ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 209 การเลือกอันยากลำบาก
อ๋าวเจียงพูดอย่างดีใจ “สำเร็จแล้ว!”
มู่จิ่วพยักหน้า แต่กลับไม่ทันได้ยินดี นางรีบเก็บตาข่ายสวรรค์ไว้ในกำไล มุ่งไปทางเสียงที่เสือร้องดังมาต่อ!
แต่เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ใต้เท้าทั้งสองกลับพลันเหยียบความว่างเปล่า ชัดเจนว่าใต้เท้าตรงนั้นจมลงไปทันที!
“จับข้าให้แน่น!”
อ๋าวเจียงเป็นสัตว์เทพจึงหูไวตาไวกว่า ขณะเดียวกันกับตอนที่จมลงไป เขาพลันกลายร่างเป็นมังกรเปล่งแสงสีเงินสว่างไปรอบด้าน จับมู่จิ่วม้วนขึ้นไปกลางอากาศ
และตำแหน่งที่จมลงไปกลับพลันมีไฟพุ่งออกมา หินหนืดสีแดงเพลิงพุ่งกระจายไปทุกทิศ เปลวไฟนั้นเหมือนกับลิ้นแดงที่ยาวไร้ขอบเขตหลายเส้น คิดจะจับพวกเขาลงหลุมอย่างบ้าคลั่ง!
“รีบไป! พวกเราสู้ธาตุไฟไม่ได้ หากดึงดันต่อไปอาจไม่มีชีวิตรอด!”
มู่จิ่วจับเขามังกรไว้ พลิกตัวทีเดียวก็อยู่บนหลังเขา ก่อนเร่งกระตุ้นพลังลมปราณช่วยเขาขยับหนี
ท่าทางแบบนี้ แม้แต่ตาข่ายสวรรค์ก็ไม่มีประโยชน์! เพราะควบคุมตาข่ายสวรค์ต้องใช้พลังนาง อีกทั้งธาตุไฟสามารถข่มธาตุทอง นางเรียกพลังออกมาไม่ได้ ตาข่ายสวรรค์ก็ทำงานไม่ได้!
อ๋าวเจียงไม่ลังเล ลากเสียงยาวก้องกังวาน หัวจรดหางกระโดดออกจากเปลวเพลิงไปยังกลางอากาศ จากนั้นอาศัยชั้นเมฆบินออกจากหลุมไฟนี้!
จนไม่รู้สึกถึงพลังไฟแล้วเขาจึงหยุดลง อย่างไรก็ตาม เท้าเพิ่งแตะลงพื้นเขาก็หมอบลง ก่อนกระอักเลือดดังอึก…ถึงแม้พวกเขามีปฏิกิริยาตอบกลับได้ทันเวลา แต่เปลวเพลิงยังคงแผดเผาเขาจนเป็นแผลหลายแผลบนร่าง พลังไฟที่แข็งแกร่งมากเมื่อสักครู่ ก็ทำให้เขาสูญเสียพลังฤทธิ์ไปมากตอนเข้าปะทะ
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” มู่จิ่วรีบเข้าไปสำรวจบาดแผลอ๋าวเจียง จากนั้นรีบนำยาสองเม็ดใส่เข้าปากเขา
สภาพอ๋าวเจียงไม่ค่อยดีนัก ก่อนหน้านี้ก็ได้รับบาดเจ็บหนักที่วังหงส์เพลิง ถึงแม้หลังจากกินยาไปแล้วฟื้นฟูขึ้นมาบ้าง แต่ไหนเลยจะรับการโจมตีซ้ำๆ ได้? ย้อนกลับมาดูมู่จิ่ว เมื่อครู่ได้เขาปกป้องไว้ทันจึงไม่มีบาดแผล ความกังวลของนางตอนนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
“ข้าเรียกพลังขึ้นมาไม่ไหวแล้ว เจ้าไปช่วยพวกอาฝู ไม่ต้องสนใจข้า” เขาผลักนางออกไป หายใจหอบพลางพูด “เต้าจู่กับพ่อข้าล้วนไม่มีข่าวคราว ก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องหรือไม่ เจ้าไปก่อน ระวังตัวหน่อยแล้วกัน” เขาพูดพลางหมอบอยู่บนพื้นอย่างอ่อนแรง ราวกับแม้แต่แรงเปิดตายังไม่มี
มู่จิ่วรีบพูด “ข้าจะทิ้งเจ้าไว้ที่นี่คนเดียวได้อย่างไร? หากเจออันตรายอีก…”
นางไม่ใช่คนที่จะทิ้งพวกพ้องของตนไว้เสียหน่อย!
