ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 105
มู่จิ่วไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เพราะนี่ก็เป็นเรื่องจริง
“เพราะข้าสังหารหลินเซี่ย ในสายตาพวกเจ้าเลยกลายเป็นศิษย์โหดเหี้ยมไร้มโนธรรมไปแล้ว?” เขายิ้มเยาะขึ้นมา “คนอื่นทำให้ข้าอับอายเป็นร้อยเป็นพันครั้งกลับไม่นับว่าผิด ไม่นับว่าไร้มโนสำนึก ถึงแม้ทำข้าตายก็เหมือนกับทำสุนัขตัวหนึ่งตาย แต่ข้าเพียงแค่เอาคืนเล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้กลายเป็นผู้กระทำผิดโลกจารึกไปแล้ว?!”
“ไม่ใช่” นางถอนหายใจ “ข้าสัญญากับลู่ยาไว้ หากต้องการไม่ให้เขารายงานเรื่องเจ้า ข้าก็ห้ามติดต่อกับเจ้า”
นางไม่อยากให้เกิดความเข้าใจผิดอะไรเพราะเหตุนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรน่าปกปิด ถึงเขาจะสังหารบิดา แต่เรื่องก็มีสาเหตุ ต่อไปคดีเลือดนี้ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ถึงเวลาแล้วค่อยว่ากัน และสำนักแรกพยับไม่ได้โง่ทั้งหมด บางทีพวกนั้นอาจมองออกถึงเบาะแส แต่ตอนนั้นเขาจะสามารถผ่านด่านไปได้หรือไม่ ก็ต้องดูที่ลิขิตสวรรค์แล้ว
หลินเจี้ยนหรูชะงักไป
เรื่องนี้ผลออกมาแตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้บ้าง
เป็นลู่ยาบังคับนาง?
เขาหวนคิดถึงวันนั้นที่ลู่ยาใช้น้ำเสียงเคร่งถามเขา ในใจยังคงรู้สึกเย็นเยียบ
แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยพบเห็นดวงตาที่เย็นชาขนาดนั้นมาก่อน ราวกับวิญญาณน้ำแข็งทั้งหมดบนโลกนี้ล้วนรวมอยู่ในลูกตาของลู่ยา และผ่านจากลูกตานั้นมารวมอยู่บนร่างเขา ซ้ำยังดูเหมือนมองอดีตและอนาคตของเขาเสียปรุโปร่ง
หากวันนั้นไม่ได้มู่จิ่วขวางไว้ คนผู้นั้นคงจะลงมือลงโทษเขา หรืออาจจะเปิดโปงเขาไปแล้ว?
เขามองมู่จิ่วคราหนึ่ง สายตาของเขาผ่อนคลายลง “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ แต่พวกเราคือสหายร่วมงาน ติดต่อกันในหน่วยเขาคงยุ่งไม่ได้? และเขาก็ไม่รู้หรอกกระมัง?”
“แต่ข้าไม่อยากทำตัวเป็นคนพูดแล้วเชื่อถือไม่ได้” มู่จิ่วมองเขา “อีกอย่างข้าทำแบบนี้ผลที่ตามมาจะเป็นการทำร้ายเจ้า”
บางครั้งนางรู้สึกว่าตนเองเป็นคนไม่มีน้ำใจ เขามีนางเป็นเพื่อนคนเดียว แต่ตอนนี้นางยังเอาความจริงอันเย็นชามาบอกเขา
หลินเจี้ยนหรูผินหน้าไป ก่อนพยักหน้า
เขาเอาชนะไม่ได้จริงๆ ถึงแม้ตั้งแต่วันนี้เขาไม่กลับไปแรกพยับได้ แต่ถ้าคนของทางนั้นรู้ความจริงก็มีวิธีตามหาเขา
ตอนที่ยังไม่มีหนทางต้านทานหัวชิง เขาทำได้เพียงพยายามไม่ให้พวกเขาค้นพบ
“เช่นนั้นก็ไปเถิด” เขาพูด “หากมีเรื่องต้องการข้า มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
เดิมทีเขายังหวังจะพึ่งการทำคดีดิ้นรนนำประโยชน์มาให้ตนเอง มาวันนี้คงได้แต่ต้องปล่อยไปแล้ว
แต่วันนี้เขามีพลังบำเพ็ญเทียบเท่ากับนาง ภายหลังก็ไม่ขาดโอกาสแล้ว
แน่นอน…หวังว่านางจะไม่มีอุปสรรคใดเช่นกัน
