ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 130
ทั้งห้องไม่มีใครแสดงออกว่าไม่เห็นด้วย
เพราะนอกจากคำอธิบายนี้แล้วก็ไม่มีคำอธิบายอื่นอีก
หลีหังเป็นผู้นำหน่วยทหาร มีพลังบำเพ็ญหลายหมื่นปี แน่นอนว่าสามารถเร่งรุดไปยอดเขาราชาเพลิงเพื่อย้ายของวิเศษก่อนพวกเขาได้ และจากพฤติกรรมของไท่ซ่างเหล่าจวินก่อนหน้านี้ ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถก่อเรื่องให้ชิงชิวเพิ่มได้
ทั้งชิงชิวและเนินอารามต่างก็ไร้คำพูด
ใครก็คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วจะเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้น แต่ถึงแม้จะเป็นความรับผิดชอบของหน่วยลาดตระเวน ทุกคนกลับไม่ได้วุ่นวายใจเท่าไหร่นัก ที่จริงเพียงแค่ของหายไปไม่กี่ชิ้นเท่านั้น จิตจิ้งจอกของจิ้งจอกน้อยก็ได้คืนมาแล้ว พวกชิงชิวไม่ได้ใจคับแคบแล้วเอาเรื่องไม่หยุดเพื่อคนคนเดียว
ส่วนทางเนินอารามเดิมทีต้องการความยุติธรรมเพราะเรื่องนี้ ของที่หายไปเหล่านั้นไม่มีความหวังเหลือแล้ว ตอนนี้ถึงแม้สิ้นหวัง แต่คิดๆ แล้วที่จริงก็ไม่ได้แตกต่างกันมากมาย ยิ่งทุกกระบวนการของการทำคดีมีซ่างกวนสุ่นอยู่ด้วย หากติดใจเอาความก็แสดงว่าไร้เหตุผลแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยอมกันได้
เพียงแต่อย่างไรของเหล่านั้นก็คือของวิเศษ และมีจำนวนไม่น้อยด้วย แบบนั้นควรจะไปฟ้องร้องต่อหน้าอวี้ตี้หรือไม่?
“ช่างเถอะ ยังไงก็แค่ของไม่กี่ชิ้น พวกเขาเอาก็เอาไป” หลังจากเงียบอยู่นานซ่างกวนสุ่นจึงพูดแบบนี้ บางทีอาจเพราะหน้าตาของวงศ์ตระกูล
ทางชิงชิวและราชาจิ้งจอกก็ไม่เหมาะจะพูดอะไรอีก
แต่เดิมสิ่งที่เขาสนใจคือจิตจิ้งจอกเท่านั้น ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในวังหลิงเซียวเขาได้ทำให้ไท่ซ่างเหล่าจวินลำบากแล้ว หากไปก่อเรื่องราวอีกเพื่อของวิเศษไม่กี่ชิ้น ถึงแม้อวี้ตี้จะยอมรับเหตุผล ค้านขึ้นมาอย่างจริงใจ พวกเขาชิงชิวก็ไม่มีหนทางเทียบกับเสียงจำนวนมากของลัทธิฉ่านได้ คิดมาคิดไปก็ไม่คุ้ม จึงปลอบใจกันหลายประโยค ดื่มชาจนหมด แล้วเตรียมบอกลา
ราชาจิ้งจอกไม่มีเวลาโอ้เอ้ นอกจากต้องนำจิตจิ้งจอกมอบให้จิ้งจอกน้อยและเตรียมของขวัญไปวิมานหลีเฮิ่น เขายังต้องไปวังจิตกระจ่างด้วย!
พวกเขาซึ่งเป็นเจ้าทุกข์ล้วนไม่เอาความ มู่จิ่วย่อมไม่จำเป็นต้องสืบต่อ ถึงแม้ใจนางยังแอบมีความสงสัยอยู่ก็ตาม
นางไปส่งพวกเขาที่ประตูลาน
เมื่อถึงใต้ซุ้มดอกจื่อเถิง มู่หรงหลิวเย่พลันจงใจถอยร่นลงมาหลายก้าว ดึงมือนางลากนางมายังที่สงบ ก่อนพูด “ข้าเป็นคนพูดแล้วต้องทำให้ได้ ก่อนหน้านี้ข้าพูดแล้วหากเจ้าช่วยข้าตามหาจิตจิ้งจอกของน้องสี่เจอ ข้าจะต้องตอบเเทนเจ้าอย่างหนัก ไม่ผิดคำพูดแน่นอน” นางพูดพลางยิ้มอย่างงดงาม ทันใดนั้นก็ยื่นมือมาจับชีพจรนางไว้ จากนั้นส่งพลังฤทธิ์เข้าไปที่เส้นลมปราณ!
