ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 112
“แต่ในเมื่อคนผู้นี้ต้องการป้องกันไม่ให้คนตรวจสอบ ทำไมถึงไม่ทำลายบันทึกไปโดยตรงเลยล่ะ?” มู่จิ่วพูด สามารถสร้างค่ายกลขึ้นที่ประตูสวรรค์แดนเหนือได้ ฝีมือต้องไม่ด้อย ลบบันทึกหลายเล่มไม่ใช่เรื่องใหญ่โต
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้ลบทิ้งไป?” ลู่ยาเอ่ย “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป้าหมายของเขาเป็นบันทึกไม่ใช่คนที่มาสืบ?”
มู่จิ่วนิ่งอึ้งไป
ลู่ยาพูดสรุป “ข้าเห็นว่าประตูสวรรค์ไม่มีอะไรน่าสืบ ในเมื่อสามารถเล่นตุกติกได้ สืบไปสืบมาอาจชี้นำเจ้าไปผิดทาง มิสู้เจ้าส่งคนไปเฝ้าฆาตกรที่แต่ละประตู ไม่แน่ว่าอาจจะนำเบาะแสอะไรมาได้”
มู่จิ่วขมวดคิ้วพยักหน้า
แต่เขาพูดเช่นนี้นางกลับคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามราชาจิ้งจอก “ท่านรู้จักอู่เต๋อเจินจวินหรือไม่?”
ถามลู่ยาเขาต้องไม่รู้จักแน่ เขาเป็นคนเฒ่าคนแก่แล้ว ราชาจิ้งจอกแม้จะแก่ แต่เทียบกับอีกฝ่ายแล้วยังดีกว่า อีกอย่างจิ้งจอกเฒ่าติดต่อกับสวรรค์มากกว่าลู่ยา ถึงแม้ไม่รู้จักก็ควรได้ยินชื่อมาบ้าง
“เจ้าเค่อ?” ราชาจิ้งจอกพลันเรียกอีกชื่อออกมา “ที่เจ้าพูดถึงคือผู้บัญชาการกองอารักขาพู่เหลืองอู่เต๋อเจินเจวินเจ้าเค่อ?”
มู่จิ่วประหลาดใจ “ท่านคุ้นเคยกับเขา?”
“ไม่เรียกว่าคุ้นเคยนัก”
ราชาจิ้งจอกพูด “ก่อนขึ้นมาสวรรค์ เจ้าเค่อเป็นปฐมกษัตริย์ปกครองอยู่ที่ต้าเว่ย ที่จริงเป็นเรื่องเมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว ข้ากับเขาที่อยู่ท่ามกลางสงครามมีวาสนาต่อกันครั้งหนึ่ง เขานำทหารไปตีอาณาจักรใกล้เคียง ผลคือติดกับดัก ถูกขังอยู่ในค่ายกลออกมาไม่ได้ ตอนนั้นข้าเป็นแขกของมหาเทพจื่อเวย มหาเทพจื่อเวยตรวจรู้ดวงชะตาของเขา จึงขอให้ข้าใช้ร่างเดิมช่วยเขาออกจากค่ายกล”
มู่จิ่วรีบพูด “ยังมีเรื่องเช่นนี้ด้วย?”
ราชาจิ้งจอกถาม “หรือเขามีอะไรไม่ดี?”
