ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 139 เจ้าเรียนวิชายั่วยวน?
มู่จิ่วก้มหน้ามอง หยิบผิดจริงด้วย
“แต่ไม่เป็นไร” เจ้าคนระยำผู้นี้เผยอปาก ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดหยดน้ำบนปากนาง นั่นเป็นเพียงแค่แก้วมิใช่หรือ ภายหลังของของเขานางสามารถใช้อย่างไรก็ได้อยู่แล้ว วันนี้เขาเพิ่งค้นพบว่าที่แท้เปิดเผยตัวตนไปมีแต่ข้อดีไม่มีข้อเสีย อย่างน้อยเมื่อก่อนเอาเปรียบผู้อื่นแบบนี้ยังต้องสิ้นเปลืองแรงไปมาก ตอนนี้ดีมากกว่า ประโยคเดียวตัดรากฐานเซียนก็ทำให้นางเชื่องได้แล้ว
สองมือมู่จิ่วประคองแก้วนั้นไว้ รู้สึกโกรธเล็กน้อยแล้ว
“ข้าถามเจ้า วิชาทางใจอยู่ไหน” ลู่ยาเอ่ยเร่ง
นางพูดอย่างอับจน “ให้ข้ากลับห้องไปเอาเถิด”
พูดจบนางลุกขึ้นยืน หันกลับมาพูดอีกประโยค “ข้าหยิบแล้วจะกลับมา!”
อย่ารั้งนางอีก! ฟ้ามืดแล้ว นางกับเขาเป็นโสดทั้งคู่ แบบนี้จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่เสี่ยวซิงและอาฝู!
ลู่ยาตอบรับอย่างยินดี มองนางออกประตูไป
มู่จิ่วรู้ตัวว่าหนีไม่พ้นคนสารเลวนี่ ทำได้เพียงกลับห้องไปเอาใบไม้สีทองสองใบนั้นออกมาจากกระเป๋าเล็ก เสี่ยวซิงไม่รู้ไปไหน นางเข้าใกล้ไข่มุกราตรีที่จิ้งจอกเฒ่าให้มาแล้วพิจารณาอย่างละเอียด จากนั้นเอาวิชายั่วยวนออกไป คิดว่าจะซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้า
แต่นางยังเดินไม่ถึงครึ่งทาง พลันมีมือหนึ่งหยิบเอาใบไม้ทั้งสองไป!
มู่จิ่วตกใจอย่างมาก ลู่ยาตรงหน้าดูพวกมันอย่างละเอียดอยู่ใกล้แสงไข่มุก “วิชา…ยั่วยวน?”
มู่จิ่วอับอายจนแทบจะมุดลงดินแล้ว! นางเข้าไปแย่งชิงอย่างลนลาน “คืนมาให้ข้า!”
ลู่ยากางแขนออก มู่จิ่วจึงพุ่งเข้าไปในอกเขา เขาเก็บแขนทั้งสองเข้ามา นางก็ถูกกักไว้ในอกจนไม่สามารถขยับได้ “ถึงแม้จะเรียนวิชายั่วยวน ก็ไม่น่าร้อนรนแบบนี้ได้ เจ้าคิดจะทดลองใช้กับข้าก่อนหรือ?” เขาก้มหน้ามองนาง มุมปากยกขึ้นเหยียดตรงอย่างสุขใจเหลือล้น
วิชาสองแขนงที่สุดยอดที่สุดของชิงชิว จิ้งจอกแดงล้วนมอบให้นาง ดูแล้วของขวัญนี้ไม่เบาจริงๆ
มู่จิ่วใกล้จะเลือดออกจากทางทวารทั้งเจ็ด พูดอธิบายอย่างอ่อนใจ “ข้าไม่คิดจะเรียนอันนี้…”
“ของขวัญที่เขาให้มา เจ้าจะปฏิเสธได้อย่างไร นี่เป็นวิชาที่ได้มายาก มิสู้ลองเรียนดูเสียหน่อย” ลู่ยาปล่อยมือ มองนางเหมือนหมาป่าตัวใหญ่มองแกะน้อย
มู่จิ่วรู้สึกว่าเลือดทั้งหมดพุ่งออกมาจากหน้าได้โดยตรงแล้ว
นางอยากบีบคอคนระยำนี่ให้ตายเสียจริง…ไม่เห็นหรือว่านางกระอักกระอ่วนจะตายอยู่แล้ว? กลับยังล้อนางไม่หยุด! นางกัดฟันพูด “หากท่านคิดจะเรียนละก็สามารถไปหาจิ้งจอกเฒ่าได้ ต่อไปให้ภรรยาท่านเรียน รับรองปรนนิบัติท่านเลือดกำเดาไหลทุกคืน…” รังแกนางนับเป็นความสามารถอะไร? ไม่มีรัศมีเพิ่มขึ้นบนศีรษะมหาเซียนอย่างเขาเสียหน่อย!