มู่จิ่วไหนเลยจะคาดเดาได้ว่านางคิดลงมือโดยฉับพลัน?
มู่จิ่วพลันตกใจจนหน้าถอดสี จิตใจคิดอยากต่อต้าน แต่ไหนเลยจะต้านทานไหว? เพียงรู้สึกว่าพลังฤทธิ์แต่ละคลื่นของนางไหลเข้ามาในร่างกายเหมือนสายน้ำ ราวกับต้องการชะล้างรากฐานวิญญาณทั้งร่างของนางให้สะอาดอีกครา เจ็บปวดและทนไม่ไหว! นางคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจิ้งจอกเหม็นโฉ่นี่จะทำร้ายนางแบบนี้ นางคิดจะด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่น แต่น่าเสียดายที่ไม่มีแรงพูดออกมา…
“เสร็จแล้ว”
ผ่านไปไม่รู้นานเท่าไหร่ จนมู่จิ่วแทบจะลงไปกองกับพื้น นางจึงเก็บมือกลับไป ยิ้มตาหยีพูดว่า “พวกเราจิ้งจอกเก้าหางมีเวทวิเศษมากมาย แต่มีความสามารถสองอย่างที่อย่างไรคนอื่นก็เรียนรู้ไม่ได้ หนึ่งคือภาพมายา สองคือวิชายั่วยวน สองอย่างนี้เมื่อครู่ข้าใช้พลังส่งให้เจ้าแล้ว นี่คือวิธีถ่ายทอดด้วยใจ ใช้ให้ดีล่ะ”
นางหยิบใบไม้สีทองสองใบสอดเข้าไปในอกมู่จิ่ว ยิ้มพลางพูด “ถึงแม้ข้าส่งพลังบำเพ็ญพันปีให้ จะช่วยให้เจ้าเรียนสำเร็จเร็วขึ้น แต่ตัวเจ้าเองต้องฝึกให้คุ้นชินถึงจะสามารถเข้าถึงแก่น มิฉะนั้นแล้วมันจะไม่กลายเป็นเวทอันมีค่าของเจ้า ข้าไม่อาจส่งแก่นเคล็ดวิชาให้เจ้าได้ แต่ภายหลังหากเจ้าเลื่อนขั้นได้ไม่หยุด มันจะแสดงผลลัพธ์ที่โดดเด่นได้ตามพลังบำเพ็ญและพลังฤทธิ์ที่เพิ่มขึ้น”
พูดจบนางก็เข้ามาเอ่ยข้างหู “ลู่หยาคนนั้นรูปร่างหน้าตาไม่เลว ดูท่าทางแล้วไม่ใช่พวกไม่เอาโล้เอาพาย เพียงแต่มีเล่ห์เหลี่ยมไปหน่อย แต่ผู้ชายนี่นะ บางทีมักจะมีนิสัยเสีย เอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร อย่างไรก็เรียนวิชายั่วยวนของพี่สาวไว้จัดการเขา ชีวิตดีมีสุขแน่”
มู่จิ่วมองใบหน้าที่ยิ้มสดใสยิ่งกว่าดอกทานตะวันของนาง และเกือบจะกระอักเลือดออกมา!
ย่ามันเถอะ ให้ภาพมายาก็ให้มาเถิด แต่ให้วิชายั่วยวนมาหมายความว่าอะไร!
ยังจะมาชีวิตดีมีสุข…
ทั้งยังให้นางใช้สิ่งนี้จัดการลู่ยา แน่นอนว่านางยังไม่ทันเข้าถึงเตียงก็ถูกเขาบีบจนเป็นผุยผงแล้ว เข้าใจหรือไม่?!
นางอดทนไว้ ไม่ส่งใบไม้สีทองกลับไป ยกมุมปากขึ้นอย่างยากลำบาก
มู่หรงหลิวเย่หัวเราะคิกคักแล้วออกประตูไป เหมือนกับเพิ่งได้รับการปรนนิบัติจากหนุ่มหน้าละอ่อนสิบกว่าคน…
พวกเขาไปแล้ว ตระกูลซ่างกวนแห่งเนินอารามสิบกว่าคนก็จะไปเหมือนกัน
คดีจบแล้ว แน่นอนว่าซ่างกวนสุ่นก็ต้องไป แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับชักช้าไม่ยินยอมย้ายที่อยู่ สุดท้ายเร่งอย่างหนักจึงค่อยลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ มู่จิ่วเห็นท่าทางของเขาชัดเจนเหลือเกิน จึงพูดขึ้น “เจ้าออกมาครึ่งปีไม่ได้กลับไปเลย ต้องกลับไปรายงานตัวสักหน่อยกระมัง?”
