนี่เป็นปัญหา!
นี่ยิ่งช่วยยืนยันว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ใช่เรื่องโกหก
เขาคือลู่ยา…
“อาจิ่ว?”
ลู่ยาเห็นนางเป็นแบบนี้ ในใจรู้สึกกังวลเล็กน้อย จึงออกเสียงเรียกขาน
นางได้สติกลับคืนทันที มองใบหน้าที่เข้าใกล้อย่างกะทันหัน ใจพลันลนลานจนสำลักไปสองครั้ง
นางต้องสงบสติอารมณ์หน่อย!
เรื่องนี้จะทำให้นางระเบิดกลายเป็นประทัดแล้ว!
“เอ่อ ผู้น้อยพลันนึกขึ้นได้ว่ามีธุระนิดหน่อย ไม่อยู่เป็นเพื่อนท่านผู้เฒ่าแล้ว! ข้าน้อยขอลา!”
นางพูดจบก็หุนหันออกประตูไป มุ่งตรงกลับไปยังเรือนของตัวเอง
ลู่ยาขมวดคิ้ว “ผู้น้อย?…ข้าคือท่านผู้เฒ่า?”
ทางด้านหลินเจี้ยนหรูกลับมาถึงสวรรค์ เป็นธรรมดาที่พวกเหลียงชิวฉานจะกลับมาแล้วเช่นกัน ถึงแม้ในสำนักจะเกิดเรื่องใหญ่ แต่เรื่องงานสำคัญกว่า บวกกับจีหมิ่นจวินไม่ได้เห็นเรื่องของหลินเซี่ยสำคัญขนาดนั้น ดังนั้นจึงส่งจีหย่งฟางกลับมา
สองคนอยู่ที่ลานบ้านเดียวกัน นี่คือเรื่องหนึ่งที่ค่ายทหารสวรรค์ดูแลศิษย์ลัทธิฉ่าน ทุกกรณีหากเป็นคนสำนักเดียวกัน จะสามารถเลือกอยู่ด้วยกันได้ก่อน นอกเหนือจากจะบังเอิญเจอเรือนพักเดี่ยวหรือข้อยกเว้นอื่น
ช่วงบ่ายไปรายงานตัวที่หน่วยว่ากลับมาแล้วเสร็จ จีหย่งฟางจึงถามเหลียงชิวฉานเรื่องที่ไปชิงชิวมา
“ได้ยินว่าจิ้งจอกเก้าหางแต่ละคนต่างก็งดงามสง่างาม ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่?”
เหลียงชิวฉานใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวบ้าง จับใบไม้ที่ลอยเข้ามาทางหน้าต่างพลางพูด “ประมาณนั้นกระมัง” นางเห็นเพียงราชาจิ้งจอกกับมู่หรงหลิวเย่ ความงามและความกล้าหาญของมู่หรงหลิวเย่ไม่ต้องกล่าวถึง เพียงแต่ราชาจิ้งจอกที่ผมเริ่มขาวเคราเริ่มขึ้น มองไปก็ยังมีเสน่ห์เล็กน้อย
ดวงตาทั้งสองของจีหย่งฟางสว่างขึ้นมา พูดว่า “ข้าได้ยินว่าองค์ชายรองเส่าชิงรูปงามอย่างมาก ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ได้เห็นเขาหรือไม่?”
เหลียงชิวฉานไม่พูดไม่จา
จีหย่งฟางจึงเขย่าแขนนาง
นางออกจะรู้สึกทนไม่ได้ สะบัดมือลุกขึ้นยืน “ศพของพ่อเจ้ายังไม่ทันเย็น ฆาตกรยังไม่ได้รับบทลงโทษ เจ้าไม่เสียใจไม่ว่า กลับยังมีใจมากังวลเรื่องไร้สาระเหล่านี้ ไม่ถือจารีตประเพณีแล้วรึ?!”
จีหย่งฟางถูกต่อว่า ใบหน้าอับอายอย่างถึงที่สุด ทำได้เพียงยืนขึ้นเดินออกประตูไป
เหลียงชิวฉานก็ไม่สนใจนาง นางเป็นศิษย์ที่หัวชิงสั่งสอนด้วยตนเอง โดยมากคนต้องก้มหัวให้นาง ไม่จำเป็นต้องคอยระวังดูสีหน้าของจีหมิ่นจวิน
นางขมวดคิ้วใจลอยอยู่ตรงข้ามต้นหอมหมื่นลี้ในลานบ้าน สีหน้าอารมณ์ของมู่หรงหลิวเย่ตอนอยู่ที่ชิงชิวปรากฏอยู่ตรงหน้านาง
ตอนเหลียงชิวฉานเห็นจิ้งจอกแดงครั้งแรก รู้สึกว่าร่างทั้งร่างของนางเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส บางทีอาจไม่เพียงแต่นาง ทั้งเผ่าพันธุ์จิ้งจอกล้วนเป็นแบบนี้ นางที่เป็นคนหยิ่งยโสและสังหารเซียนของสำนักแรกพยับอีกคนอย่างเปิดเผย หากนางสังหารหลินเซี่ยจริง ทำไมนางจึงเลือกปฏิเสธความผิด? นางรับผิดไปเรื่องหนึ่งแล้ว ยังกลัวที่จะรับอีกเรื่องทำไม?
