ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 150 องค์ชายโรคจิต
นางหยิบม้วนบันทึกขึ้นมาพลิกดูก่อน เห็นเป็นเพียงบันทึกงานของคนก่อนที่ส่งต่อมา ข้างในบันทึกไว้มากที่สุดคือเช้ากลางวันเย็นลาดตระเวนสามรอบอะไรแบบนั้น ทั้งยังบันทึกเส้นทางที่ลาดตระเวนไว้อย่างละเอียด พลอารักขาเล็กๆ คนหนึ่งแห่งวังมังกรสามารถปฏิบัติงานได้ถี่ถ้วนแบบนี้ ดูแล้วอ๋าวเชินนอกจากเลี้ยงภรรยาน้อยแล้ว ทางด้านการจัดการยังเอาใจใส่อยู่บ้าง
คิดๆ แล้วนางปิดบันทึกลง เรียกทหารมาสองคน “ข้าต้องการไปทำความคุ้นเคยกับสถานที่หน่อย พวกเจ้านำทางข้าที”
ทหารกุ้งทั้งสองคน คนหนึ่งชื่อติงหูอีกคนชื่อติงไห่ พอได้ยินก็ตอบรับว่าได้ทันที แล้วนำทางไปอย่างว่าง่าย
ทั้งวังเทียมบูรพามีเพียงทางเข้าหน้าหลังสองทาง ไม่นานก็เดินหมดแล้ว มู่จิ่วหยุดอยู่หน้าปะการังสูงขนาดคนสองคน ทำท่าทางมองประเมินไปรอบๆ พลางพูด “วันนี้เหมือนไม่ได้พบองค์ชายสาม? ตามหลักเหตุผลแล้วข้าควรไปทำความเคารพเสียหน่อยนี่? ไม่ทราบว่าช่วงนี้องค์ชายสามอยู่ในวังหรือไม่?”
นางยังไม่รู้ว่าอ๋าวเชินส่งนางมาที่สำคัญขนาดนี้ แท้จริงคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่ดีที่สุดนางต้องถอนรากออกมาก่อน หากมีอะไรซ่อนไว้นางจะได้เตรียมตัวไว้ก่อน
แต่เดิมติงหูติงไห่เอาใจใส่กระตือรือร้นอย่างมาก ตลอดทางมีคำถามก็ตอบเสมอ ตอนนี้สีหน้ากลับเหมือนกลืนแมลงวันลงไป ท่าทางกระอักกระอ่วนพูดไม่ออก
มู่จิ่วรู้สึกงุนงง นางยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนม้านั่งหินข้างๆ ก่อนพูด “องค์ชายสามมีอะไรไม่ดีหรือ?”
“ไม่ไม่ไม่!” ทั้งสองโบกมือปฏิเสธอย่างลนลาน “องค์ชายสามดีมาก ดีมาก”
มู่จิ่วไม่ได้ถามต่อ นางมีความกล้าที่จะพูดถึงอ๋าวเจียง แต่พวกเขากลับไม่กล้า
แต่ชัดเจนว่าเรื่องนี้มีปัญหา อ๋าวเจียงผู้นี้มีสามหัวหกกรหรือสามารถทำลายล้างฟ้าดินได้? หรือว่าเทียบกับเฉินผิงแล้วยังดุร้ายกว่า?
“พวกเจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่?”
ขณะกำลังงุนงง ตอนนี้เองพลันมีเสียงกระจ่างดังมาริมหู ราวกับน้ำพุใสในขุนเขา เหมือนกับฝนกระทบดอกบัว
มู่จิ่วเงยหน้าขึ้นมา เห็นเพียงคนรุ่นเยาว์สวมเสื้อสีฟ้าอ่อนปักลายมังกรทอง ไม่รู้มาอยู่ด้านหน้าตอนไหน เขามองมาทางนี้ด้วยความสงสัย ในมือถือกระบี่กลิ่นอายเย็นเยียบกดดันคน แต่คิ้วและตามีชีวิตชีวา ผิวขาวซีด ดวงตาทั้งคู่เหมือนดาวสุกสกาวบนท้องฟ้า ขนตาทั้งดกทั้งยาว ริมฝีปากอิ่มสีสด
นางมองครอบมวยผมมังกรทองห้ากรงเล็บบนศีรษะเขาอย่างละเอียด เห็นหยกประดับที่ข้างเอว จึงรีบเก็บเท้าลงมา ประสานมืออย่างเคารพ “ข้ากัวมู่จิ่วคารวะองค์ชาย”
คนรุ่นเยาว์นี้ชัดเจนว่าแต่งกายอย่างองค์ชาย หากนางเดาไม่ผิด คนตรงหน้าต้องเป็นองค์ชายมังกรลำดับที่สามอ๋าวเจียงแน่
คิดไม่ถึงว่าอ๋าวเจียงไม่เพียงหน้าตาไม่ดุร้าย ทว่ายังรื่นหูรื่นตา แต่ในเมื่อเขาไม่ดุร้าย และยังสนิทสนมเป็นมิตรขนาดนี้ อ๋าวเชินส่งนางมาที่นี่ทำอะไร? ตอนติงหูติงไห่พูดถึงเขาแล้วทำหน้าตาแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร?
