ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 158 เจ้าเป็นหญิง?
แต่งไม่ได้ก็แต่งไม่ได้ นี่เกี่ยวอะไรกับนาง? หลายแสนปีก่อนเขาก็ไม่ได้แต่งมิใช่หรือ?
ใจของนางเต้นเหมือนกับรัวกลอง คำพูดนี้ของเขาทำให้ยิ่งอายจนควบคุมตนเองไม่ได้ พอยื่นมือออกไปผลักมือเขา กลับถูกเขาพลิกมือมาจับอย่างหน้าไม่อาย! ดวงตาทั้งคู่นั้นราวกับมีความรู้สึกไหลออกมา มู่จิ่วไม่กล้าดู ดึงมือกลับ อึดอัดไม่กล้าส่งเสียง จึงเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อคลุมในฉากกั้นลม
ลู่ยามองนางตลอด มุมปากนั้นอ่อนโยนราวกับประกอบไปด้วยลมฤดูใบไม้ผลิบนโลก
มู่จิ่วอยู่ที่ฉากกั้นลมกลับใจลอยลูบเสื้อคลุม
ช่วงนี้อาการใจเต้นของนางนี้ยิ่งไม่ปกติ ทุกครั้งคิดอยากพูดกับเขาดีๆ ทำไมภายหลังถึงได้หน้าแดงหูแดงอย่างนี้?
เล็บของนางขีดไปขีดมาอยู่บนเสื้อ ยุ่งเหยิงจนแม้แต่ตนเองยังดูไม่ชัดว่าเขียนอะไร
กลางวันนอนหลับเต็มอิ่ม ถึงกลางดึกตื่นขึ้นมา ลู่ยาก็ไปปฏิบัติงานแล้ว
เกราะเทาอะไรก็ตามล้วนไม่อยู่ บนโต๊ะกลับมีถาดหยกสองสามใบปิดเรียบร้อยวางไว้
เปิดออกมาดูกลับเป็นอาหารที่นางชอบกินเป็นประจำ ชัดเจนว่าเขาเตรียมไว้อย่างดี เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาเอามาจากไหน?
ถึงแม้ไม่มีหัวจิตหัวใจยิ่งกว่านี้ ในใจนางก็อดแผ่ซ่านไปด้วยความอบอุ่นไม่ได้ ตั้งแต่มาถึงวังมังกรไม่ได้กินอาหารอย่างสงบ มีเพียงไม่กี่มื้อนี้ซึ่งล้วนเป็นเขาทำมา ไม่ว่าพูดอย่างไร เขาที่เป็นมหาเทพตำแหน่งสูงใหญ่ขนาดนั้น สามารถทำเรื่องแบบนี้นับว่ามีน้ำใจแล้วกระมัง
กินดื่มอิ่มพอแล้วจึงกลับไปยังวังเทียมบูรพา เจี๋ยเจี่ยรีบเดินเข้ามารับอย่างเร่งร้อน ดึงนางเข้าไปยังต้นไม้ด้านข้างก่อนพูด “พลทหารกัวรู้หรือไม่ว่าหลายวันมานี้องค์ชายเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
มู่จิ่วต้องแกล้งงุนงงเป็นธรรมดา กะพริบตาพูด “ไม่รู้ ทำไมหรือ?”
เจี๋ยเจี่ยพูดอย่างร้อนรน “หลายวันมานี้ตอนข้าเข้างาน ไม่เห็นองค์ชายโผล่หน้าออกมาไม่ว่า แต่วันนี้กลางวันได้ยินเสียงคร่ำครวญดังออกมาจากตำหนักหลัง ราวกับมีคนกำลังแบกรับความเจ็บปวดอยู่ ข้าไปเคาะประตูก็ไม่เปิด ช่างทำให้คนร้อนใจนัก ไม่รู้ว่าควรไปรายงานราชาหรือไม่?”
