ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 193 เงื่อนงำสุดท้าย
อ๋าวเชินน้ำเสียงหนักแน่น กล่าวจบแล้วเขาก็ถอนหายใจช้าๆ “เรื่องนี้ไม่เพียงพวกเจ้าไม่รู้ แม้แต่แม่ของพวกเจ้าก็ไม่รู้เช่นกัน”
เขาพูดแบบนี้ มู่จิ่วถึงนึกขึ้นได้ว่าเขาป่วยถึงขนาดนี้แล้ว ราชินีมังกรกลับยังไม่เคยมาป้อนยาเลย
ไม่ใช่สมองนางเสื่อม แยกถูกผิดไม่ออก แต่ปีนั้นระบบราชการแต่ละภพสร้างตามหนังสือของลัทธิขงจื๊อเพื่อความสมดุลของหกภพ
ชนชั้นวรรณะของแต่ละภพแต่ละเผ่าพันธุ์ ถึงแม้เทียบกับโลกมนุษย์แล้วมีส่วนที่ปรับเปลี่ยนอย่างเหมาะสม แต่โดยส่วนใหญ่ความคิดที่สามีเป็นผู้นำเป็นที่ยอมรับ แบบนั้นถึงแม้อ๋าวเชินจะทำผิดยิ่งกว่านี้ ราชินีมังกรเป็นภรรยาของเขา ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ออกหน้ามา ทำให้รู้สึกขัดตาอยู่บ้าง
หากราชินีมังกรไม่เห็นอ๋าวเชินอยู่ในสายตาจริง ทำไมนางถึงออกมาร่วมงานเลี้ยงครอบครัวในวันนั้น?
แม้แต่งานเลี้ยงครอบครัวนางยังเข้าร่วมได้ ทำไมกลับไม่อาจมาทำหน้าที่ให้ถึงที่สุด?
“เจ้าไม่บอกราชินี มิใช่ว่ามีแผนพิเศษอะไรอยู่?” คิดถึงตรงนี้ มู่จิ่วถามคำถามที่สงสัยในใจ
“ไม่มี” อ๋าวเชินอาจยืนจนเหนื่อยแล้ว จึงนั่งลงข้างโต๊ะ “ข้าเพียงรู้สึกว่านางคงไม่สนใจ ก็เลยคร้านจะมากเรื่อง”
พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาช้าลง
ส่วนมู่จิ่วกลับกำลังคิดว่าจะกลับไปรายงานกับหลิวจวิ้นอย่างไร
ในเมื่อตัวอ๋าวเชินเองต้องการกุญแจจันทราหยางมารักษาวิญญาณตน ความเป็นไปได้ที่เขาจงใจกลั่นแกล้งตระกูลอวิ๋นก็ไม่มากนัก แต่ดูจากคุณธรรมของเขาแล้ว ก็พูดได้ไม่ชัดว่าเขาจงใจซ่อนกุญแจจันทราหยางไว้ในตอนนี้เพื่อปกปิดความผิดหรือไม่ ตอนนี้เพียงมั่นใจได้ว่าอวิ๋นเฉี่ยนไม่ได้ป้ายสีอ๋าวเชิน กุญแจจันทราหยินอยู่ในมือเขาจริง และอวิ๋นรองก็ตายแล้ว
ตามหลักเหตุผล ได้ผลลัพธ์เช่นนี้ก็ไม่นับว่ามาเสียเที่ยว แต่อ๋าวเยวี่ยอยู่ไหนเล่า?
ยังมีกุญแจจันทราหยางอีก?
ใครเอามันไป?
ทำไมต้องเอาไป?
วันนั้นลู่ยาคาดเดาว่ากุญแจจันทราหยางหายไปอย่างน้อยห้าร้อยปีแล้ว และพอดีกับตอนที่อ๋าวเชินหยิบกุญแจหยินส่งให้ตระกูลอวิ๋นด้วย อย่างนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่าแต่เดิมเขาซ่อนไว้อย่างดี แต่เพราะตอนหยิบกุญแจหยินมีคนพบเข้า และฉวยโอกาสเอาไป?
คิดถึงตรงนี้นางจึงถาม “ขอบังอาจถาม ราชามังกรใช้กุญแจจันทราหยางรักษาร่างกายอย่างไร?”
