ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 165 องค์หญิงผู้งดงาม
หากว่ากันตามนี้ ตอนนั้นอวิ๋นเฉี่ยนให้เฉินผิงอยู่ที่วังมังกร ก็ตั้งใจเอาไว้คะคานกับราชินีมังกร?
เจ้าสุนัขชายหญิงคู่นี้!
นางอดขบฟันไม่ได้
หลังจากพวกมู่จิ่วเดินทางไปแล้ว ทุกครึ่งชั่วยามลู่ยาต้องตรวจสอบดวงจิตของนางครั้งหนึ่ง ทั้งหมดล้วนสงบดี เขาจึงวางใจได้
วังประจิมไสวไม่มีเรื่องอะไร คาดเดาว่าพวกเขาควรถึงทิวเขาริ้วหยกแล้ว เขานั่งบนขั้นบันไดหินก่อนดูด้ายแดงบนข้อมือ ด้ายแดงนี้ใช้พลังเสวียนหมิงของเขาสร้างออกมา หลังจากใส่แล้วไม่ว่านางอยู่มุมไหนเขาก็สามารถหาตัวได้
“ตึง!”
กำลังใจลอยมองด้ายแดง พุ่มโบตั๋นที่ห่างออกไปไกลกลับพลันมีลมพัดมาสายหนึ่ง ทำให้น้ำค้างบนกลีบดอกไม้กลิ้งหล่นลงมา สายตาของเขาขยับไหวเล็กน้อย ประสานมือวางไว้บนเข่าพลางมองดูหินทรายบนพื้น เหมือนเบื่อมากจนอยากงีบหลับสักรอบ
“เจ้าจะหลับแล้วหรือ?”
เสียงอ่อนโยนเจือไปด้วยความขบขันดังขึ้น
มุมปากลู่ยายกขึ้นเล็กน้อย ยังไม่ลุกขึ้น พยักหน้าไปให้ตามสถานการณ์ “ที่แท้เป็นองค์หญิงอ๋าวเยวี่ย”
วันนี้อ๋าวเยวี่ยสวมเสื้อสีน้ำเงิน ช่วงล่างเป็นกระโปรงสีขาวหิมะ ชาดบนปากเหมือนกลีบดอกไม้ที่งามที่สุดบนโลก เต็มไปด้วยความอิ่มเอิบ เทียบกับมู่จิ่วที่งดงามตามธรรมชาติแล้วช่างไร้รสนิยมไม่น้อย เห็นเขาไม่ขยับ อ๋าวเยวี่ยก็ยิ้มอย่างเป็นมิตร เดินขึ้นไปบนชั้นบันไดหินด้านหลังเขา ก่อนพูด “มู่จิ่วไปทิวเขาริ้วหยก เจ้าเบื่อมากใช่หรือไม่?”
“ยังดี” เขาเปิดปาก “ห่างกันเล็กน้อยดีกว่าคู่แต่งงานใหม่[1] อยู่ห่างบ้างสองวันไม่ใช่เรื่องแย่”
“เพิ่งแต่งงาน?” เสียงของอ๋าวเยวี่ยเจือความตกใจ “พูดแบบนี้พวกเจ้า…”
ลู่ยายืนขึ้นมา ยกริมฝีปากไม่แสดงออกอะไร
อ๋าวเยวี่ยราวกับเข้าใจแล้ว บนใบหน้าเผยความเขินอาย สายตาตกลงไปบนกลีบดอกไม้บนไหล่เขา ยื่นมือจะปัด ลู่ยากลับชิงปัดมันร่วงลงไปก่อน
ใบหน้าอ๋าวเยวี่ยกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ต่อมาจึงทำหน้าจริงจัง “เรื่องเมื่อวานขอโทษด้วยจริงๆ อ๋าวเจียงปฏิบัติต่อเฉินผิงดีมากมาตลอด ดังนั้นจึงอยากนำกุญแจจันทราในมือของกระกูลอวิ๋นมาปกปักรักษาวิญญาณของเขา แต่เรื่องนั้นไหนเลยจะง่ายอย่างที่เขาคิด? ครั้งนี้ลากมู่จิ่วเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย และพวกเรากลับไม่มีหนทางช่วยแยกนางออกมา แต่หวังว่าเจ้าจะไม่เข้าใจว่าพวกเราตระกูลอ๋าวล้วนเป็นคนเลว”