มู่จิ่วเห็นเขาเป็นแบบนี้ คิดดูแล้วตอนเช้าหากไม่มีคำกำชับของนาง แน่นอนว่าต้องไปบอกอ๋าวเชินนานแล้ว จึงพูดอย่างสนิทสนมว่า “ทหารเจี๋ยเจี่ยกังวลไปแล้ว เมื่อคืนข้าเข้าเวรยังเห็นองค์ชายอยู่เลย องค์ชายสบายดีมาก ยังคุยกับข้าอยู่ที่ระเบียงทางเดิน เรื่องนี้ต้องมีทหารกุ้งเห็นอยู่เช่นกัน ในเมื่อองค์ชายสั่งไว้แล้วว่าห้ามเข้าข้างใน แบบนั้นพวกเราฟังคำสั่งก็พอแล้ว”
เจี๋ยเจี่ยชัดเจนว่าถูกนางโน้มน้าวแล้ว หลังจากก้มหน้าคิดก็พยักหน้า ส่งต่อเวรให้นาง
ที่จริงวังเทียมบูรพาแห่งนี้มีพวกเขาสองคนรับผิดชอบ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริง ก็ไม่สามารถให้เขาแบกรับคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่เขาได้ยินอ๋าวเจียงตอบกลับก็ไม่เหมือนไม่มีเรื่องอะไร
ถึงแม้มู่จิ่วไม่รู้ว่าอ๋าวเจียงทำอะไร แต่ก็กลัวว่าเขาจะทำให้อวิ๋นซีเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ดังนั้นจึงไปเคาะประตู
ครั้งนี้ประตูเปิดออก อ๋าวเจียงกลับให้นางเข้าไป
“อวิ๋นซีล่ะ?” นางเปิดเรื่องเอ่ยถาม
อ๋าวเจียงเฮอะเยาะเย้ยเสียงหนึ่ง สะบัดให้นางเข้าไปด้านใน
มู่จิ่วรีบตามเข้าไป เห็นเพียงในตำหนักของกระจายเต็มพื้น อวิ๋นซีนอนเลือดกำเดาไหลอยู่กลางห้อง เชือกรัดเซียนยังอยู่บนร่าง สองมือยังถูกไพล่อยู่ข้างหลัง เห็นมู่จิ่วเดินเข้ามา ดวงตาของเขาขยับ ราวกับแสดงออกว่าเขายังไม่ตาย เขากลับอารมณ์ดีอย่างมาก!
มู่จิ่วดูอาการบาดเจ็บของเขา กลับไม่หนักหนาเท่าไร แต่ยังคงถาม “เจ้าตีเขา? แท้จริงแล้วเจ้ามีความแค้นใดกับเขา?”
อ๋าวเจียงไม่พูด เพียงส่งสายตาให้นางพูดไร้สาระให้น้อยหน่อย แล้วจึงหันหน้าไปทางหน้าต่าง
แน่นอนว่าหน้าต่างปิดอยู่ ไม่เพียงปิดแน่น ยังสร้างเขตพลังไว้อีกด้วย นี่สามารถกั้นไม่ให้เสียงออกไปได้
มู่จิ่วคร้านจะสนใจเขา เห็นคนไม่ตายก็เตรียมออกไป
ไหนเลยจะรู้ว่าอ๋าวเจียงจะพูด “เจ้าอย่าไป!”
มู่จิ่วหันกลับมา เขาหน้าเคร่งพูด “เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ คืนนี้เป็นวันรวมตัวกินมื้อค่ำที่วังมังกร ข้าต้องไปร่วมงานเลี้ยงที่วังงามวิจิตร”
มิน่าล่ะ นางเคาะประตูก็เปิดออกแล้ว ที่แท้มีเรื่องให้ทำ!
ช่างสามารถจริงๆ!
ทางนี้เพิ่งอยากจะเอ่ย เขากลับพูดเองเออเอง “แต่เจ้าต้องดูให้ข้าดีๆ! หากให้คนพบเข้าหรือให้เขาหนีไปได้ ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่!”
หลังปล่อยคำพูดร้ายนี้ออกมา อ๋าวเจียงจ้องอวิ๋นซีอย่างโกรธแค้น ก่อนก้าวใหญ่ๆ ออกไป
มู่จิ่วทำหน้าผีใส่แผ่นหลังเขา ยื่นเท้าออกไปเกี่ยวเก้าอี้ และนั่งลงเผชิญหน้ากับอวิ๋นซี
ภายใต้แสงไฟมืดทึม แยกแยะสิ่งของออกไม่ชัดเจน ผ่านไปชั่วครู่ สายตาของนางจึงแยกเงาร่างของเขาออก ถึงแม้ถูกมัดอยู่หนึ่งวัน แต่สีหน้าของเขาดูไปแล้วยังไม่เลวนัก ไม่ขาวซีดหรือเหลือง และไม่มีความโกรธหรืออับอาย ยิ่งแม้แต่ความแปลกแยกก็ไม่มี เหมือนกับยามอยู่ที่บ้านเขาก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว
“เจ้าเป็นผู้หญิง?” นางยังไม่ทันพูด เขากลับกล่าวขึ้นมาก่อน
พูดไร้สาระ! นางไม่ใช่ผู้หญิงหรือจะเป็นผู้ชาย? นางไม่คิดจะสนใจคำถามตื้นเขินพรรค์นี้ มองเขาบนลงล่างสองรอบอย่างสงบ เลียนแบบท่าทางปกติของหลิวจวิ้นแล้วถามอย่างละเอียดว่า “เจ้ากับอ๋าวเจียงที่แท้มีเรื่องแค้นเคืองอะไรกัน?”
