ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 167 มีแผนลวงนานแล้ว
อ๋าวเยวี่ยพูดจบก็นับนิ้วเรียกกระบวยหยกออกมา ค้อมเอวไปยังถังด้านข้างเพื่อตักน้ำ
ลู่ยามองการเคลื่อนไหวของนาง พูดโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน “พันปีก่อน เช่นนั้นควรอายุราวๆ เฉินผิง”
กระบวยในมืออ๋าวเยวี่ยชะงัก จากนั้นจึงพูด “เจ้ากับกัวมู่จิ่วดูราวกับใส่ใจเรื่องเฉินผิงมาก?”
“แน่นอน” ลู่ยาไม่คิดจะหลบเลี่ยง “ที่จริงหากไม่ใช่เพราะเขา แต่เดิมพวกเราคงไม่มาที่นี่”
ดวงตาฉ่ำวาวของอ๋าวเยวี่ยขยับไหว ตักน้ำรดดอกไม้ต่อ หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางยืดตัวขึ้น เด็ดดอกไม้ดอกหนึ่ง ยิ้มน้อยๆ เดินไปทางลู่ยา “ช่วยทัดไว้บนผมข้า ได้หรือไม่?”
ลู่ยาจ้องดอกไม้อยู่สักครู่ มุมปากยกขึ้น แล้วจึงรับมา
แต่พริบตาที่เขารับดอกไม้ อ๋าวเยวี่ยกลับพลันลงมือโจมตีช่วงบนของเขา มือซ้ายกลายเป็นกรงเล็บคมกริบพุ่งเข้าไปที่อก!
ความเร็วในการลงมือของนางสูงแบบนี้ แม้แต่ลมและต้นไม้กลางอากาศยังราวกับนิ่งอึ้งไป จนพลังลมปราณของนางโจมตีเข้าไปถึงค่อยสั่นไหวในชั่วพริบตา!
แต่เทียบกับนางแล้วมือของลู่ยาเร็วกว่า กรงเล็บของนางยังไม่ทันแตะโดนเสื้อเขา ดอกโบตั๋นในมือกลายเป็นแสงแรงกล้าสีม่วงจนขาว ทิ่มแทงสายตานางจนต้องปิดตาลง จากนั้นเสียงร้องอันเจ็บปวดก็ดังตามมา!
ทว่าปฏิกิริยานางเร็วมาก ฟากลู่ยามีอะไรไม่ปกติ นางก็เลือกที่จะถอยไปทันที จากนั้นเห็นลู่ยาบีบข้อมือข้างนี้ของนางไว้อย่างช้าๆ หมุนทีเดียวก็พลิกนางลงกับพื้น
อ๋าวเยวี่ยกลิ้งไปหลายตลบ กลิ้งไปสองจั้งก็กลิ้งต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าเขากลับสร้างปราการเซียนอยู่ข้างหลังนางตอนไหน ทำให้นางไม่มีหนทางถอยทันที!
นางงอตัวบนพื้นอยู่นาน ปัดๆ แขนเสื้อลุกขึ้น สีหน้ายังตกใจไม่หาย “คิดไม่ถึงว่าซ่านเซียนคนหนึ่งอย่างเจ้า ฝีมือกลับไม่เลว!”
“ชมเกินไปแล้ว” ลู่ยาเลิกคิ้วมองดอกไม้ในมือ มุมปากยังยกยิ้ม ราวกับเพิ่งล้อเล่นเล็กน้อยไป
“แต่ทำไมเจ้าถึงเดาได้ว่าข้าจะลงมือ?” เสียงอ๋าวเยวี่ยยังคงสงสัยและตกใจอย่างล้ำลึก
“มีอะไรเดาไม่ได้” ลู่ยาทิ้งดอกไม้ไป ก่อนพูด “หรือเจ้าคิดว่าที่ข้าตามเจ้าเข้ามาเพราะเสน่ห์เจ้าแรงจริง?”
สีหน้าอ๋าวเยวี่ยแข็งค้าง ก่อนกลายเป็นซีดขาว “เจ้าหมายความว่าอะไร? หรือเจ้าสงสัยข้านานแล้ว?”
“ตอนนี้เพิ่งถามคำถามนี้ สามารถพูดได้เต็มปากว่าเจ้าไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น” ลู่ยาพูด “อันดับแรกตอนเจ้าเดินอยู่นอกวัง จากวิชาที่เจ้าใช้ ข้าดูออกแล้วว่าภายในกายเจ้าไม่ใช่ธาตุน้ำ ข้าจำได้ว่าข้าเคยถามเจ้ามาก่อน แต่เจ้ากลับไม่ตอบตรงๆ และยังเปลี่ยนหัวข้อหลีกเลี่ยงไป เจ้าเป็นลูกหลานเผ่าพันธุ์มังกร จะไม่ใช่ธาตุน้ำได้อย่างไร?”
