ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 204 ข้าไม่ให้แน่นอน!
ลู่ยาหรี่ตาลง “ภูเขาลูกไหน?”
“ภูเขาไท่หาง” อวิ๋นฉัวตอบ
มู่จิ่วมองลู่ยา ลู่ยาไม่เปลี่ยนสีหน้า พูดต่อว่า “คนผู้นี้คือใคร? ฝึกพลังสายไหนน่าจะเห็นได้ชัดเจน?”
อวิ๋นฉัวพูด “เป็นคนรูปร่างหน้าตาอายุราวยี่สิบกว่าปี สวมเสื้อเขียว แต่ประหลาดมาก หน้าตาอะไรก็ตาม หลังเกิดเรื่องข้ากลับจำไม่ได้เลย แต่พลังบำเพ็ญเขาสูงมาก สูงถึงระดับไหนข้าไม่อาจวัดได้ เพราะเขาเพียงออกกระบวนท่าเดียวก็ทำให้ข้าล้มลงกับพื้น และตอนนั้นข้ายังได้ยินเสียงที่ปริออกของจิตหงส์อย่างชัดเจน”
มู่จิ่วฟังถึงตรงนี้ก็อดระแวดระวังไม่ได้ ก้าวขึ้นไปพูดข้างหน้า “ทำไมถึงมีคนที่เก่งกาจขนาดนี้อยู่? เหตุใดไม่แยกแยะถูกผิดก็ลงมือด้วย? หรือว่ามีความแค้นกับท่าน?”
“ข้าไม่รู้” คิ้วของอวิ๋นฉัวขมวดแน่น “แต่ข้าแน่ใจว่าไม่ใช่การแก้แค้น เพราะหนึ่ง หลังจากสงครามนั้นเมื่อแสนปีก่อนของพวกเราตระกูลอวิ๋น ข้าตายไปพร้อมบาดแผล พลังวิญญาณของเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงเไม่มีผู้สืบทอด จึงเริ่มตายตกตามกันมา คนในเผ่าพันธุ์หลายรุ่นล้วนมีไม่มาก จึงยิ่งขัดแย้งกับผู้อื่นน้อยยิ่งนัก ไม่มีคู่แค้นที่จะเอาเป็นเอาตายกัน”
“ข้อสอง คนนี้ตั้งใจลบล้างความทรงจำเกี่ยวกับใบหน้าของเขา เห็นได้ชัดว่าไม่ยินยอมให้ข้ารู้ว่าเขาเป็นใคร หากต้องการล้างแค้น มีเหตุผลอะไรไม่ให้พวกเรารู้? ยิ่งไปกว่านั้น พลังบำเพ็ญของคนผู้นั้น ถึงแม้เป็นกำลังของข้าในชาติก่อนตอนยังไม่ตายก็ไม่แน่ว่าจะรักษาชีวิตให้รอดภายใต้เงื้อมมือเขาได้ และในความเป็นจริงเขากลับไม่ได้มาเอาชีวิตข้า แต่เพียงทำจิตหงส์ร้าว ยิ่งทำให้ข้าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก”
“หลายปีมานี้พวกเราค้นหาคนผู้นี้ น่าเสียดายที่จับไม่ได้แม้แต่น้อย ในหลายปีแรก ถึงแม้ข้ารู้ว่าจิตหงส์เสียหาย แต่เพราะไม่ได้มีผลกระทบอะไรไม่ดีแสดงออกมา ดังนี้จึงไม่ได้สนใจ เพียงยิ่งทุ่มเทหล่อเลี้ยงวิญญาณมากขึ้นเท่านั้น แต่หลายปีมานี้ ราวสองพันปีก่อน ข้าเริ่มรู้สึกว่าพลังวิญญาณมีสัญญาณการเสื่อมถอยเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น”
“ผ่านไปอีกหลายร้อยปี พลังวิญญาณของข้ายังเสื่อมถอยต่อเนื่อง ข้ารู้ลึกซึ้งว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไปต้องส่งผลกระทบถึงรากฐานของเผ่าพันธุ์หงส์เพลิง ข้าต้องมีพลังบำเพ็ญแสนห้าหมื่นปีของชาติก่อนถึงจะควบคุมรากฐานวิญญาณในร่างได้ ข้าไม่มีหนทางอื่น ทำได้เพียงหมายตาไปที่กุญแจจันทรา”
บนใบหน้าเขามีความละอายใจอย่างลึกซึ้ง หมัดทั้งคู่กำแน่นจนซีดขาว
ลู่ยามองมู่จิ่ว มู่จิ่วเงียบไม่พูดสิ่งใด
อวิ๋นเฉี่ยนเดินเข้ามาพูด “เป็นอย่างไร มีปัญหาอะไรหรือ?”