“จะได้อย่างไร?” ลู่ยาเปิดปากอย่างช้าๆ “แต่เพียงแค่ครั้งนี้เท่านั้น”
หากไม่ใช่เพราะควรทำให้เรื่องนี้จบลง แม้แต่ครั้งเดียวเขาก็ไม่ยอม
อ๋าวเยวี่ยก้มหัวลงรู้สึกผิด มองปลายเท้าพลางพูด “รอพวกเขากลับมา ข้าจะพูดกับอ๋าวเจียงอย่างดี เพียงแต่ ข้าไม่นึกเลยว่าเร็วขนาดนี้เขาก็มองมู่จิ่วเป็นคนไว้ใจ…”
พูดถึงตรงนี้นางมองเข้าไปในดวงตาของลู่ยาอย่างล้ำลึก ราวกับมีคำพูดที่ไม่สามารถพูดออกมาได้และหวังว่าเขาจะเข้าใจ
ลู่ยากลับนิ่งสงบพูด “อาจิ่วจิตใจดีงาม นางแค่ปากร้ายใจดี ฉากหน้าทำท่าเหมือนไม่สนใจ แต่ใจกลับอ่อนกว่าใคร หญิงสาวแบบนี้หากไม่มีคนเชื่อใจถึงจะแปลก”
อ๋าวเยวี่ยเผยรอยยิ้มออกมา “ดูแล้วในสายตาเจ้านางล้วนมีแต่ข้อดี” พูดจบนางก็ถอนหายใจ “แต่เห็นพวกเจ้าเป็นแบบนี้แล้วดีจริง บางครั้งข้าเกือบเข้าใจว่าผู้ชายบนโลกทุกคนล้วนเหมือนพ่อข้าหมด”
ลู่ยาเลิกคิ้วขึ้น ไม่แสดงออกอะไร
อ๋าวเยวี่ยมองไปรอบด้าน หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก จึงยิ้มพูด “ข้ารับคำสั่งจากท่านพ่อมารดน้ำโบตั๋นม่วง รบกวนท่านนำทางข้าหน่อย”
เขตพลังที่ประตูวัง อ๋าวเชินสร้างเองกับมือ นอกจากเขาแล้วคนที่สามารถเปิดได้มีเพียงพลอารักขาที่เข้าเวร
อ๋าวเชินไม่อยู่ ตามเหตุผลแล้วลู่ยาไม่มีอำนาจเปิด
แต่เขาชะงักไปสักครู่ ก่อนก้าวไปเปิดประตูอย่างยินดี
ทางมู่จิ่วนั่งอยู่กับอ๋าวเจียงอยู่ครึ่งวัน เห็นสีหน้าเขาค่อยๆ กลับเป็นปกติ จึงลุกขึ้นเดินช้าๆ ไปรอบด้าน
นอกประตูตำหนักมีทหารจำนวนมากเฝ้าอยู่ ออกไปไม่ได้ แต่ในตำหนักก็ค่อนข้างน่ามอง
ถึงแม้อวิ๋นเฉี่ยนสั่งให้ขังพวกเขาในนี้ แต่ด้านการปฏิบัติดูแลกลับไม่กล้ามีอะไรบกพร่อง ตำหนักนี้ประดับประดาสวยงาม โดยพื้นฐานประกอบด้วยหินเรียงกันแบบอิฐ หินสลักรูปสัตว์วิเศษหลากหลายประเภทกลับเหมือนจริงอย่างมาก ม่านถักสูงสองจั้งพลิ้วไหวบางเบา เดินไปทางตะวันออกหลังเสายังมีห้องดื่มชา ห้องนอน และห้องหนังสือต่างๆ
นางนำกาน้ำชาออกมาจากห้องดื่มชา วางบนโต๊ะกลมกลางห้อง ก่อนพูด “ดื่มเถอะ ข้าดูแล้วไม่มียาพิษ และทั้งหมดล้วนเป็นของชั้นดีจากเขาคุนหลุน ดูแล้วตระกูลอวิ๋นยังไม่กล้าลามปามต่อเจ้าผู้เป็นลูกชายของเขย”
อ๋าวเจียงถลึงตาใส่ “ลูกเขยอะไร เจ้าอย่าพูดมั่วซั่วดีหรือไม่!”
