ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 107
“อะไรนะ?” เสี่ยวซิงอึ้งไป มองนางเล็กน้อยก่อนเอ่ย “แน่นอนว่ายังคงติดตามเจ้า!”
มู่จิ่วนั่งขึ้นมา “เช่นนั้นนอกจากจุดนี้ล่ะ? เจ้าจะมีเรื่องอะไรไม่พอใจหรือไม่?”
ความรู้สึกระหว่างนางกับเสี่ยวซิงเทียบกับนางกับลู่ยาแล้วลึกซึ้งกว่ามาก ความรู้สึกของเสี่ยวซิงต้องสามารถชี้นำความเห็นได้แน่
“ไม่นะ” เสี่ยวซิงกอดเข่านั่งอยู่ตรงหน้านาง พูดว่า “ข้าเพียงหวังให้เจ้ามีความสุข เพราะในที่สุดจิ๋วจิ่วก็ไม่ต้องลำบากบำเพ็ญตนอีกแล้ว หากเจ้าเป็นมหาเทพเซียนที่ยิ่งใหญ่ ข้างกายย่อมต้องมีลูกน้องที่ยอดเยี่ยมมากมายแน่ ถึงแม้ข้าไม่นับว่าเป็นอะไรได้ และบางทีเจ้าอาจยิ่งไม่มีเวลาสนใจข้า แต่ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าก็ไม่เปลี่ยน”
มู่จิ่วมองเสี่ยวซิงที่เติบใหญ่ขึ้นมากแล้ว พลันรู้สึกเจ็บแปลบในใจขึ้นมา ช่วงนี้นางยุ่งกับงาน ที่จริงก็ไม่ค่อยได้สนใจอีกฝ่ายนัก มีเพียงเสี่ยงซิงที่ดูแลจัดการเรื่องของนางและคนรอบตัวนางอยู่ทุกวัน “เจ้าช่างโง่นัก” นางพูด “คนอื่นล้วนบอกว่าข้าโง่ เจ้าติดเชื้อจากข้าไปแล้วหรือ? แม้แต่เป็นอาจารย์ข้าก็ยังไม่ยินยอม ไหนเลยจะคู่ควรให้เจ้าทำดีกับข้าขนาดนี้”
“จิ๋วจิ่วปฏิบัติต่อเสี่ยวซิงดีมาก” เสี่ยวซิงยื่นมือไปกอดไหล่นาง ใบหน้าแนบอยู่ที่แผ่นหลัง “ไม่มีจิ๋วจิ่วก็ไม่มีเสี่ยวซิง ถึงแม้เจ้าไม่ยอมเป็นอาจารย์ข้า ข้าก็ไม่โทษเจ้า วิชาที่เจ้าสอนคราวก่อนมีผลแล้ว ข้าจะพยายามต่อไป จะเป็นเถิงเส๋อติดตามหนี่ว์วาเหนียงเหนียงและปกป้องเจ้าไว้ตลอดไป”
มู่จิ่วพูดไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร
แต่ไหนแต่ไรนางไม่ได้ต้องการให้เสี่ยวซิงทำเพื่อนางมากขนาดนี้ ตั้งแต่ช่วยชีวิตมาวันนั้น มู่จิ่วเห็นนางเป็นวิญญาณอิสระ มาวันนี้ถึงแม้นางจะดูแลบ้าน แต่ก็เป็นสถานการณ์บังคับ ตอนนี้คนเยอะขนาดนี้ ทั้งยังมีสภาพแวดล้อมแบบนี้ ไม่มีนางคอยจัดการเรื่องก็ไม่ไหวจริงๆ
แต่มู่จิ่วไม่ยินยอมให้นางกลายเป็นเถาวัลย์ที่ต้องพึ่งพิงนาง
“นอนก่อนเถอะ” นางหันไปพูด “พรุ่งนี้ข้ายังต้องไปประตูสวรรค์”
ช้าหน่อยหากมีโอกาสมู่จิ่วต้องพาเสี่ยวซิงกลับหงชาง ขอให้มู่หัวรับนางเป็นศิษย์
อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกที่นางมีต่อลู่ยากับความรู้สึกที่เสี่ยวซิงมีต่อนางไม่เหมือนกัน
ตอนที่เสี่ยวซิงพูดว่าไม่มีส่วนที่ไม่พอใจนั้น นางมองเห็นความจริงใจที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของอีกฝ่ายได้