ใบหน้านางเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด มองออกว่าสิ่งที่นางกลัวที่สุดคือพวกเขาบอกนางว่า แม้แต่หลายวันที่เพิ่มขึ้นมานี้ก็มีความเสี่ยง แต่คล้อยหลังการฟื้นคืนของอวิ๋นฉัว ใบหน้าของนางกลับคืนสู่สภาพเดิม มีพลังวิญญาณของเผ่าพันธุ์เดิมมากมายบำรุงอยู่ ผิวจึงเรียบรื่นและยืดหยุ่นราวกับเด็กสาว
ความสำคัญของการดำรงอยู่ของอวิ๋นฉัว ถึงตอนนี้มีหลักฐานยืนยันแล้ว
มู่จิ่วขมวดคิ้วพูด “ข้าไม่พบว่ามีปัญหาอะไร แต่พวกท่านคงรู้ จิตมังกรของอ๋าวเชินก็ปริแตกเช่นกัน?”
“อ๋าวเชิน?”
อวิ๋นเฉี่ยนหลุดปากออกมา พูดจบสีหน้าพลันเปลี่ยน ริมฝีปากทั้งสองเม้มแน่น ราวกับไม่อยากเอ่ยถึงชื่อนี้อีก
มู่จิ่วพยักหน้าพูด “เมื่อวานข้าจากทิวเขาริ้วหยกไปทะเลสาบน้ำแข็ง อ๋าวเชินก็ป่วยหนักแล้ว ข้าตรวจสอบจิตมังกรเขา ด้านบนมีรอยปริร้าวสองรอย อันหนึ่งใหญ่อันหนึ่งเล็ก ราชามังกรทะเลตะวันออกจึงได้ให้กุญแจจันทรานั้นแก่เขาบำรุงวิญญาณ และสาเหตุที่เขาได้รับบาดเจ็บ เพราะห้าพันปีก่อนตอนผ่านคุนหลุนตะวันออกถูกพลังวิญญาณประหลาดโจมตี”
“ข้าไม่รู้…”
อวิ๋นเฉี่ยนส่ายหน้าพึมพำ
มู่จิ่วกลับไม่รู้สึกว่าเหนือความคาดหมาย เพราะอ๋าวเชินแต่เดิมได้พูดไว้แล้วว่าเพื่อรักษาความลับ แม้แต่ภรรยาบุตรชายบุตรสาวก็ไม่บอก เขารู้ชัดว่าตระกูลอวิ๋นวางแผนมาเพื่ออะไร เป็นธรรมดาที่ยิ่งไม่นำเรื่องนี้มาพูด
แต่นางเริ่มมีความคิดเหมือนกับลู่ยาก่อนหน้านี้ การบาดเจ็บของอ๋าวเชินกับการบาดเจ็บของอวิ๋นฉัว แม้วิธีต่างแต่ผลลัพธ์เหมือนกัน สื่งสำคัญคือพวกเขาล้วนต้องการกุญแจจันทรารักษาวิญญาณไว้ และไม่ว่าพวกเขาใช้วิธีอะไรแย่งชิงของวิเศษนี้ไป ผลสุดท้ายก็ต้องกลายเป็นศัตรูต่อกัน หากบอกว่าคนที่ทำร้ายอ๋าวเชินกับคนที่ทำร้ายอวิ๋นฉัวเป็นคนคนเดียวกัน แบบนั้นเป้าหมายของคนผู้นี้ก็เปิดเผยกระจ่างแล้ว
“ไม่รู้ว่าพวกเจ้าได้ยินเวลาที่ข้าพูดหรือไม่ ตอนที่เขาโดนทำร้ายคือห้าพันปีก่อน” มู่จิ่วพูด
อวิ๋นเฉี่ยนเงยหน้าขึ้นทันที
ได้รับบาดเจ็บเมื่อห้าพันปีก่อนเหมือนกัน จิตสัตว์เทพปริแตกเหมือนกัน แบบนี้ไม่ให้คนคิดมากคงเป็นไปไม่ได้
ลู่ยาตบแขนมู่จิ่วเบาๆ “เจ้าเรียกอ๋าวเชินเข้ามา”
ในตำหนักใหญ่ อ๋าวเชินเหมือนกับนั่งบนพรมเข็ม
คนตระกูลอวิ๋นสะบัดหน้าใส่เขา แม้แต่ผู้ติดตามยังคร้านจะสนใจ ซ่างกวนสุ่นกับอาฝูแต่ละคนล้วนได้รับการต้อนรับด้วยชาและคำพูดที่ดี กระทั่งอ๋าวเจียงก็ยังแค่จับจ้องยืดคอไม่หยุดอยู่ที่ประตูวงพระจันทร์ ไม่สนใจเขาที่เป็นพ่อ มาทิวเขาริ้วหยกหลายครั้ง ที่นี่เหมือนกับเป็นบ้านหลังที่สองของเขา แต่ไม่มีสักครั้งที่นั่งแล้วรู้สึกอึดอัดเช่นนี้