อีกอย่างหากนางมาสำนักแรกพยับจริง ทำไมจึงจงใจสังหารหลินเซี่ยเพียงคนเดียว? เป็นเพราะทิฐิของนาง จึงไม่อาจปล่อยไปได้จริงหรือ?
หลินเซี่ยไม่มีแรงตอบโต้กลับ นางต้องการสังหารเขาก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ทำไมถึงต้องทิ้งขนจิ้งจอกไว้ด้วย?
นางไม่เชื่อว่าเป็นมู่หรงหลิวเย่ทำ
หากไม่ใช่นาง ยังจะเป็นใครได้อีก?
“อาเหลียง กินข้าว”
กำลังใจลอย ลั่วฉือเจ้าหน้าที่หน่วยอารักขาพู่เหลืองที่อยู่ลานบ้านเดียวกันทักทายนางอยู่ในลานบ้าน
นางตอบรับไปคำหนึ่ง หันกลับไปหยิบกุญแจ จากนั้นก็เดินไปโรงอาหารกับนาง
พวกนางอยู่ที่สวนทางถนนตะวันตก ถนนสายนี้มุ่งตรงไปยังโรงอาหารที่อยู่สุดทาง
เมื่อใกล้เดินถึงปลายทาง ลั่วฉือพลันหยุด นางชี้ไปยังลานบ้านไม่ไกลซึ่งมีดอกท้อขึ้นอยู่เต็มพลางพูด “เจ้ารู้หรือไม่? ลานบ้านนั้นมีเซียนผู้น้อยอยู่คนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาหล่อเหลานัก! ได้ยินมาว่าเป็นคู่หมั้นของพลลาดตระเวนหญิงผู้หนึ่ง ก่อนหน้านี้ทุกคนยังไม่รู้ เมื่อไม่นานมานี้ถูกคนจับได้เลยเปิดตัวเสีย!”
เหลียงชิวฉานมองลานบ้านนั้น อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ลานจื่อหลิง?”
แน่นอนว่านางรู้ว่ากัวมู่จิ่วอยู่ที่นั่น ถึงแม้ไม่คิดจะไปพัวพันกับนาง แต่ความแค้นที่นอกประตูสวรรค์แดนใต้ยังคงฝังรากลึกอยู่ในใจ
ลานจื่อหลิงมีเพียงมู่จิ่วที่เป็นพลลาดตระเวน ข่าวนี้นางก็เคยได้ยินมาก่อน พูดแบบนี้แล้ว เมื่อวานคนที่ยืนอยู่ข้างมู่จิ่วที่ชิงชิว และภายหลังยังลากราชาจิ้งจอกเข้าไปยังตำหนักด้านในก็คือคู่หมั้นนาง?
เหลียงชิวฉานชะงักไปครู่ จากนั้นก็ผ่อนคลายลง
นางไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ถึงแม้นางจะยอมรับว่าคนผู้นั้นรูปร่างหน้าตาไม่เลวจริง
แต่คนอยู่ในยุทธภพไม่มีอิสระ นางต้องเสริมสร้างความสัมพันธ์กับผู้คน ดังนั้นจึงตอบไปตามเรื่อง “อืม ไม่รู้ว่าถูกคนพบได้อย่างไร?”
“พูดแล้วก็น่าขำ” ลั่วฉือคลุกคลีอยู่ในวงการซุบซิบนินทามาเป็นเวลานาน เรื่องข่าวลือแบบนี้นางชอบพูดถึงเป็นพิเศษ “ตามที่เขาพูดกัน วันนั้นพลลาดตระเวนหญิงแซ่กัวกับสหายร่วมงานแซ่หลิน…ใช่แล้ว ศิษย์น้องคนนั้นของเจ้า หลินเจี้ยนหรู!” เอ่ยถึงตรงนี้ดวงตาของนางยิ่งเปล่งประกายราวกับแมลงวันเห็นรอยแยกบนไข่ไก่