สีหน้าอ๋าวเยวี่ยไม่น่าดูอยู่บ้าง “นั่นไม่จำเป็น หรือเจ้าไม่ให้ข้าไปกราบไหว้ผู้อื่นเป็นอาจารย์ ชำระล้างรากฐานวิญญาณตั้งแต่เด็ก?”
“หากเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญตนก็อาจเป็นไปได้ แต่จุดสำคัญคือลูกหลานเผ่ามังกรไม่มีหลักแบบนี้” ลู่ยาไม่เร่งไม่เร้า น้ำเสียงสีหน้าตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่เปลี่ยนเลย “ยิ่งไปกว่านั้น แม้เจ้าไม่ใช่ธาตุน้ำ อย่างน้อยก็ต้องรู้จักวิธีใช้วิชาบังคับน้ำ แต่กลับใช้กระบวยตักแทน คนที่แม้แต่วิชาบังคับน้ำก็ไม่เป็น หรือยังไม่น่าสงสัยอีก?”
อ๋าวเยวี่ยดูดุร้ายขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าดูเหมือนจะรู้ไม่น้อย อาศัยเรื่องนี้เจ้าก็ระแวงข้าแล้วหรือ?”
“ไม่ใช่เช่นนั้น” ลู่ยาพูด “หากภายหลังเจ้าไม่มาหาข้าละก็ ข้าคงยังไม่มองเจ้าอยู่ในสายตา แต่ไม่เพียงเจ้าจะมาหาข้า ยังแกล้งทำทีเข้าใกล้อีก นี่ทำให้ข้ารู้สึกไร้ต้นสายปลายเหตุอยู่บ้าง เจ้าที่เป็นองค์หญิงจริงแท้แห่งวังมังกร ทำไมถึงมาสนใจข้าซ่านเซียนคนหนึ่งที่มีคู่หมั้นแล้วอย่างไร้เหตุผล?”
อ๋าวเยวี่ยได้ยินถึงตรงนี้ก็ยิ้มขึ้น “หรือเจ้าไม่คิดว่าข้าชอบเจ้า?”
“หากพูดว่าเจ้าชอบข้า ไม่สู้บอกว่าเจ้าชอบวังประจิมไสวนี้” ลู่ยากอดอกมองไปรอบด้าน ก่อนพูด “ทุกก้าวที่เจ้าเดินล้วนมุ่งเข้าหาวังนี้ นับจากครั้งนั้นที่เจ้าปลีกตัวอยู่นอกวัง ภายหลังกลับเข้าใกล้อย่างตั้งใจ และแต่เดิมอ๋าวเชินไม่ได้สั่งให้เจ้ารดน้ำ แต่เจ้ากลับเรียกข้าให้พาเข้ามา ทั้งหมดนี้ยืนยันว่าเจ้ามีเป้าหมายอื่น”
อ๋าวเยวี่ยพลันสีหน้าเปลี่ยน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้สั่งข้า?”
“ตอนแรกข้าก็เคยคิดจะเข้ามาดู แต่ยังไม่ทันเข้าไปอ๋าวเชินก็รู้แล้ว นี่ทำให้ข้าเดาได้ว่าในวังของเขาต้องมีอะไรสามารถจับตาดูที่นี่โดยตรงได้แน่ เขามองวังประจิมไสวสำคัญแบบนี้ จะสั่งเจ้าให้มารดน้ำส่งเดชได้อย่างไร? แต่หากสั่งมาจริง เช่นนั้นทำไมเขาไม่สอนวิชาเข้าประตูให้เจ้า?”
ใบหน้างดงามของอ๋าวเยวี่ยเปลี่ยนไปโหดเหี้ยม
“ดูท่าแล้วข้ากลับเป็นฝ่ายตกหลุมพรางเจ้า!”
ลู่ยายักไหล่ ไม่แสดงออกอะไร “เจ้าไม่ใช่อ๋าวเยวี่ยตัวจริง บอกมาว่าเจ้าคือใคร?”
อ๋าวเยวี่ยหน้าตึง ไม่สนใจเขา
ลู่ยาพูดอีก “เจ้าก็ไม่ใช่หงส์เพลิงเช่นกัน ที่แท้เจ้าเป็นใคร?”