“ไม่หรอก” อ๋าวเจียงปรับลมหายใจก่อนพูด “ป่านี้ตายแล้ว ต้องพบเจอพลังวิญญาณถึงจะมีพลังสังหาร ข้านอนนิ่งๆ อยู่ที่นี่ ไม่ตายหรอก! กลับกันหากเจ้าไม่ไป เกรงว่าพวกอาฝูจะมีอันตราย! อย่าลังเล รีบไปเถอะ!”
เขากลั้นหายใจ ผลักนางออกไปอีก
และตอนนี้เสียงร้องคำรามของเสือดังขึ้นจากที่ไกลๆ อีก ขณะเดียวกันก็มีเสียงต่อสู้มาด้วย!
ใจมู่จิ่วยิ่งกังวล ตอนนี้ไม่รู้ลู่ยาไปที่ไหน?
นางเร่งพลังฤทธิ์บนกำไลม่วงทอง ทว่าไม่มีเสียงตอบกลับอยู่นาน!
…แม้แต่ลู่ยาก็ไร้ร่องรอยไปแล้ว!
“ไม่ต้องรอแล้ว! รีบไป!”
อ๋าวเจียงผลักนางเต็มแรง จากนั้นจึงหมดแรงล้มลงไปบนพื้น
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มู่จิ่วก็ไม่ลังเลอีก นางลุกขึ้นมา ถอดกำไลม่วงทองออกจากมือไปใส่มือเขา “เจ้าใส่สิ่งนี้ไว้ ห้ามทำหายเด็ดขาด! อีกเดี๋ยวลู่ยาต้องหาเจ้าเจอแน่นอน!”
พูดจบนางก็มุ่งไปทางป่าลึกทิศตะวันตกเฉียงเหนืออย่างรวดเร็วโดยไม่หันหน้ากลับ!
อ๋าวเจียงคืบคลาน คิดจะคืนกำไลให้นาง แต่ยังไม่ทันลุกได้ ด้านหน้าก็พลันมืดลง สลบลงกับพื้น
ลู่ยาก็ดูออกว่ากองหินระเกะระกะมีภูมิประเทศรอบด้านเหมือนกับค่ายกลผังแปดทิศ เขากลัวว่าพวกมู่จิ่วตามมาจะขวางทาง ดังนั้นจึงให้พวกเขารออยู่ที่เดิม
เมื่อมองไปรอบด้านรอบหนึ่ง จึงพบว่าถึงแม้จะเป็นรูปแบบของผังค่ายกลจริง แต่แก่นค่ายกลเสียหายไปแล้ว อีกทั้งผ่านมายาวนาน ไม่รู้แล้วว่าใครเป็นคนสร้างขึ้น กำลังกลับไปถึงกองหินระเกะระกะเพื่อบอกให้พวกเขาสองคนเปลี่ยนที่ค้นหา ไหนเลยจะรู้ว่ากลับมาแล้วไม่เห็นเงาพวกเขา! ลู่ยารีบเคลื่อนไหวด้ายแดงบนข้อมือ ทว่าไม่มีการตอบกลับเช่นกัน!
“อาจิ่ว!”
เขาเริ่มตะโกนเรียก รอบด้านสงบเงียบ แม้แต่เสียงลมสักนิดยังไม่มี!
พวกเขาไปไหน?
จิตใจของเขาหนักอึ้งทันที อ้อมหุบเขาไปหลายรอบ ก็ไม่มีการตอบกลับมาแม้แต่น้อย! เขาร้อนใจจนควานมือวุ่นวายในแขนเสื้อ ก่อนพลิกเอาผ้าเช็ดหน้าพิมพ์ลายดอกเหมยแดงออกมา นี่คือแร่ปรอทที่กดมาจากหน้าผากนางตอนวาดภาพอยู่เรือนในวันนั้น แต่เดิมตอนนั้นแค่เล่นกัน ตอนนี้มันกลับกลายเป็นอุปกรณ์ที่ดีที่สุดในการตามหานาง!
เขาตามกลิ่นอายมู่จิ่วทางด้านหน้าไปจนถึงกลางป่า ตลอดทางไม่มีอะไรผิดปกติ อย่างไรก็ตาม ยิ่งเดินเข้าไปอีกหลายก้าวกลับรู้สึกว่าพลังวิญญาณเคลื่อนไหวอย่างประหลาดมาก กลิ่นอายของนางลอยวนไปมาอยู่กลางป่า
“เป็นค่ายกลไร้รูป!”