“ไม่นับว่าไม่ดี” มู่จิ่วครุ่นคิด “เพียงแค่วันนี้ข้าเห็นสัตว์เขาเดียวที่เป็นพาหนะของเขาปรากฏตัวอยู่บนถนน” พูดจบก็เล่าเรื่องให้พวกเขาฟัง
ราชาจิ้งจอกอึ้งไป
นับตั้งแต่หลายปีก่อนตอนพระถังซำจั๋งไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่ชมพูทวีป หลังจากพาหนะไม่น้อยแอบลงเขาไปก่อเรื่อง ถึงแม้สุดท้ายยืนยันว่าทั้งหมดล้วนแต่เกิดเพราะชะตาชีวิตของพระถังซำจั๋งควรมีเคราะห์กรรมแบบนี้ แต่หากเหล่าเซียนดูแลจัดการเข้มงวด ก็คงไม่เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ให้ชมพูทวีปหัวร่อแล้ว ดังนั้นภายหลังเหล่าเซียนจึงเริ่มเข้มงวดมากขึ้น พาหนะแต่ละตัวน้อยมากที่จะออกไปเดินข้างนอกเอง
อู่เต๋อเจินจวินวางใจให้สัตว์เขาเดียวออกมา เป็นธรรมดาที่จะเป็นจุดสนใจ
“หรือเจ้าจะสงสัยเจ้าเค่อ?” ราชาจิ้งจอกถาม
ถึงแม้เจ้าเค่อทำเช่นนี้จะแสดงให้เห็นว่าการอบรมในเรือนย่อหย่อน แต่สงสัยเขาเพียงแค่เรื่องนี้ก็เป็นการดึงดันเกินไป
“ข้าเห็นบนรองเท้าหุ้มข้อของสัตว์เขาเดียวมีหญ้าวิหคเขียวอยู่” มู่จิ่วพูด
นางกล่าวถึงตรงนี้ ราชาจิ้งจอกกับลู่ยาต่างก็มองกันคราหนึ่ง
หญ้าวิหคเขียวเติบโตในชนเผ่าทางใต้ท่ามกลางหนองน้ำ ปกติสถานที่ที่หญ้าวิหคเขียวขึ้นล้วนมีพิษรายล้อม คนธรรมดาพลัดหลงเข้าไปล้วนไม่มีชีวิตรอดกลับมา แต่นั่นก็เป็นเส้นทางสำคัญที่จะต้องผ่านไปทะเลใต้ มีเพียงแต่สัตว์ปีศาจหรือมารเซียนที่ฝึกบำเพ็ญเท่านั้นถึงจะเลือกเดินทางนี้
สัตว์เขาเดียวปรากฏกายออกมาตัวเดียว และบนเท้ายังมีหญ้าวิหคเขียวติดอยู่ นี่แสดงว่าเขาเพิ่งกลับมาจากหนองน้ำสักแห่ง? หรือเพิ่งไปทะเลแดนใต้มา? แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหน ล้วนลบล้างเรื่องจริงที่เขาออกเดินทางตัวคนเดียวไม่ได้ เพราะตอนนี้อู่เต๋อเจินจวินต้องปฏิบัติงานอยู่ที่กรมอารักขาพู่เหลือง ตอนกลางวันหากไม่มีคำสั่งอวี้ตี้ เหล่าขุนนางข้าราชการล้วนไม่สามารถหลบจากหน้าที่ออกไปข้างนอกได้
เช่นนั้นนี่หมายถึงอะไร?
สัตว์เขาเดียวแอบไปโลกมนุษย์? หรือเป็นเขาที่ได้รับคำสั่งของอู่เต๋อเจินจวินให้ไปทำเรื่องอะไร?
ทั้งสามคนตกอยู่ในความเงียบ
มู่จิ่วเพียงรู้สึกว่าการปรากฏกายของหลีเปิงออกจะผิดปกติ แต่ก็จับผิดอะไรเขาไม่ได้ คนเขาไปทะเลใต้ไม่ได้หรือ? ไม่สามารถไปยังโลกมนุษย์หรืออย่างไร? หากเป็นอู่เต๋อเจินจวินสั่งให้เขาไปจริง แล้วเขาไปทำอะไร?
“เอาละ ข้าจะไปจัดกองเฝ้าประตูสวรรค์แต่ละแห่งก่อน” นางยืนขึ้นก่อนพูด
เสี่ยวซิงยื่นศีรษะเข้ามาพูด “เจ้ากินข้าวก่อนค่อยไป!”
มู่จิ่วยังไม่ทันตอบ ราชาจิ้งจอกกลับตบโต๊ะ “ใช่สิ! ข้านึกได้แล้ว สมญานามเซียนของเจ้าเค่อก่อนเกิดใหม่ในโลกมนุษย์คือชิงผิงซิงจวิน!”
“อะไรนะ?”
คำพูดนี้ของเขาทำให้มู่จิ่วที่ยกเท้าขึ้นหันกลับมา “ก่อนเกิดใหม่?”