“กัวมู่จิ่ว? พูดแบบนี้แสดงว่าเจ้าคือคนสังหารเฉินผิง เจ้าหน้าที่สวรรค์ที่ถูกอวี้ตี้ทำโทษส่งมาปฏิบัติงานที่นี่?!” แต่เดิมสีหน้าของอ๋าวเจียงเป็นมิตร นับได้ว่าเป็นองค์ชายปกติผู้หนึ่ง แต่ตอนนี้ดวงตากลับพลันมีประกายเย็นเยียบออกมาอย่างต่อเนื่อง “ที่แท้เป็นเจ้า!”
มู่จิ่วคิดไม่ออกว่าเขาหมายถึงอะไร จึงลองถามดู “องค์ชายต้องการบอกอะไรเจ้าคะ?”
อ๋าวเจียงกัดฟัน ราวกับมู่จิ่วแย่งภรรยาสังหารมารดาเขา บนหน้านอกจากความโกรธแล้วก็มีแต่ความโกรธ!
เขาตะโกน “เรียกคนมา! จับกัวมู่จิ่วเข้าไปในวัง!”
อะไร? จับเข้าวัง?
เขาคิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนแบบนี้ มู่จิ่วยากที่จะปรับตัวจริงๆ จึงรีบพูด “ขอบังอาจถามองค์ชาย กัวมู่จิ่วทำผิดตรงไหน?”
อ๋าวเจียงเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้นาง “เจ้าชนข้า แค่นี้ไม่พอหรอกหรือ?!”
พูดจบเขาทำหน้านิ่งทันที แล้วไพล่มือเดินขึ้นบันไดไป
มู่จิ่วอยากจะตามไปขัดขาเขาสักที!
ถึงแม้นางจะเดาได้แต่แรกว่าอ๋าวเชินส่งนางมาวังเทียมบูรพาต้องไม่ประสงค์ดีแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าปัญหานี้จะอยู่ที่ตัวอ๋าวเจียง!
นางไม่เคยเจอเขามาก่อน จะล่วงเกินเขาแล้วหรือ?
เฉินผิงที่นางสังหารเป็นลูกชายที่เกิดจากอ๋าวเชินและหญิงอื่นข้างนอก บุตรชายหญิงมังกรในวังมังกรล้วนแต่กำเนิดจากราชินี ตามเรื่องจริงที่รู้ เรื่องราวความรักนอกกรอบของเฉินผิงและอ๋าวเชินกับหงส์เพลิงไม่ได้รับความยินยอมจากราชินี มิฉะนั้นอ๋าวเชินคงไม่ต้องส่งเฉินผิงไปซ่อนที่เป่ยอี๋ และไม่ป่าวประกาศให้ใครรู้
ในเมื่อแบบนี้ อ๋าวเจียงควรเหมือนกับราชินีที่แค้นเคืองหงส์เพลิงกับเฉินผิงถึงจะถูก ตามเหตุผลแล้ว ไม่พูดถึงว่าเขามีอัธยาศัยไมตรีกับนาง อย่างน้อยควรทำตัวปกติถึงจะถูก ทำไมเมื่อได้ยินว่านางเป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ที่สังหารเฉินผิง กลับยังต่อต้านนาง?
เขาโรคจิตหรือเปล่า!
