ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 111
ลู่ยานำไข่มุกราตรีส่งให้เสี่ยวซิง เอ่ยว่า “นี่เป็นค่าข้าวที่ราชาจิ้งจอกจ่ายให้เจ้า ไม่ต้องเกรงใจ เจ้าไปทำอาหารสักหลายจานมา ไก่ย่างเอยอะไรเอย เอามาหลายตัวหน่อยก็ได้แล้ว”
ไข่มุกราตรีใหญ่ขนาดนี้สองลูกสามารถซื้อลูกท้อของหวังมู่เหนียงเหนียงได้เลย! เพียงแค่ทำอาหารเพิ่มไม่กี่จานเท่านั้นหรือ?
เสี่ยวซิงเกิดมาเยี่ยงเด็กธรรมดา ไม่เคยเจอคนร่ำรวยมาก่อน รู้สึกหน้ามืดเล็กน้อย
และนางเพิ่งรู้ว่าคนชราที่ยิ้มตาหยีท่าทางดูชั่วร้ายกลับเป็นราชาจิ้งจอกแห่งชิงชิว จึงอดไม่ได้สูดลมหายใจเข้าไป!…ย่ามันเถอะ จิ้งจอกเฒ่านี้ไม่ใช่ว่าจะมาอยู่ที่นี่ด้วยหรอกนะ?! หากใช่แล้วละก็ เขาก็คิดได้ประเสริฐ!
ฟากนางจิตใจและท้องไส้ปั่นป่วน ลู่ยากลับหันหน้าหยิบแก้วน้ำให้มู่จิ่ว “ตรวจสอบเจออะไรบ้าง?”
ช่วงนี้เขาชอบทำตัวเป็นคนนอกแบบนี้ยิ่ง มู่จิ่วใจลอยอยู่บ้าง รีบดึงสติกลับมา เห็นทุกคนรวมทั้งอาฝูล้วนจับจ้องมาทางนาง จึงทำคอให้โล่ง แล้วนำบันทึกพับนั้นที่ซ่างกวนสุ่นนำมาวางไว้ตรงหน้าพวกเขา “นี่คือบันทึกทั้งหมดที่หามาได้ของซิงจวินตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่องจนถึงวันนี้ อยู่ด้านนอกไม่สะดวกจะดู ข้าจึงนำกลับมา”
ราชาจิ้งจอกชิงหยิบกระดาษหลายใบมาก่อน
ลู่ยากวาดมองไปบนโต๊ะ นำกระดาษที่เหลืออยู่ขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน มู่จิ่วกลับไม่มีอะไรให้ดูแล้ว ทำได้เพียงขยับเข้าใกล้ไปดูของเขา เขาเหลือบมองนางเล็กน้อย ดึงกระดาษเข้าใกล้อีกหน่อย ทำให้มู่จิ่วจำต้องเข้าใกล้เขามากขึ้นจนคางวางอยู่บนแขนเขา เขาโอบนางไปตามสถานการณ์ นางก็หนีไม่ได้แล้ว
ซ่างกวนสุ่นไม่อยากดู! ปิดตาลุกขึ้นไปหั่นผักกับเสี่ยวซิง
“แบบนี้ดูไปแล้วก็ไม่มีอะไรผิดปกติ”
ราชาจิ้งจอกเป็นผู้มาเยือน คนเขาอยากพลอดรักกัน ยังไงเขาทำเหมือนตนเองตาบอดก็พอแล้ว
หลังจากดูอย่างละเอียดเขาก็พูดขึ้น “ล้วนมีที่ไปชัดเจน และส่วนมากเป็นการออกเดินทางตามคำสั่ง หากพวกเขาลักลอบทำเรื่องไม่ดี ไม่น่าจะอาศัยหน้าที่การงานไป ยิ่งไปกว่านั้นเวลาก็ไม่สอดคล้อง จึงไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย ลูกศิษย์ของแต่ละซิงจวินล้วนไม่ใช่คนที่เก่งกาจอะไร เพียงแค่ไปชิงชิวอย่างไรก็ต้องใช้เวลาเกินครึ่งวัน แต่ในนี้เวลาที่ออกไปนานที่สุดคือสองชั่วยาม”
เขาวางกระดาษกลับลงไปบนโต๊ะ ทางมู่จิ่วกับลู่ยาก็ดูเสร็จแล้ว