“ไม่ผิด!” ราชาจิ้งจอกพูดด้วยความตื่นเต้น “ข้าจำได้ชัดเจน เขากระโดดลงแท่นประหารเซียนด้วยตัวเอง ตัดรากฐานเซียนกลับไปเวียนว่ายตายเกิด!”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
กระโดดลงแท่นประหารเซียนเอง? การกระโดดแท่นประหารเซียนเท่ากับเป็นเซียนไม่ได้อีก หากโชคดีหน่อยอาจยังเหลือจิตรับรู้เข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิด หากโชคไม่ดีก็มีแต่ถูกทำลายสลายไปเท่านั้น มู่จิ่วรู้สึกได้ถึงกลิ่นเรื่องซุบซิบ จึงกลับมานั่งที่เก้าอี้ อดกางหูรอฟังไม่ได้
ราชาจิ้งจอกเอ่ย “เรื่องนี้พูดไปก็ยาว ชิงผิงซิงจวินเป็นมนุษย์บำเพ็ญสำเร็จเป็นเซียน คนผู้นี้รูปร่างหน้าตาอากัปกิริยางามสง่า อาศัยอยู่ที่ยอดเขามรกตมานาน หมื่นพันปีที่ผ่านมารับเพียงเด็กสองคนเป็นศิษย์ จิตใจบริสุทธิ์กิเลศเบาบาง ไม่ยุ่งเรื่องคาวโลกีย์ แต่ปีนั้นตอนกลับจากงานเลี้ยงลูกท้อไปยังที่พำนัก กลางทางเขากลับพบกับหญิงสาวใกล้ตายคนหนึ่ง”
“เป็นปีศาจ?” มู่จิ่วอดถามไม่ได้
ช่างเป็นโครงเรื่องที่คุ้นเคยนัก เทพเซียนผู้สูงศักดิ์สง่างามช่วยเหลือปีศาจที่แปลงเป็นหญิงงาม ผลคือแปดเปื้อนคาวโลกีย์อย่างไม่เสียใจภายหลัง สุดท้ายเพราะเซียนและปีศาจเป็นเส้นขนานที่ผิดต่อกฎเซียน เพื่อนางแล้วจึงกระโดดลงแท่นประหารเซียน กลับไปเวียนว่ายตายเกิดโดยไม่นึกเสียดาย
“ไม่ใช่” ราชาจิ้งจอกเหลือบมองนางคราหนึ่ง เขาพูด “หญิงสาวคนนี้ไม่ใช่ปีศาจ กลับกันนางมีรากฐานเซียนที่บริสุทธิ์ หลังจากชิงผิงช่วยนางกลับไป นางสลบไม่ฟื้นอยู่สามปี ตอนที่ชิงผิงถอดใจเรื่องตามหาที่มาที่ไปของนาง นางกลับพลันฟื้นขึ้นมา”
“จากนั้นเล่า?” มู่จิ่วอึ้ง
ราชาจิ้งจอกยกถ้วยชาขึ้นจิบ พูดต่อว่า “จากนั้นพวกเขาทั้งสองมีใจต่อกัน หญิงคนนั้นรู้สึกจะชื่อเฟยอี ช่วงนั้นทั้งสามภพมักเห็นชิงผิงพาเฟยอีลงไปเดินเล่นยังโลกมนุษย์ เฟยอีปลูกหม่อนเลี้ยงไหมด้วยตัวเองเพื่อทอเสื้อให้ชิงผิง ยามนั้นชิงผิงก็ไม่ห่างไปไหน นั่นเป็นคู่กิ่งทองใบหยกโดยแท้ แต่เฟยอีกลับไม่เคยพูดถึงที่มาของนางเลย”
“ที่แท้นางมีที่มาอย่างไร?” เขาชักช้าเสียจนมู่จิ่วเกือบร้อนใจตาย
“นางเป็นหญิงที่มีสามีแล้ว” ราชาจิ้งจอกพูด
มู่จิ่วเกือบจะพ่นชาออกมา! มีสามีแล้ว?!
“ช่วงเวลาหวานชื่นคงอยู่ได้ไม่นานนัก วันหนึ่งสามีของเฟยอีก็มาตามมาถึงประตู” ราชาจิ้งจอกเห็นนางตั้งใจฟังขนาดนี้ ก็ยิ่งเหมือนคนเล่านิทานมากขึ้นอีก “ตอนนี้ชิงผิงถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้รักคนผิด และที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นคือเฟยอีกลับตามสามีออกจากเขามรกตไปอย่างไม่ลังเล”
“จากไป?” มู่จิ่วงุนงง
ราชาจิ้งจอกพยักหน้า “ความรักของชิงผิงกลายเป็นอากาศ พอดีฝ่ายตรงข้ามไปฟ้องต่อหน้ากษัตริย์ว่าเขาขโมยภรรยา อวี้ตี้จึงมีคำสั่งลงมา ยังไม่ทันที่คำสั่งจะมาถึง เขากลับเดินไปกระโดดแท่นประหารเซียนด้วยตนเอง กลับเป็นหวังมู่เหนียงเหนียงที่ตื้นตันกับความรักอาภัพครั้งนี้ของเขา จึงให้เทียนมิ่งซิงจวินรักษาจิตรับรู้ของเขาไว้ ก่อนจะไปเป็นกษัตริย์ยังโลกมนุษย์ ทำให้พื้นพิภพสงบ ค่อยกลับมายังสวรรค์เป็นอู่เต๋อเจินจวิน”
“สามีของเฟยอีคือใคร?” มู่จิ่วถามต่อ