“อา เจ้าพูดว่าภรรยาข้า”
ลู่ยามองตัวอักษรบนใบไม้สีทองไปพลาง ยื่นมือตบๆ กระหม่อมนางไปพลาง “เจ้าพูดจับประเด็นได้ดีจริง แต่หากพูดย้อนกลับมา” พูดพลางหันหน้าไปมองนางอย่างสนอกสนใจ “ท่าทางนางในตอนนี้ข้าก็ชอบมากอยู่แล้ว หากนางยินยอมเรียนแน่นอนว่าย่อมดี เพิ่มความอภิรมย์สักเล็กน้อย หากไม่คิดเรียนก็ไม่เป็นไร เจ้าเห็นว่าอย่างไร?”
เกี่ยวอะไรกับนาง!
มู่จิ่วอยากเปลี่ยนเป็นอสุนีบาตฟาดเขาให้ตาย!
นางทำใบหน้าขึงขัง คลายใจที่โกรธเคืองอยู่ ในใจพลันมีเสียงกระซิบขึ้นมาเสียงหนึ่ง…เขามีภรรยาแล้วหรือ?
แต่ก่อนมิใช่พูดว่าไม่มีคู่ครองหรือไร ทำไมฟังเขาพูดแล้วเหมือนกับมีเป้าหมายแล้วเลยล่ะ?
นางเหลือบมองเขาขึ้นๆ ลงๆ ความโกรธในใจพลันกลายเป็นความร้อนรน ราวกับถูกใครยัดฟางเข้าไปกะทันหัน
แต่นี่ไม่ถูกต้อง เขาเพียงบอกว่าเขายังไม่แต่งงาน และไม่มีคู่รัก แต่เขาเคยพูดจากปากตนเองว่าแม่นางบนสวรรค์และพื้นพิภพมากมายล้วนคิดจะไล่ตามเกี้ยวพาเขา ด้วยตำแหน่งและหน้าตาของเขาแล้วมิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนถูกตาต้องใจนานแล้วก็ได้ เพียงแต่ไม่มีโอกาสยกระดับความสัมพันธ์?
เขามีชีวิตอยู่มาหลายแสนปี สายตาย่อมดูเป็นแล้ว คนที่ถูกตาต้องใจสักแปดส่วนต้องเป็นเซียนหญิงสูงศักดิ์งดงาม ไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้ง่ายๆ นางไม่รับปากเขาเร็วขนาดนั้นก็เป็นเรื่องปกติ
คิดแบบนี้ ความอยากซุบซิบนินทาก็มาอีกแล้ว “คนที่เจ้าพูดคือใคร? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงมาก่อน?” ช่วงนี้มิใช่เขาอยู่ด้วยกันกับนางหรือ? หรือว่าเขาแอบออกไปเดินเล่นลอบพบกัน?
“อ้อ ด้วยระดับมันสมองเจ้า ถึงรู้เป็นคนสุดท้ายก็ไม่แปลกอะไร” ลู่ยาสะบัดผ้าคลุมลงนั่งบนเก้าอี้
มู่จิ่วเกือบจะระเบิดอารมณ์ออกมา! นางเดินเข้าไป ใช้ท่าทางราวขุนเขาไท่ซานกดดันอยู่ตรงโต๊ะด้านหน้าเขา “ดูเหมือนเจ้าดูถูกระดับมันสมองของข้าเหลือเกินนะ!”
ลู่ยาแหงนหน้าเล็กน้อย มองนางในระดับเดียวกัน “ไม่ใช่ข้าดูถูกเจ้า ข้ารู้สึกว่าเจ้าประเมินตนเองสูงไป”
เจ้าคนชั่วช้า! ช่วงนี้นางโชคร้ายจริง!
ก่อนอื่นเลยซ่างกวนสุ่นไม่มองนางผู้เป็นเจ้าของบ้านอยู่ในสายตา ต่อมาก็เป็นลู่ยาเจ้าคน…เอาละ เขาเป็นเทพเซียน เขามีเหตุผล เขาบีบนางอย่างไรนางก็ไม่กล้าบ่น แต่ดีร้ายอย่างไรกินของนางอยู่ที่ของนาง อย่าพูดจาไม่น่าฟังขนาดนี้ได้หรือไม่?