“ราชามังกรนั่งเหนื่อยแล้วกระมัง เชิญเข้ามาพูดคุยเถิด”
มู่จิ่วอยู่ที่ม่านเห็นภาพแบบนี้ก็อดเรียกเสียงเบาไม่ได้ อ๋าวเชินอยากจะเข้าไปดู ได้ยินก็ลุกขึ้นทันที ก้าวยาวๆ ตามเข้าไป
อ๋าวเจียงตอนเห็นนางก็ลุกขึ้นยืน ดูจากท่าทางแล้วคิดจะเข้าไป มู่จิ่วส่ายหัวให้เขา เขาก็เชื่อฟังนั่งลงตามเดิม
เมื่อผ่านระเบียงทางเดินถึงห้องเล็กเปิดโล่ง ที่จริงอ๋าวเชินเตรียมใจมาพบกับอวิ๋นฉัวและอวิ๋นเฉี่ยนอีกครั้งแล้ว อย่างไรก็ตาม พอขึ้นขั้นบันไดไปเห็นลู่ยานั่งอยู่ที่สูงๆ ตรงนั้น อวิ๋นฉัวพี่น้องอยู่ด้านข้างเคารพนอบน้อมอย่างมาก ใจเขาเต้นตุบตุบหลายรอบ ยืนอยู่ที่ม่านโดยไม่รู้ว่าควรจะทักทายอย่างไรดี
ลู่ยาไม่ปล่อยให้เขาอึ้งนาน เอ่ยปากถาม “เดินเข้ามา ยื่นมือเจ้ามาให้ข้าดู”
อ๋าวเชินนิ่งอึ้งไม่ขยับ แต่อยู่ๆ กลับมีพลังขุมหนึ่งดูดเขาเข้าไปด้านหน้าลู่ยาอย่างควบคุมไม่ได้ เขาเป็นคนมีพลังบำเพ็ญแสนกว่าปี กลับต้านทานพลังนี้ไม่ได้แม้แต่น้อย!
ยังไม่ทันรอเขาตกใจจบ ลู่ยาเหมือนกับแขนยาวขึ้นอีกหลายฉื่อ มือยื่นไปก็จับมือเขาไว้แน่นแล้ว
อ๋าวเชินคิดขัดขืน แต่จะดิ้นหลุดได้อย่างไร?
“ตอนแรกที่ถูกพลังวิญญาณนั้นทำร้าย ได้รับรอยปริร้าวสองรอยเหมือนกัน แต่ห้าพันปีที่ผ่านมา มีรอยหนึ่งที่กลับคืนสู่สภาพเดิม ว่าไปแล้วคงเป็นผลงานของกุญแจจันทราหยาง วันเวลาผ่านไป รอยปริร้าวบนจิตมังกรของอ๋าวเชินฟื้นฟูเหมือนตอนแรกไม่มีปัญหา นี่ก็ยืนยันได้ว่ากุญแจจันทรามีความสามารถในการฟื้นฟูจิตต้นกำเนิดและรากฐานวิญญาณ”
ลู่ยาปล่อยข้อมือเขา กล่าวพึมพำ
มู่จิ่วได้ยินคำของเขา สีหน้าก็ผ่อนคลายขึ้น “พูดได้ว่าตระกูลอวิ๋นมีหนทางช่วยแล้ว?”
ลู่ยาไม่ได้พูดทันที แต่มองหน้าของอ๋าวเชินและอวิ๋นฉัวสองคนไปมาอย่างพินิจพิเคราะห์ จึงค่อยพูด “หากต้องการช่วยตระกูลอวิ๋น เป็นธรรมดาที่ก่อนอื่นต้องแน่ใจว่าอวิ๋นฉัวไม่ตาย ไม่เพียงไม่อาจตาย ยังต้องให้เขาอยู่อย่างแข็งแรงไปจนมีอายุแสนห้าหมื่นปี จากนั้นจึงจะถึงเวลาที่พร้อมควบคุมพลังวิญญาณคุ้มครองเผ่าพันธุ์ที่สืบทอดกันในราชาแต่ละรุ่นของหงส์เพลิง”
“หากต้องการไม่ให้เขาตาย ตอนนี้มีหนึ่งวิธี คือให้อ๋าวเชินมอบกุญแจจันทราหยางให้อวิ๋นฉัว”
คนทั้งห้องนิ่งอึ้ง
“ไม่ได้!” อ๋าวเชินพูดทันที “กุญแจจันทราหยินให้ได้ แต่กุญแจจันทราหยางให้ไม่ได้แน่นอน!”
ให้ไปแล้วเขาเองก็ต้องจบชีวิตมิใช่หรือ?
เขารับปากไม่ได้แน่นอน!
……………………………………………………………………