อ๋าวเชินเงยหน้าขึ้น “กุญแจหยางฝังอยู่ใต้รากโบตั๋นม่วง โบตั๋นม่วงเป็นรากฐานเซียนที่ปี้เสียหยวนจวินลงมือปลูกเอง มีพลังดูดกลืนส่วนสำคัญในของวิเศษทั้งหมด ข้าเอากลีบดอกโบตั๋นทำชา ปกติจึงไม่มีปัญหา”
“หลายร้อยปีมานี้เจ้าไม่รู้สึกว่าร่างกายมีอะไรผิดปกติหรือ?”
“ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ” อ๋าวเชินพูด “ก็เพราะแบบนี้ ข้าถึงได้ไม่รู้มาตลอดว่ากุญแจจันทราหยางไม่อยู่ใต้ดินแล้ว!”
มู่จิ่วขมวดคิ้วเป็นปม
จากที่เขาพูด กุญแจจันทราหยางมีอานุภาพแข็งแกร่ง ฝังอยู่ใต้ดินก็สามารถให้เขาใช้รักษาร่างกายผ่านโบตั๋นม่วง หลายร้อยปีมานี้เขาไม่เคยรู้สึก เป็นไปได้หรือไม่ว่าพลังที่มันทิ้งไว้ยังคงใช้รักษาวิญญาณได้? ที่จริงตัวโบตั๋นม่วงเองเป็นดอกไม้พิสดาร เวลาหลายร้อยปีอาจไม่เป็นปัญหา
อย่างไรก็ตาม อ๋าวเชินพลันรู้สึกผิดปกติในที่วันนั้นลู่ยาจับเหยี่ยวพิษได้พอดี นี่จะอธิบายอย่างไร?
“ไม่ทราบว่าวันนั้นที่ราชามังกรป่วย เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” นางหยิบกาน้ำชารินน้ำให้เขาพลางพูด
อ๋าวเชินตอบ “ในความเป็นจริง ตอนข้าอยู่ทิวเขาริ้วหยกก็รู้สึกผิดปกติแล้ว แต่หลังจากข้าได้กุญแจจันทราหยินมา ความรู้สึกนี้ก็หายไป บวกกับหลังจากกลับมาพลันพบว่าวังประจิมไสวมีคนบุกรุก พอตื่นตกใจก็ละเลยเรื่องนี้ไป แต่ถึงภายหลังความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงกลับมาอีก และเพิ่มขึ้นรุนแรง หากไม่ใช่เพราะข้านำกุญแจจันทราหยินกลับมา เกรงว่าคนที่ตายคงเป็นข้า”
มู่จิ่วขมวดคิ้วแน่น
อ๋าวเชินพูด “หรือเจ้าคิดอะไรออก?”
นางอ้าปากคิดจะพูดอะไร แต่ใจกลับหยุดชะงัก กลืนคำพูดที่อยู่บนลิ้นกลับลงไป
“ไม่มีอะไร ราชามังกรพักผ่อนก่อนเถิด”
ราชามังกรพยักหน้า เรียกผู้ติดตามเข้ามา “จัดการที่พักให้แม่นางกัว อ๋าวเจียงรับแขกดีๆ”
มู่จิ่วไม่ปฏิเสธ
ออกจากวังมา อาฝูกินอิ่มแล้วหมอบอยู่ตรงระเบียงทางเดิน จ้องคนเดินผ่านไปมาอย่างสงบ มู่จิ่วไม่รู้ว่าเขามองนางยอดเยี่ยมขนาดไหน ถึงมีความมั่นใจในตัวเองอันกล้าแกร่งขนาดนี้ เดินไปที่ไหนก็วางอำนาจที่นั่น แต่ถึงแม้เขาซุกซน นางก็รักเขาอย่างมาก
นางตบๆ หัวให้เขาลุกขึ้น จากนั้นเดินตามอ๋าวเจียงไปยังวังหลัง
ไม่ต้องพูดเลย การต้อนรับนางครั้งนี้เทียบกับมาคราวก่อนแล้วดีขึ้นไม่น้อย นางเดินตามระเบียงทางเดินเข้าไปในวังสามสี่ชั้น ผ่านสวนดอกไม้ฝั่งตะวันออกและสะพานหยก ก็ถึงสถานที่ที่รอบด้านเป็นกลุ่มวังสวยงามละลานตา อ๋าวเจียงเดินเข้าไปพลางพูด “วังสะพานทองทางนั้นแต่ก่อนเป็นวังที่ย่าข้ามาพักชั่วคราว เจ้าพักที่หอกำยานแล้วกัน”