แต่ไม่ว่าอย่างไร มีผู้อารักขามาจับนางไป แล้วส่งนางเข้าวัง
ที่จริงคนในวังมังกรไม่ใช่พวกไม่เอาไหนทั้งหมด นอกจากวิชาของอ๋าวเชินจะแข็งแกร่งแล้ว ผู้อารักขามังกรเสื้อม่วงสี่คนข้างกายอ๋าวเจียงก็โดดเด่นอย่างมาก หากมู่จิ่วคิดหลบหนีก็ไม่นับว่ายากนัก แต่นางถูกลงโทษถึงได้มา ตอนนี้เจ้ามังกรน้อยใช้ข้ออ้างว่าชนมาจับนาง นางดิ้นรนก็เพียงแค่ทำให้อ๋าวเชินมีข้ออ้างไปฟ้องสวรรค์มากขึ้นเท่านั้น
เจ้าคนแก่อ๋าวเชิน เล่นแผนร้ายลับหลังจนชินดังคาด
ครั้นเข้ามาในวัง อ๋าวเจียงนั่งลงแล้ว หลังจากกวาดสายตามองมู่จิ่วอย่างเย็นชา ก็โบกมือก่อนพูด “จับนางห้อยหัว บูชาเทพไฟ!”
ผู้อารักขามังกรรับคำสั่ง นำเชือกยาวแขวนไว้กับคานห้องทันที จากนั้นรัดขาทั้งสองของมู่จิ่วแล้วจับนางห้อยหัว
หากเพียงห้อยหัวแบบนี้ ไม่มีข้อดีอะไรกับนาง ดีร้ายอย่างไรนางก็ห่างจากการเป็นเซียนแค่หนึ่งก้าว เรื่องลำบากนี้ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง แต่ที่สำคัญคือนางเพิ่งเรียกวิชาตัวเบาออกมาประคองร่าง ด้านล่างก็พลันมีกระถางสามขาเพิ่มขึ้นมา อ๋าวเจียงโยนกระดาษยันต์เข้าไปข้างใน กระถางสามขานั้นมีไฟลุกโชน!
“เจ้าเป็นธาตุทองใช่หรือไม่?” อ๋าวเจียงไพล่มือเดินมาข้างหน้านาง ความเย็นเยียบในดวงตากับไฟในกระถางสามขากลายเป็นความแตกต่างที่ชัดเจน “ข้ารู้ว่าธาตุทองกลัวไฟที่สุด เจ้าอยู่ที่นี่ค่อยๆ ลนไฟไปเถอะ!”
พูดจบก็จ้องนางอย่างเย็นชา จากนั้นก้าวเท้ายาวๆ เดินไปทางประตูวัง
นางไม่ได้ว่านอนสอนง่ายขนาดนั้น ห้อยหัวทำเหมือนนางเป็นไก่ย่าง จะปล่อยเขาไปง่ายๆ ได้อย่างไร?
มู่จิ่วยื่นมือขึ้นมา สะบัดไปทางประตูวัง ประตูไม้ทองสองข้างที่หนักอึ้งปิดลงดังตึง นางชักกระบี่ออกมาตัดเชือก กลับไม่รู้ว่าเชือกนั้นทำมาจากอะไร แม้ตัดไปหลายทีกลับไม่มีร่องรอย
อ๋าวเจียงหันกลับมาทันใด ในดวงตามีเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้ เขาพลันกระโดดขึ้นมากลางอากาศ มุ่งตรงมาหานาง
มู่จิ่วจับกระบี่รับมือ สองคนไม่พูดไม่จาก็ปะทะกันในวังใหญ่นี้แล้ว
เหล่าทหารนอกประตูค่อยๆ ล้อมวงเข้ามาดู แต่เห็นข้างในมีเงามีดคมกระบี่ฟาดฟันกันดุเดือด การเคลื่อนไหวไม่น้อย จึงมีคนไปแจ้งเรื่องในทันที
ไม่นานทหารกุ้งพาขุนนางเต่ามาในสภาพตัวสั่น คนยังไม่ทันหยุดก็มีไม้เท้าด้ามหนึ่งโยนเข้าไปในประตู “หยุดมือ!”
มู่จิ่วไม่ได้ล่วงเกินอ๋าวเจียง ถูกเขารังแกแบบนี้ย่อมไม่อาจทำทีว่าอ่อนแอได้! สรุปคืออ๋าวเจียงไม่หยุดนางก็ไม่หยุด อยากสู้กันก็สู้ นางเรียกพลังปล่อยภาพมายาออกมา เห็นเพียงในเงามีดคมกระบี่ปรากฏทะเลทรายผืนหนึ่ง ทุกที่มีแสงแดดแรงกล้าแผดเผาดวงตา ทำให้ไม่อาจมองตรงๆ ได้
…………………………………………………………………