ไร้รูปเป็นวิธีการพูดของศาสนาพุทธ แต่ในอดีตองค์ยูไลก็แยกออกมาจากลัทธิเต๋า ดังนั้นค่ายกลนี้ไม่เพียงมีแก่นแท้ของวิชาเต๋า ยังรวบรวมทุกสรรพสิ่งของวิชาพุทธไว้ด้วย!
เขารีบรวบรวมพลังฤทธิ์เพื่อฉีกมุมทางเหนือของค่ายกล อาศัยไฟสมาธิทำลายค่ายกลนี้ จากนั้นกระตุ้นด้ายแดงบนข้อมืออีกครั้ง ครั้งนี้กระดิ่งเล็กด้านบนเคลื่อนไหว ส่งเสียงกระจ่างใสออกมา!
ในขณะเดียวกัน เสียงกระดิ่งก็ได้ชี้นำทิศทาง เขาพุ่งไปยังป่าลึกโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย!
เมื่อถึงที่ราบ กระดิ่งจึงค่อยๆ หยุดลง แต่บนตะไคร่น้ำที่ราบภูเขากลับมีคนหมอบอยู่ กำไลม่วงทองบนข้อมือทิ่มแทงสายตาเหมือนดาวในคืนหิมะ!
“อาจิ่ว!”
ลู่ยาหลุดเสียงพุ่งเข้าไป แต่นี่คือมู่จิ่วเสียที่ไหน? ดูเสื้อก็ชัดเจนแล้วว่าเป็นอ๋าวเจียงที่อยู่กับนาง!
ใจลู่ยาราวกับมีเปลวไฟ ไม่ทันได้พูดสิ่งใด มือก็กดลงไปบนอกอ๋าวเจียง พลังลมปราณราวกับคลื่นยักษ์กระทบเข้าไปในหัวใจเขาอย่างรุนแรง
อ๋าวเจียงไหนเลยจะรับพลังแข็งแกร่งขนาดนี้เข้าไปได้? ตอนนี้อ้าปากกว้างราวกับปลาใกล้ตายหอบหายใจ! แต่เช่นนี้ทำให้เขาฟื้นขึ้นมา หลังจากเปิดตาแล้วเห็นชัดว่าเป็นลู่ยาก็เตรียมเปิดปากพูด แต่ลู่ยากลับบีบคอเขาไว้พลางพูดอย่างเกรี้ยวกราด “อาจิ่วล่ะ?! นางไปไหน! ทำไมกำไลของนางถึงมาอยู่ในมือเจ้า!”
อ๋าวเจียงที่เพิ่งฟื้นกลับมาถูกลู่ยาบีบคอไว้แบบนี้ก็พลันอยากตาย เขาปรับลมหายใจอย่างยากลำบาก ก่อนพูด “นางไปช่วยอาฝู นางเอากำไลให้ข้า กลัวข้า…กลัวข้าตายที่นี่…”
ในดวงตาลู่ยาพลันมีประกายไฟลุกโชน เพื่อปกป้องคนอื่นนางถึงกับทิ้งกำไลที่เขาให้ไปไว้หรือ?
นั่นเป็นกำไลที่เขาให้นาง!
เป็นเขาที่ย้ำแล้วย้ำอีกว่าห้ามถอดออก!
ไม่มีกำไลเขาจะไปหานางได้ที่ไหน?!
ใจเขาพูดไม่ออกว่ารู้สึกแบบใด เขาเก็บมือกลับมา ลูบหน้าอย่างอ่อนล้า
ลู่ยาเงยหน้ามองรอบๆ พยายามปรับอารมณ์ให้สงบ “นางมุ่งหน้าไปทางไหน?”
“ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ!” อ๋าวเจียงฝืนชี้ไปด้านหลังเขาพลางพูด
เขาไม่รู้ว่ากำไลนี้สื่อแทนความหมายอะไร สีหน้าของลู่ยาทำให้ใจเขารู้สึกถึงลางร้าย ราวกับกลัวอีกฝ่ายเปลี่ยนใจ เขาใช้มือทั้งสองยันพื้นยืนขึ้น ก่อนชี้ไปข้างหน้า “ข้าจะไปกับท่าน! อาฝูมีอันตราย นางรอพวกเราไปช่วยนางอยู่!”
ลู่ยายืนขึ้นมองเขาคราหนึ่ง จากนั้นกัดฟันหันหน้าเดินไป
…………………………………………………………