แต่นางก็ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อรู้ความจริงแบบนี้แล้วถึงไม่สบายใจ นางเพียงรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างนางกับลู่ยาไกลออกไปอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุแล้ว หรือบางทีด้านมืดในใจนางอาจกำลังแผลงฤทธิ์? ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ล้วนเคยเป็นสหายกันมาก่อน แต่ตอนนี้นางกลับทนไม่ได้ที่เห็นฐานะของเขาสูงส่งขนาดนั้น
คืนนี้นอนหลับไม่สนิทนัก เสี่ยวซิงที่นอนหลับอยู่ใต้หน้าต่างตรงข้ามเตะผ้าห่มบ่อยครั้ง นางต้องลงจากเตียงไปห่มผ้าให้หลายครา
ในความฝันอันเลือนรางปรากฏเงาคนมากมายราวกับโคมม้าวิ่ง ทะเลเมฆคลั่งคุกรุ่น มีกำแพงที่สูงชันไม่มีที่สิ้นสุด มีไฟเต็มท้องฟ้าไร้ขอบเขต ยังมีทองถูกไฟหลอม…ส่วนคน บางทีมีชายชราทั้งผมและเคราขาว บางทีมีสัตว์ประหลาดหน้าตาดุร้าย บางคราเป็นเซียนเหยียบเมฆมงคลห้าสีซึ่งมีใบหน้าตื่นกลัวจนบิดเบี้ยว
ชุลมุนวุ่นวายเกินจะทน
ตอนเช้าอาฝูตบประตู มู่จิ่วจึงตื่นขึ้น
เปิดหม้อโยนเนื้อชิ้นใหญ่ให้เขา ลูบหัวมองเขากินอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงวิ่งไปเคาะประตูของซ่างกวนสุ่น
…ซ่างกวนสุ่นที่แท้เป็นพวกบ้าความสะอาด!
เรือนทางตะวันออกที่แต่ก่อนอวี๋เสี่ยวเหลียนอยู่ยกให้เขากับอาฝูสองคน อาฝูครอบครองเตียงใหญ่ก่อน และมักจะชอบนำอาหารขึ้นเตียง ซ่างกวนสุ่นไม่นอนกับเขา เลาะเอาบานประตูมาทำเป็นทำเตียงชั่วคราวที่มุมห้อง แต่ถึงแม้เขาจะไม่นอนบนเตียง แต่กลับเก็บกวาดเตียงจนสะอาด
เช่นนั้นก็ช่างเถอะ สิ่งของเล็กใหญ่ทั้งหมดในห้องล้วนถูกเขาเช็ดจนหมดจด ฝุ่นไม่เกาะสักนิด แม้แต่บนพื้นก็สว่างวับราวกับกระจก คิดดูแล้วน้ำเช็ดพื้นเมื่อคืนยังไม่ทันแห้งดี ตอนมู่จิ่วยื่นเท้าเข้าไปมีเสียงลื่นดังขึ้นมา เกือบจะหงายหลังลงไปแล้ว!
“เจ้ากินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำหรือ!”
มู่จิ่วไม่สบอารมณ์
ซ่างกวนสุ่นยักไหล่ “ข้าอยู่ที่วังเนินอารามจนชินแล้ว!” พูดจบก็กุมหน้าอกเอ่ย “เช้าขนาดนี้เจ้ามาหาข้าทำอะไร? ข้าไม่อยากมีข่าวลือรักๆ ใคร่ๆ กับเจ้าหรอกนะ!”
“น้อยๆ หน่อย!” มู่จิ่วถุยใส่เขา “ข้ามาหาเจ้าเพราะมีธุระ!”
นางเดินไปนั่งข้างโต๊ะ หยิบเอาม้วนบันทึกคลี่ออกบนนั้น
“อีกครู่หนึ่งเจ้าตามข้าไปประตูสวรรค์ นำบันทึกการเข้าออกของรายชื่อสิบสองคนนี้และศิษย์ข้างกายพวกเขามา ยิ่งละเอียดยิ่งดี ยิ่งเป็นความลับยิ่งดี”
ซ่างกวนสุ่นหยิบขึ้นมาดู เอ่ยว่า “นี่คือคนน่าสงสัยที่เจ้าตรวจสอบมาได้หรือ? ทำไมเจ้าไม่ไปเอง?”