มันสมองของนาง มันสมองของนางทำไมกัน?
แต่ก่อนนางอยู่ที่โรงเรียน อย่างไรก็เคยได้รับเหรียญรางวัลมาเหมือนกัน! บางคนเขาบำเพ็ญตนกันมากกว่าหมื่นปีถึงเข้าสู่หัวเสิน ดีหน่อยก็เกือบสี่ห้าพันปี นางสองพันปีก็บำเพ็ญถึงแล้ว ถึงแม้บุญกุศลจะขาดไปหน่อย แต่พลังฤทธิ์ของนางก็ฝึกมาถึงขั้นนี้แล้ว นี่แสดงว่าระดับมันสมองของนางไม่มีปัญหามิใช่หรือ? อย่างน้อยก็ปกติละ!
นางไม่คิดจะพูดไร้สาระกับเขาแล้ว จึงยื่นมือไปแย่งใบไม้สีทองในมือเขามา “คืนให้ข้า! ฟ้ามืดนานแล้ว ข้าจะนอน!”
“ข้านำกลับไปช่วยเจ้าค้นคว้าก่อน อีกเดี๋ยวค่อยคืนให้เจ้า” ลู่ยาเคลื่อนมือไปข้างหลัง ภาพมายาก็แล้วไปเถอะ แต่วิชายั่วยวนให้นางได้หรือ? นางเรียนแล้วไปยั่วยวนใคร? นอกจากเขา ใครก็ไม่ได้รับอนุญาต เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ให้เขาเก็บไว้จะปลอดภัยกว่า
“คืนให้ข้า!” มู่จิ่วพุ่งเข้าไป หากตกอยู่ในมือเขา มันจะเป็นมุกตลกล้อเลียนทั้งชีวิตนาง!
มู่จิ่วพุ่งเข้าไป ลู่ยาก็ถอยออกมา นางจับไม่อยู่ จึงล้มลงไปบนตัวเขา
“เด็กดีจริงๆ” ลู่ยาลูบศีรษะนางด้วยความเอ็นดู
“จิ๋วจิ่ว จิ๋วจิ่ว…”
ตอนนี้เองประตูห้องเปิดออก เสี่ยวซิงถือถาดผลไม้ยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาและปากฉับพลันอ้ากว้างยิ่งกว่าฆ้องเสียอีก! “เจ้าทำอะไรอยู่?”
มู่จิ่วรีบลุกขึ้นมา สีหน้ายุ่งเหยิงเหมือนกับลมพายุคลั่ง
ลู่ยากลับนิ่งสงบ ปัดเสื้อคลุมลุกขึ้นมา เก็บใบไม้ทองเข้าไปในอก จากนั้นหยิบสาลี่จากในถาดขึ้นมากิน แล้วเอ่ยว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ทุกคืนมาที่ห้องข้าฝึกพลังครึ่งชั่วยาม”
ไปตายซะ!
มู่จิ่วทุบหมอน
ใบไม้สีทองของวิชายั่วยวนถูกลู่ยานำไปแล้ว มู่จิ่วกลับไม่ได้ทะนุถนอมมันเพียงนั้น ไม่คิดว่าเขาจะเอาไป หนึ่งเพราะอย่างไรนี่เป็นของของจิ้งจอกแดง ตัวนางไม่ใช้ต่อไปก็ต้องคืนเจ้าของ สองคือนางไม่อยากจะจินตนาการว่าต่อไปลู่ยาจะล้อเลียนนางอย่างไร
ดังนั้นวันถัดมาจึงลืมคำพูดเขาทิ้งไว้ด้านหลัง กลางคืนนำอาฝูออกไปเดินเล่นที่ริมทางช้างเผือก แต่ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งกลับมาถึงประตูก็ถูกลากไปฝึกตนในห้องทางตะวันออก มู่จิ่วถูกสถานการณ์บังคับ ไม่อาจไม่ฟัง แต่ยังดีที่ลู่ยาไม่ได้หยิบยกเรื่องใบไม้สีทองขึ้นมา กลับยังฝึกฝนบำเพ็ญพลังให้นางจริงๆ และจริงจังอย่างไม่น่าเชื่อ
หลายวันต่อมาก็เป็นแบบนี้ ตกกลางคืนครึ่งชั่วยามนี้ไม่มีการล้อเล่น เขามุ่งมั่นตั้งใจเข้มงวดสอนนางเหมือนกับหลิวหยางในตอนแรก
…………………………………………………………