ตอนเขาพูดจบก็มาถึงหน้าลานเล็กที่ปลูกไผ่เขียวกับเถิงหลัวไว้เต็มไปหมด
มู่จิ่วเงยหน้ามองไปไกลๆ เห็นเพียงจุดสูงที่สุดของกลุ่มวังเป็นอาคารเล็กแสบตา ต้องเป็นวังสะพานทองแน่
“ผ่านสวนดอกไม้เล็กข้างหน้าไปก็เป็นวังเทียมบูรพา มีเรื่องอะไร เจ้าก็สามารถมาหาข้าได้”
อ๋าวเจียงพลันก้มหน้าอย่างไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง
มู่จิ่วเหลือบมองเขาคราหนึ่ง ยกมือป้องตามองไปข้างหน้า เป็นวังเทียมบูรพาจริงๆ ตอนปฏิบัติหน้าที่ นางมาเดินเล่นที่สวนดอกไม้เล็กนี่หลายครั้ง มองไปทางทิศตะวันตก ไม้ค้ำยันของวังประจิมไสวเผยให้เห็นครึ่งหนึ่งหลังผืนต้นอู๋ถง
อ๋าวเจียงไม่ได้อยู่นาน สั่งกับพวกผู้ติดตามและเหล่าข้ารับใช้หลายประโยคก่อนเดินไป
คนผู้นี้ไม่รู้ทั้งวันดวงตาตกลงกี่รอบ คงต้องรีบกลับไปปรับอารมณ์
มู่จิ่วพาอาฝูเดินเข้าตำหนัก ในนั้นประดับทองสลักหยกงดงามอย่างมาก
อาฝูยังไม่เคยเห็นภาพแบบนี้ จึงยืนนิ่งอึ้งอยู่กลางวัง จากนั้นกระโดดวิ่งเล่นมุ่งไปยังเตียงเดี่ยวด้านตะวันออก ปีนขึ้นไปกินผลไม้และเนื้อแห้งบนโต๊ะเหลี่ยมตัวเล็ก ไม่นานก็มีข้ารับใช้ยกกล่องอาหารเข้ามาวางกับข้าว มู่จิ่วไม่อยากอาหาร นำเนื้อทั้งหมดให้อาฝู นางเงยหน้ามองโคมไฟนอกหน้าต่าง วางตะเกียบเดินออกประตูไป
นอกประตูมืดสลัว มีเพียงโคมที่ระเบียงทางเดินส่องแสงรำไรออกมาหลายจุด
ต้นไม้ที่ออกดอกในลานโยกไหวเบาๆ ตามมาด้วยเสียงคลื่นน้ำทะเลสาบดังมารางๆ เหนือหัว ยามค่ำคืนของวังมังกรยังคงสงบเงียบ
นางพลันเขย่งปลายเท้า กระโดดเบาๆ ขึ้นไปบนชายคาเพื่อยืนอยู่บนที่สูงหน่อย ทิวทัศน์ทั้งสี่ด้านมองแล้วยิ่งเห็นชัดเจนมากขึ้น
รูปแบบของวังมังกรทั้งหลังโดยรวมแล้วสมมาตรกัน โดยให้ตำหนักใหญ่ด้านหน้าเป็นเส้นศูนย์กลาง ถนนตะวันออกนอกจากตำหนักคลื่นหยก วังเทียมบูรพา วังสะพานทอง ยังมีวังเพลงวิหคที่อยู่บนเส้นศูนย์กลางทางเหนือ
วังเพลงวิหคคือวังของราชินี เป็นอาคารหยกสองชั้น ตอนนี้กำลังส่องสว่าง มีเงาคนมากมาย หันไปดูทางตำหนักคลื่นหยก ถึงแม้คนก็ไม่น้อย แต่เทียบกันแล้วบรรยากาศเห็นได้ชัดว่าต่างกัน
สุดท้ายนางก็ไม่เข้าใจว่าราชินีคิดอย่างไร อ๋าวเชินป่วยถึงขนาดนี้ นางกลับสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข
ไม่ได้พูดถึงว่านางต้องมาถามไถ่อย่างสนิทชิดเชื้อ เพียงคิดไม่ตกว่าทำไมนางไม่จัดการเรื่องให้เรียบร้อยไป
นางกำลังรออะไรอยู่?
……………………………………………