แต่ฝั่งพวกเขาไม่พบอะไรผิดปกติ ถึงแม้จะสงสัยอยู่บ้าง แต่คิดอย่างละเอียดแล้วก็ไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะสืบสาวต่อ
อย่างเช่นสิบวันก่อน จื่ออวิ้นซิงจวินพาศิษย์สองคนออกจากประตูสวรรค์แดนเหนือไป แต่ศิษย์ทั้งสองเป็นเพียงเซียนเด็กที่เพิ่งรับเข้ามา โดยพื้นฐานแล้วไม่มีคุณสมบัติจะไปทำคดีชิงชิวที่ต้องเชี่ยวชาญขนาดนั้น ยังมีก่วงซวีซิงจวินส่งศิษย์ออกไป ถึงแม้ศิษย์ทั้งสองจะอาวุโสและเป็นผู้ชำนาญการ แต่ก็ได้รับคำสั่งให้ไปเขาคุนหลุนของซีหวังมู่
กรณีแบบนี้ยังมีอีกมาก หากตรงนี้ไม่ถูกตรงนั้นก็ไม่ถูก
“นอกจากพวกนี้แล้วยังพบเจออะไรอีกหรือไม่?” ลู่ยาเอ่ย
มู่จิ่วคิดๆ แล้วพลันพูด “ใช่แล้ว ซ่างกวนสุ่นบอกว่าประตูสวรรค์แดนเหนือที่เก็บบันทึกมีค่ายกลกักขังวิญญาณ! แม้แต่เขายังไม่สามารถซ่อนร่างไว้ได้”
“ค่ายกลกักขังวิญญาณ?” ราชาจิ้งจอกขมวดคิ้ว “บันทึกเข้าออกนี้ไม่ใช่ของที่สำคัญอะไร ทำไมยังต้องสร้างค่ายกลไว้?”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” มู่จิ่วพูด “รู้สึกมาตลอดว่าเหมือนมีคนสร้างไว้เพื่อป้องกันร่องรอยการเข้าออกเล็ดลอดออกไป อีกทั้งสามารถสร้างค่ายกลไว้ที่นี่ได้ต้องไม่ใช่คนธรรมดา อาจเป็นตัวหลีหังเต้าเหรินเอง อาจเป็นคนข้างกายเขา แต่แน่ใจได้ว่า คนที่สร้างค่ายกลนี้ไว้ที่มาที่ไปต้องไม่สามัญแน่”
“สืบเสาะมาไม่ได้หรือ?” ลู่ยาถาม
มู่จิ่วส่ายหน้า “ซ่างกวนสุ่นถูกตามจนหนีไปหอประตูเมือง ไหนเลยจะกล้าสืบเสาะ? ข้าก็กลัวกำแพงมีหู จึงรีบกลับมา”
ลู่ยาบีบเมล็ดท้อในจานพลิกไปมาทำเป็นของเล่น ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงพูดกับราชาจิ้งจอก “เจ้าไปดูว่าเรื่องเป็นมายังไง?”
“ข้าไป?” ราชาจิ้งจอกชี้หน้าตนเอง เขาเป็นราชาจิ้งจอกแห่งชิงชิว เรื่องวิ่งรอกทำงานแบบนี้อย่างไรก็ไม่น่าจะตกลงมาที่เขาได้?
“ที่นี่นับว่าเจ้าพลังบำเพ็ญสูงที่สุด ไปตรวจสอบประตูสวรรค์แดนเหนือง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ไม่ใช่เจ้าไปใครจะไป?” ลู่ยาเหลือบมองเขาทีหนึ่ง บีบเมล็ดท้อจนเปิดออก “เจ้าคงไม่คิดจะให้มู่เสี่ยวซิงไปใช่หรือไม่?”
ราชาจิ้งจอกไร้คำพูดอยู่บ้าง พูดอึกอักว่า “ข้าแอบเข้ามาในสวรรค์ ท่านคุ้นชินกับที่นี่มากกว่าข้า ข้ารู้สึกว่าท่านไปน่าจะดีกว่า”
ลู่ยาหยิบเมล็ดท้อเข้าปาก เคี้ยวไปพลางมองเขาไปพลาง “พลังฤทธิ์ข้าแกร่งกล้าเกินไป เข้าประตูสวรรค์ต้องผนึกพลังตนเองไว้ มิเช่นนั้นแล้วหากไปทำให้วังหลิงเซียวตื่นตระหนก ถึงตอนนั้นทำคนรู้กันหมด คดีนี้ของเจ้ายังจะสืบต่อไปได้หรือไม่?”