มู่จิ่วทำตาขวางใส่เขา “ประตูสวรรค์ทั้งสี่ล้วนมีหลีหังเจินเหรินศิษย์ของไท่ซ่างเหล่าจวินดูแล เรื่องนี้ต้องป้องกันไส้ศึก และวันนี้ผู้คนต่างก็รู้ว่าข้าเป็นผู้นำทำคดีนี้ เพียงข้าไปที่นั่น คนเหล่านั้นก็รู้แล้วว่าข้าสืบหาอะไร แล้วยังจะสามารถตรวจสอบข้อมูลอะไรได้? เจ้าไม่เป็นที่คุ้นเคย แต่ก่อนยังไม่เคยเผยร่างนี้ออกไปในสวรรค์ ไปคราวนี้คงไม่มีคนใส่ใจ”
ในความเป็นจริง เมื่อวานช่วงบ่ายนางไปที่ประตูสวรรค์แต่ละประตูแล้ว คิดจะไปเสาะหาเบาะแสอย่างเงียบๆ แต่ผลไม่เหมือนกับที่คิดไว้
คนสิบสองคนที่พวกเขาต้องการสืบเป็นคนของลัทธิฉ่าน หากนางแสดงความต้องการออกไป จะไม่เป็นการแพร่งพรายเรื่องราวหรือ?
ซ่างกวนสุ่นนับว่าเข้าใจ
เขาคิดแล้วพูดขึ้น “แต่หากชัดเจนขนาดนั้น ฝ่ายตรงข้ามจะไม่ทำลายเบาะแสหรือ? และในเมื่อประตูสวรรค์อยู่ในการดูแลของหลีหังเจินเหริน พวกเขายิ่งเข้าออกสะดวก”
“ดังนั้นหากเจ้าไปที่นั่นแล้วสืบหาอะไรมาไม่ได้ นี่แสดงว่าพวกเขาน่าสงสัยอย่างมาก ไม่แน่ว่าซิงจวินอีกสามสิบหกคนที่เหลือก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบแล้ว” มู่จิ่วเหลือบมองเขาที่ถือถาดลูกท้อกินอย่างสบายอกสบายใจ “เจ้าสามารถเปลี่ยนร่างซ่อนร่างได้ ไปคราวนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว”
ซ่างกวนสุ่นนิ่งไป “ทำไมไม่ไปหาลู่ยา? เขาเก่งกว่าข้าอีก!”
“เพราะเจ้าคิดจะสืบคดีเขาเนินอารามแต่เขาไม่คิด!” มู่จิ่วถลึงตาใส่เขา
ไหล่ของซ่างกวนสุ่นลู่ลง ก้มหน้าครุ่นคิดก่อนพูด “เช่นนั้นกลับมาเจ้าต้องให้เสี่ยวซิงเพิ่มกับข้าวให้ข้านะ”
“ทำงานให้ดีก่อนค่อยพูด!” รู้จักแต่เรื่องกิน!
มู่จิ่วยืนขึ้น เดินไปหยุดอยู่หน้าประตู จากนั้นหันกลับมา “มิใช่ว่าเจ้ายังมีความลับอะไรปิดบังข้านะ?”
“ไม่มี!” ซ่างกวนสุ่นยกมือขึ้นสาบาน
มู่จิ่วหรี่ตาจ้องเขา “ถ้าอย่างนั้นทำไมช่วงนี้เจ้าถึงฟังคำลู่ยานัก?”
ซ่างกวนสุ่นนิ่งอึ้งไป ครู่ต่อมาพลันหน้าเสีย “คนเขามีความสามารถขนาดนั้น หากข้าไม่สำรวมต่อหน้าเขา ไม่ใช่ว่ารนหาที่ตายหรือ!”
มู่จิ่วหัวเราะเยาะสองที นางรู้ว่าเขาต้องเดาออกถึงฐานะของลู่ยาแน่ ก่อนหลังไปชิงชิวซ่างกวนสุ่นล้วนอยู่ด้วย และตัวเขาเป็นเผ่าพันธุ์เทพ ถึงแม้จะไม่ได้รับการยอมรับจากหกภพ แต่สุดท้ายก็เป็นองค์ชายของเผ่าปีศาจ อยู่มานานกว่านาง ได้พบเรื่องราวมาเยอะกว่านางแน่นอน ต้องไม่โง่เขลาเหมือนนางที่แต่ต้นจนจบก็ดูไม่ออกเลย
คิดแบบนี้แล้วนางยิ่งรู้สึกแย่
ฐานะของลู่ยาน่าสงสัยแต่แรกแล้ว แต่นางกลับดูไม่ออก หากเขาเป็นคนชั่วหรือซ่อนอะไรไว้ในใจ นางจะไม่ตายไปแล้วหรือ? นางเป็นเช่นนี้ยังคิดจะทำคดีอีก!