ซ่างกวนสุ่นเด้งตัวขึ้นมา “หลังจากข้ากลับไปรายงานตัวแล้ว ยังกลับมาได้อีกหรือไม่?”
ต่อหน้าพ่อแม่เขา มู่จิ่วรู้สึกไม่ดีหากจะปฏิเสธ ทำได้เพียงฝืนยิ้มพูด “ยินดีต้อนรับองค์ชายเจ็ดกลับมาทุกเวลา”
เขาจึงดีใจจนร้องออกมา ก่อนจะวิ่งไปไกล
ซ่างกวนอวิ๋นเห็นดังนั้นแล้วก็หลั่งเหงื่อออกมาเต็มไปหมด พูดกับมู่จิ่วกับลู่ยาอย่างเกรงใจ “ลูกชายข้ารบกวนแล้ว” หลังพูดขอบคุณหลายครั้งจึงออกไป
เมื่อคนจากไปหมดแล้ว ลานบ้านที่คึกคักเมื่อครู่พริบตาเดียวก็สงบลง
มู่จิ่วช้อนสายตาขึ้นมองเมฆและแสงอรุโณทัยตรงขอบฟ้า แบกเอาความสงสัยที่ยังไม่คลี่คลายเดินไปเรือนของลู่ยา “เจ้าดูออกหรือไม่ว่าใครขโมยของวิเศษไป”
“ดูไม่ออก” ลู่ยาพูด
“ทำไมล่ะ? ในเมื่อเจ้าสามารถเห็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นของหลีหังกับอู่เต๋อ”
ลู่ยาเงยหน้าขึ้นจากของโบราณประหลาดชิ้นหนึ่ง “คนที่ขโมยของวิเศษไปไม่ได้เข้าถ้ำเลยตั้งแต่แรก ไม่เพียงแต่ไม่เข้าไป ในรัศมีร้อยลี้ยังไม่มีกลิ่นอายของเขาเลยแม้แต่น้อย ข้าจะสืบอย่างไร?”
ในรัศมีร้อยลี้ไม่มีกลิ่นอายของคนผู้นี้?
มู่จิ่วนั่งขึ้นมา หรือว่าจะเป็นหลีหังทำจริง? หรือบางทีอาจเป็นไท่ซ่างเหล่าจวินให้คนทำ?
“เช่นนั้นมีหนทางที่จะสืบหาร่องรอยได้หรือไม่?” นางถาม
“ไม่มี” ลู่ยายังคงพูดอย่างไม่ลังเล “ไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย และฝีมือหมดจด ไม่มีทางสืบได้เลย”
มู่จิ่วไหล่ตก
ลู่ยามองนาง พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ที่จริงเจ้าไม่ต้องใส่ใจเรื่องนี้ ทุกเรื่องล้วนมีเหตุมีผล ใครจะรู้ว่าผลในวันนี้ไม่ใช่เหตุของวันอื่น? หากของวิเศษเหล่านี้สามารถลบล้างบุญคุณความแค้นระหว่างลัทธิฉ่านกับภพต่างๆ ได้ แบบนั้นก็ดี”
“หืม?” มู่จิ่วเงยหน้าขึ้น “หมายความว่าอย่างไร?”
ลู่ยามองกระดองเต่าบนโต๊ะ แล้วพูด “หลายปีมานี้ลัทธิฉ่านมีศัตรูมาก ข้าทำนายดูแล้ว เคราะห์หนักจริงๆ ของพวกเขายังมาไม่ถึง”
“ยังมีเคราะห์หนักอีก?” มู่จิ่วเข้าไปดูภาพแปดทิศของเขาโดยไม่รู้ตัว แต่กลับดูไม่เข้าใจเลย
“ไม่ผิด” ลู่ยาพยักหน้า “สรรพสิ่งมีเกิดมีดับ ลัทธิฉ่านรุ่งเรืองมาหลายปีขนาดนี้ อย่างไรก็ต้องมีช่วงเสื่อมถอย และเรื่องหลีหังครั้งนี้ บางทีอาจเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น”
มู่จิ่วไม่รู้จะพูดอะไรดี ถึงแม้หลายปีมานี้ลัทธิฉ่านทำให้คนดูแคลน แต่อย่างไรก็เป็นลัทธิหลักฝ่ายธรรมของสามภพ และยังรักษาสมดุลอำนาจส่วนใหญ่ไว้ นี่ก็เป็นพื้นฐานทำให้สามภพมั่นคงเช่นกัน
……………………………………………………………