จิ้งจอกจนปัญญา ยังไงเขาก็เถียงสู้เจ้าอันธพาลคนนี้ไม่ได้ หากเถียงได้เขาก็สามารถกดดันจนเจ้าพูดไม่ออก
ไปก็ไป
เพียงคิดถึงว่าตนเป็นราชาจิ้งจอกแต่กลับต้องเป็นสมุนรับใช้หัวเสินน้อยเหมือนพวกเสือขาวและนกต้าเผิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะอึดอัด เอาเถอะ เอาเถอะ มีลู่ยานำอยู่ข้างหน้า อย่างไรก็ไม่ขายหน้ามาถึงเขา
เขาสะบัดเสื้อ ประสานนิ้วใช้วิชา ชั่วครู่เดียวก็ไม่เห็นเงาร่างอยู่ที่นั่นอีกแล้ว
มู่จิ่วอึ้งไปนานก่อนหันมาถามลู่ยา “ท่านใช้เขาไปแบบนี้จะดีหรือ?”
“มีอะไรไม่ดีกัน?” ลู่ยาเหลือบมองนาง นี่นับว่าดีมากแล้วมิใช่หรือ? ดูตามนิสัยเขาตอนที่ฝึกสัตว์อยู่ที่วังหนี่ว์วา เกรงว่าจิ้งจอกเฒ่าตนนี้จะถูกเขาดึงขนไปจนหมดแล้ว มาวันนี้เขาต้องการจัดการเรื่องอย่างเงียบๆ ดังนั้นจึงปล่อยๆ ไป
มู่จิ่วพูดไม่ออกอย่างมาก
ยังไงเขาก็เป็นเทพเซียนสูงส่ง เขาพูดอะไรล้วนถูกทั้งนั้น
พริบตาเดียวทางฝั่งราชาจิ้งจอกก็ถึงประตูสวรรค์แดนเหนือแล้ว หลังเจอที่เก็บบันทึกก็หมุนตัวดูรอบด้านก่อน ตอนกำลังจะยกเท้าเข้าไปนั้น หยกประดับที่แขวนไว้ข้างเอวพลันมีเสียงกระทบดังขึ้น ต่อมามีแสงสาดส่องออกมาไม่หยุด…นี่คือการเตือนว่าเขามีค่ายกลหรือเขตพลัง และค่ายกลหรือเขตพลังนี้แข็งแกร่งอย่างมาก…
เขาคิดแล้วคิดอีก จึงเรียกพลังหยั่งรู้ผ่านรอยแง้มประตูเข้าไป เพิ่งถึงปากประตู ใต้ประตูค่ายกลทั้งสี่ด้านก็สั่นไหว พลังพลันกลายเป็นสายแสงกระบี่พุ่งเข้ามาปะทะพลังหยั่งรู้ ทางเขาเพิ่มพลังฤทธิ์เข้าไปอีก แสงสว่างในค่ายกลถึงค่อยๆ จางหายไป
ฟากมู่จิ่วเพิ่งเข้าครัวทำปลาซงฮวาเขาก็กลับมาแล้ว นางจึงรีบล้างมือตามเข้าไป “เป็นอย่างไรบ้าง?”
ราชาจิ้งจอกนั่งบนเก้าอี้ตัวก่อนหน้านี้ พูดว่า “ค่ายกลนั้นไม่นับว่าแข็งแกร่งมาก แต่วิธีการแปลกประหลาดมาก”
“แปลกประหลาดอย่างไร” ลู่ยาถาม
“ส่วนล่างของค่ายกลเป็นพลังสายเสวียนชิงของท่านต้าจู่ซือ” ราชาจิ้งจอกกล่าว “อีกอย่าง ค่ายกลนั้นก็ไม่มีพลังโจมตีจริงจังนัก ราวกับแค่เพื่อจับคนที่มาตรวจสอบเท่านั้น และที่ประหลาดคือค่ายกลนี้มีกำหนดเวลา สองวันก่อนนี้เพิ่งสร้างขึ้นมา”
“หรือว่าฆาตกรรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของพวกเราแล้ว จึงกำลังเริ่มวางแผนต่อกร?” มู่จิ่วเปิดปากพูด
ในโลกของผู้บำเพ็ญเป็นเซียน ไม่มีพลังอื่นนอกเหนือจากพลังสี่แบบ ชิง หลิง เสวียน หมิงแล้ว ถึงแม้จะเป็นพลังเสวียนชิงก็ไม่มีอะไรน่าสืบเอาความ แต่คนผู้นี้เป้าหมายไม่ธรรมดาเลย
“เป็นไปไม่ได้” ลู่ยาพูด “หากเป็นฆาตกรทำ พวกเขาสามารถใช้พลังลบบันทึกทิ้งโดยตรงได้เลย เขตพลังนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันคนเข้ามาตรวจสอบบันทึก เขาคงแค่จะป้องกันการค้นพบร่องรอยของเขา และพวกเราพบเจอโดยบังเอิญเท่านั้น”