ลู่ยามองพวกเขาเดินเข้าๆ ออกๆ จากที่ไกลๆ หัวคิ้วขมวดแน่นขึ้นอีก
เขาไม่ชอบคนแซ่หลินผู้นี้จริงๆ แต่ก่อนเพียงแค่อคติ มาตอนนี้พัฒนาเป็นความไม่ชอบขึ้นมาอย่างแท้จริง
หากเพื่อต่อต้านการข่มเหงรังแกแล้วพลั้งมือสังหารหลินเซี่ย หรือเพราะโกรธแค้นโดยแท้จึงลงมือสังหาร บางทีเขาอาจแสดงออกว่าเข้าใจได้ แต่การสังหารคนเพื่อผลประโยชน์เช่นนี้ เขาไม่มีทางให้อภัย
แต่หลินเจี้ยนหรูไม่ได้ยุ่งพัวพันกับมู่จิ่ว เขาก็ไม่ต้องสืบค้นต่อมากแล้ว
แต่ละคนมีชีวิตของตนเอง ดูโชคชะตาเอาแล้วกัน
ช่วงเย็นตอนมู่จิ่วกลับถึงบ้าน พระอาทิตย์ตกดินกำลังผ่านยอดหลังคาพอดี กระเรียนหลายตัวอยู่ที่บนนั้นพากันร้องเพลง
ซ่างกวนซุ่นคอยตามเสี่ยวซิงอย่างเชื่องๆ เสี่ยวซิงบ่นว่าเขาน่ารำคาญ โยนหน่อไม้สองหัวให้เขาปอกเขาก็ไม่ยอม เพราะรู้สึกว่าปอกหน่อไม้เหมือนกับกำลังถอดเสื้อผ้าของตนเอง อาฝูคาบถาดข้าวหมุนไปหมุนมาอยู่หลังเสี่ยวซิง เห็นนางวุ่นวายอยู่กับการทะเลาะกับซ่างกวนสุ่นและลืมเติมข้าวให้ เขาก็ร้อนใจจนทนไม่ไหว
อิ่นเสวี่ยรั่วที่อยู่ในเรือนมองเห็น จึงนำไก่ผัดที่กำลังกินอยู่ให้อาฝู อาฝูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เห็นนางยืนกราน จึงทำตัวสงบเสงี่ยมส่ายก้นอวบอ้วนเดินเข้าไปกิน
ทั้งหมดล้วนเป็นทิวทัศน์เซียนอันสุขสงบในใจมู่จิ่ว
นางส่งของในมือให้เสี่ยวซิง แล้วพูดกับอิ่นเสวี่ยรั่ว “ภายหลังเจ้ามากินข้าวกับพวกเราดีไหม?”
อิ่นเสวี่ยรั่วครุ่นคิดอยู่ครึ่งเค่อ พูดว่า “สะดวกหรือไม่?”
“สะดวกสิ!” มู่จิ่วตอบคำ “เพียงแค่เจ้าไม่ติว่าพวกเราหนวกหูก็พอ”
อิ่นเสวี่ยรั่วยกคิ้ว ลูบศีรษะอาฝูพลางเอ่ย “ได้”
มู่จิ่วกำลังคิดจะกลับเรือน ลู่ยาก็โผล่ศีรษะออกมาจากทางเหนือ “อาจิ่ว”
เขาโผล่ออกมาจากหน้าต่างครึ่งตัว
ถึงแม้มู่จิ่วไม่ยินยอมอย่างมาก แต่มหาเทพเซียนเรียก นางไม่อาจไม่เดินเข้าไป
เมื่อเข้าไปในห้อง นางยืนอยู่ห่างๆ สองมือทิ้งอยู่ข้างตัว นอกจากเข้าประตูมาค้อมตัวแสดงความเคารพแล้ว ร่างยังเหยียดตรงราวกับเสาต้นหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เสียมารยาท นางไม่กล้าเงยหน้าขึ้น เอาแต่มองเก้าอี้วางเท้าซึ่งทำจากไม้กฤษณาใต้ตั่งของเขา…แต่ก่อนนางยังไม่รู้สึก ตั้งแต่รู้ฐานะที่แท้จริงของเขา ถึงค่อยพบว่าสิ่งของที่เขาใช้รอบกายไม่มีอะไรที่ไม่พิถีพิถัน
เพียงแค่ที่เก้าอี้วางเท้าแกะจากไม้กฤษณา เต็มไปด้วยลวดลายมงคลหลากสี บางทีอาจเทียบได้กับเตียงหยกของวังจิ้งจอกแล้ว มิน่าล่ะพ่อหนุ่มคนนี้ไปชิงชิวก็ปกติเหมือนเดินเล่นบนถนน ตรงกันข้ามนางกลับเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง
ความตื่นตกใจในตอนแรกผ่านความสงบของหลายวันที่ผ่านมา อันที่จริงก็สงบลงแล้ว ดังนั้นนางจึงมีใจมาสังเกตเรื่องเหล่านี้ได้
ลู่ยานั่งขัดสมาธิบนตั่ง ในมือถือแผ่นกระดองเต่าหลายแผ่น ดวงตาทั้งสองกวาดมองนางไปทั่วอย่างนิ่งๆ พลางพูดขึ้น “คดีของเจ้าสืบเป็นอย่างไรบ้าง?”