อ๋าวเยวี่ยเชิดหน้ามองฟ้า ร่างสั่นเทา ศีรษะพลันล้มเอียงลงสู่พื้น…
………………….
มู่จิ่วกับอ๋าวเจียงที่อยู่ตำหนักหอมกำจายตาเบิกกว้างนั่งนิ่ง จนผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้คืนสติ
“พลังบำเพ็ญของอวิ๋นซีแน่นอนว่าไม่สูงกว่าข้า ข้าเคยประมือกับเขา เขากระทั่งแย่กว่าข้าหนึ่งหรือสองส่วน เมื่อครู่ตอนเจ้าออกไปข้าก็ไม่รู้ตัว เขาจะมองเจ้าออกได้อย่างไร? เจ้าเข้าใจผิดหรือไม่ ตอนนั้นที่จริงอาจมีคนอื่นอยู่อีก?”
“จะเข้าใจผิดได้อย่างไร?” มู่จิ่วกล่าว “ข้าเข้าไปนานขนาดนั้น ไม่มีคนซ่อนอยู่ใกล้ๆ และสายตาเขามองตรงมายังที่ที่ข้าซ่อนอยู่ เขาพบข้าแล้ว! แต่เจ้าสิ เจ้าอย่างกับไม่เคยทะเลาะกับคนอื่น รู้ชัดเจนว่าต้องออกไป แม้แต่ยารักษาแผลก็ไม่เอาไปด้วย หรือเขาหลอกเจ้าไปแล้ว?”
“เขาหลอกข้าทำไม?” อ๋าวเจียงรู้สึกว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก “ครั้งก่อนชัดเจนว่าข้าทำให้เขาบาดเจ็บ มิฉะนั้นเจ้าคิดว่าข้าบาดเจ็บขนาดนั้น ยังจะหนีรอดมาจากเงื้อมมือเขาได้หรือ? เขาก็ไม่ได้วิ่งมาฟ้องที่ทะเลสาบน้ำแข็งเสียด้วย?”
มู่จิ่วไร้คำพูด
พูดตามเหตุผล ที่จริงอวิ๋นซีไม่มีความจำเป็นต้องแอบซ่อน ทว่ามีข้อสงสัยมากมายตรงหน้าขนาดนี้ ใครจะรู้ว่าใจเขาคิดอะไรอยู่? ลำดับที่สองแห่งตระกูลอวิ๋นที่พวกตระกูลอวิ๋นเทิดทูนเป็นบรรพบุรุษ อวิ๋นเฉี่ยนที่ไม่สนใจแม้แต่ลูกชายตนเอง ยังมีอวิ๋นซีที่ตั้งแต่ต้นจนจบไม่แสดงสีหน้ากระวนกระวายออกมาเลย คนตระกูลอวิ๋นเหล่านี้มีความลึกลับที่คล้ายมีคล้ายไม่มีอยู่
“เจ้าคิดจะไปสืบฐานะของลำดับที่สองตระกูลอวิ๋นหรือไม่?” มู่จิ่วจิ้มๆ พลางเขาพูด
“สืบอย่างไร?” ถึงแม้อ๋าวเจียงไม่เคยเห็นด้วย ในสายตากลับมีความคาดหวัง “ไปถ้ำหินนั่น?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่” มู่จิ่วพูด “ในเมื่ออวิ๋นซีพบข้าแล้ว แน่นอนว่าต่อไปเขาต้องระมัดระวัง พวกเราไปอีกไม่ได้ แต่พวกเราสามารถสืบกับอวิ๋นเฉี่ยนได้…”
“นาง?!” อ๋าวเจียงยืนขึ้นมาราวกับโดนเข็มทิ่ม “ข้าเกลียดผู้หญิงคนนั้น ไม่ไป!”
“ข้าไป”
มู่จิ่วยืนขึ้น
หากนางไม่รู้สึกถึงความผิดปกตินี่ก็แล้วไป แต่ในใจมีข้อสงสัย จะไม่ไปหาคำตอบได้อย่างไร? ทางอวิ๋นซีไม่รู้ตื้นลึกจึงไม่อาจไปแหย่ได้อีก ถ้าเช่นนั้นก็อวิ๋นเฉี่ยน ระดับความแปลกประหลาดของอวิ๋นเฉี่ยนเทียบกับอวิ๋นซีแล้วมีแต่มากกว่า นางยิ่งควรถูกจับตามองถึงจะถูก
…………………………………