อวิ๋นซียิ้มขึ้นมา ไหล่ถูๆ อยู่กับพื้น จากนั้นก็พิงกำแพงนั่งขึ้นมา
“อ๋าวเจียงให้เจ้าเป็นคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้แล้ว หรือแม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่บอกเจ้า?”
“เขาบอกหรือไม่บอกข้าเจ้าไม่ต้องสน ข้าอยากฟังว่าเจ้าจะพูดอย่างไร” มู่จิ่วทำหน้าตึงพลางกอดอก เคร่งขรึมอย่างมาก
อวิ๋นซีจ้องนางมองอยู่สักครู่ ก่อนพูด “พูดอย่างหมดเปลือกคือข้าไม่มีความแค้นอะไรโดยตรงกับเขา การที่เขาต่อกรกับข้า ทั้งหมดเพื่อของสิ่งหนึ่ง แต่ของชิ้นนั้นสำคัญอย่างมาก ข้าให้เขาไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเลือกใช้วิธีต่ำช้าแบบนี้ ที่จริงก็ไม่ค่อยดีใช่หรือไม่? ถูกขนานนามเป็นองค์ชายแห่งทะเลสาบน้ำแข็ง กลับกลายเป็นโจรปล้นขโมย”
อยากได้ของสิ่งหนึ่งเท่านั้น?
มู่จิ่วเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อ๋าวเจียงคนนั้นทำเพื่อเอาของจริงๆ หรือ? แต่เพื่อของอะไร เขาถึงได้ก่อเรื่องถึงชีวิตแบบนี้? นอกเสียจากว่าของสิ่งนี้จะเป็นของล้ำค่าพอสมควร
คำพูดของคนแซ่อวิ๋นสามารถเชื่อได้ครึ่งเดียว นางตัดสินใจปล่อยผ่านไป จากนั้นถามต่อ “เช่นนั้นอ๋าวเจียงกับเฉินผิงสุดท้ายแล้วเป็นมาอย่างไร?”
“เจ้าก็รู้จักเฉินผิง?” อวิ๋นซีชะงักไปครู่
มู่จิ่วเชิดปาก “ข้าไม่เพียงรู้จักเฉินผิง ยังรู้เรื่องพี่สาวของเจ้ากับราชามังกรด้วย”
ไม่เคยได้ยินหรือว่า เรื่องดีไม่ออกจากบ้าน เรื่องร้ายปลิวว่อนไปพันลี้[1]? พวกเซียนชราในโลกเซียนทั้งวันไม่มีอะไรทำ นอกจากนินทาแล้วยังจะทำอะไรได้อีก? เรื่องนี้แม้แต่ลู่ยาก็รู้มิใช่หรือ!
อวิ๋นซีรู้สึกอับอายอยู่บ้าง แต่ก็ยังดี เขาพูด “อ๋าวเจียงกับเฉินผิงดีต่อกันมาก”
ดีต่อกันมาก?
มู่จิ่วจ้องหน้าเขาอยู่นานไม่ขยับ สงสัยว่าตนเองฟังผิด อ๋าวเจียงกับเฉินผิงดีต่อกันมาก นี่ไม่มีเหตุผลเลย! ราชินีมังกรแม้แต่ประตูก็ไม่ให้อวิ๋นเฉี่ยนเข้า จะอนุญาตให้บุตรชายกับบุตรนอกสมรสของอ๋าวเชินมีสัมพันธ์ต่อกันหรือ? อ๋าวเจียงอาศัยอะไร?
นางรู้สึกว่าเขากำลังพูดมั่วซั่ว “เจ้าเห็นข้าเป็นเด็กสามขวบหรือ?”
“ข้าไม่ได้หลอกเจ้า” อวิ๋นซีไม่ยิ้ม บนหน้ายังคงจริงจัง “ตอนเฉินผิงอายุห้าร้อยปี อวิ๋นเฉี่ยนพาเขามาอยู่ที่วังมังกรหลายเดือน ราชินีพลันโกรธเคือง นับตั้งแต่แรกก็ไม่ยอมรับพวกเขาแม่ลูก แต่เฉินผิงที่เพิ่งรู้ความตอนนั้นสนิทกับอ๋าวเจียงมาก ตอนแรกอ๋าวเจียงก็ไม่ชอบเขา โทษว่าเขาน่าเกลียด แต่ภายหลังเขาดีกับเฉินผิงยิ่งกว่าอ๋าวเชินเสียอีก”
………………………………………………