มู่จิ่วยืนตัวตรงทันที “เรียนท่านเทพ เลือกคนออกมาได้จำนวนหนึ่งแล้ว กำลังสืบค้นให้ละเอียดต่อไป ใต้เท้าหลิวได้ให้ป้ายอนุญาตตรวจสอบประตูสวรรค์ทั้งสี่แก่ข้าแล้ว บ่ายนี้ไปประตูสวรรค์แดนเหนือมา ถึงแม้ประตูสวรรค์ทั้งสี่ขึ้นตรงกับการควบคุมของฝ่ายทหาร ทำให้พบอุปสรรคเล็กน้อย แต่ขอให้เชื่อข้า ข้าคิดหาหนทางแก้ไขได้”
จากเบาะแสต่างๆ และการพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำอีกในหลายวันที่ผ่านมา ไม่แน่ว่าคนว่าคนๆ นี้อาจปลอมตัวมาเยี่ยมเยียนเป็นการส่วนตัว มิฉะนั้นทำไมเขาถึงจงใจเลือกทหารใหม่อย่างนาง? และทำไมยังจงใจเลือกทัพสวรรค์เป็นที่พำนัก? นางต้องหูตาไวหน่อย อย่าทำให้ตนเองกับหน่วยลาดตระเวนมีข้อครหาเอาได้
“เอาละ” ลู่ยาอารมณ์ไม่ดี เขาเพียงถามไปตามปากเท่านั้น นางยังพูดมาเสียมากมาย เขาจ้องนางก่อนเอ่ย “เจ้าเข้ามาใกล้หน่อย ข้าจะพูดธุระกับเจ้า”
มู่จิ่วไม่กล้าไม่ฟัง รีบก้าวเข้าไปสองก้าว
“ใกล้อีก”
มู่จิ่วจึงต้องก้าวเข้าไปอีกครึ่งก้าว
ลู่ยายื่นมือมาลากนางเข้าไป กดนางให้นั่งลงริมตั่ง “หากเจ้ากล้าขยับหนีข้าจะตัดรากฐานเซียนของเจ้า ให้ทั้งชีวิตเจ้าเลื่อนขั้นเป็นเซียนไม่ได้”
ซวยแล้ว! เจ้าช่างโหดร้าย เพียงคำเดียวก็ทำให้น้ำพักน้ำแรงสองพันปีของหลิวหยางสลายหายไป
มู่จิ่วจนปัญญา จึงยอมแต่โดยดี
นั่งก็นั่ง ยังไงก็ไม่เสียอะไรอยู่แล้ว
แต่นั่งใกล้เทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ใจของนางเต้นรัวอยู่บ้าง ที่แท้ฐานะแตกต่างกันก็สามารถทำให้เกิดความตื่นเต้นที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ คิดดูแล้วคนผู้นี้ที่ห่างออกไปสองฉื่อเป็นถึงศิษย์ของปฐมวิญญาณ เป็นศิษย์น้องของหงจวินเหล่าจู่ หุนคุนจู่ซือ และหนี่ว์วาเหนียงเหนียง…ใช่แล้ว เมื่อนับตามนี้แล้วไท่ซ่างเหล่าจวินยังต้องเรียกเขาเป็นอาจารย์อา เพียงแค่ลำดับรุ่นก็ยอดเยี่ยมอย่างมากแล้ว นางจะสงบใจได้อย่างไร?