มู่จิ่วยักไหล่ ไม่สนใจท่าทางต่อต้านของเขา
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่นางปั้นน้ำขึ้นมา
นางวางชาลง เดินเลียบทางทิศตะวันตกไปสำรวจต่อ ทิศตะวันตกแบ่งออกเป็นห้องเล็กๆ ที่สะอาดสะอ้านมากมาย แต่ละห้องมีหน้าต่างใหญ่ น่าจะสามารถเห็นทิวทัศน์ในหลากหลายมุม แต่หน้าต่างปิดหมด ความจริงนางไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
แต่ตอนเดินมาถึงห้องหนึ่งในนั้น กลับมีต้นไม้งอกเข้ามาตรงด้านล่างกำแพง จึงขวางประตูหน้าต่างไว้ เผยให้เห็นช่องว่างสูงสองฉื่อ
มู่จิ่วครุ่นคิด หันไปฟังเสียงด้านนอกอย่างละเอียด หยิบเสื้อซ่อนเซียนออกมา แล้วออกจากช่องว่างนี้ไปอย่างเงียบเชียบ
ด้านหลังตำหนักย่อมที่มีทหารมากมายเฝ้าอยู่ แต่กลับไม่ถึงขั้นสามารถมองเห็นร่างจริงของมู่จิ่ว
เพียงแต่ด้านหลังตำหนักก็ยังเป็นตำหนัก แต่ละหลังเชื่อมต่ออยู่ด้วยกัน มองไปกลับไม่เห็นขอบเขต มู่จิ่วยืนอยู่บนหลังคา มองลงไปเห็นทะเลสาบเขียวกระจ่าง รอบด้านคือป่าไผ่พลิ้วไหวช้าๆ ราวกับคลื่นเบาบาง กระเรียนเซียนหลายตัวบินออกมาจากพื้นที่เขียวทึบ บางครั้งมีหงส์เพลิงห้าสีอยู่ในกลุ่ม ทิวทัศน์เซียนนี้ช่างไม่มีที่ใดเปรียบจริงๆ
นางยืนนิ่งกวาดตามองไปรอบด้านหลายรอบ และเลือกเดินไปทางตะวันออกที่คนเยอะ
ถนนตะวันออกชัดเจนว่าเป็นที่ตั้งของตำหนักใหญ่ที่อวิ๋นชือฉางอยู่ก่อนหน้านี้ กลุ่มตำหนักโดยรอบแต่ละหลังล้อมรอบด้วยดอกไม้หลากสี รูปแบบงดงาม บางทีตระกูลอวิ๋นอาจกำลังจัดงานเลี้ยงต้อนรับอ๋าวเชินอยู่ในป่าอู๋ถง ตอนนี้มีเสียงเครื่องเป่าลอยมา อาหารที่ยกขึ้นโต๊ะส่วนมากแม้แต่มู่จิ่วที่เชี่ยวชาญการทำอาหารยังไม่รู้จักชื่อ
นี่ทำให้นางอดเห็นใจอ๋าวเจียงที่ถูกจับอยู่ในวังไม่ได้ พ่อของเขากินดีอยู่ดีที่บ้านภรรยาน้อย แต่เขาคนโชคร้ายกลับถูกน้องชายของภรรยาพ่อทุบตีเหมือนสุนัขเร่ร่อน ช่างเกินจะทนแล้วจริงๆ
ถนนทางตะวันออกไม่มีอะไรให้ดู คนเยอะไป นางเข้าใกล้ไม่ได้ มิฉะนั้นจะถูกจับได้โดยง่าย
ดังนั้นนางจึงไปตำหนักทางทิศตะวันตกที่คนน้อย
ถนนทางตะวันตกคนน้อยเกินไป น้อยจนน่าแปลกใจ นอกจากแต่ละด่านตรวจมีพลอารักขาเฝ้าอยู่ หญิงรับใช้ที่เดินอยู่บนระเบียงทางเดินยังน้อยมาก อย่างไรก็ตาม หากพูดว่าที่นี่ร้างก็ไม่ใช่ ใบไม้ร่วงในลานมีไม่เกินห้าใบ ซุ้มจื่อเถิงที่มุมลานไม่มีกิ่งงอกเกินออกมา บนระเบียงทางเดินมีกระเรียนเซียนขนขาวหลายตัวเงียบหลับอยู่ ทั้งหมดนี้แสดงว่าที่นี่ต้องไม่ใช่สถานที่ไร้คนดูแล
ในเมื่อมีคนจัดการดูแลอย่างใส่ใจ ทำไมคนถึงน้อยขนาดนี้?
…………………………………………………………