ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 215 ผิดปกติเล็กน้อย
ลู่ยาไม่ขยับเขยื้อน
พวกอ๋าวเชินก็ไม่กล้าขยับ แม้แต่หายใจยังไม่กล้าเสียงดัง
เมื่อแต่ละคนยืนนิ่งนานพอแล้ว ซ่างกวนสุ่นถึงได้พูดตะกุกตะกัก “เอ่อ มู่จิ่วไปแล้ว แบบนั้นข้าก็ไปล่ะ”
พูดจบเขาเรียกเมฆมาแล้วกระโดดขึ้นไป
อ๋าวเชินกำลังจะรั้งไว้ อวิ๋นฉัวที่ไม่ได้ส่งเสียงมาตลอดพลันชี้ไปยังกองหินระเกะระกะทางตะวันตกเฉียงเหนือพลางพูด “นั่นคืออะไร?”
ทุกคนล้วนมองตามไป เห็นเพียงใต้เขาที่ถล่มลงเผยถ้ำครึ่งหนึ่งออกมา ในถ้ำมีใยแมงมุมขนาดใหญ่ และบนใยแมงมุมมีบางอย่าง มันส่องแสงสว่างบางเบาภายใต้ฟ้าอันมืดมิดนี้!
“ไปดู!”
อ๋าวเชินที่อยากจะไปจากที่นี่เร็วๆ บังคับลมมุ่งหน้าเข้าไปทางนั้นก่อน
อวิ๋นฉัวเรียกความกล้าเดินไปตรงหน้าลู่ยา “ท่านเทพอาจเหนื่อยแล้ว มิสู้พวกเราค่อยมาวันหลังก็ได้”
ลู่ยานิ่งไม่ขยับอยู่นาน ตอนอวิ๋นฉัวจะล้มเลิกความตั้งใจเขาจึงหันหน้ามา ก่อนเดินช้าๆ ไปที่ถ้ำนั้น
นี่คือถ้ำที่เต็มไปด้วยฝุ่นดิน ปกคลุมไปด้วยใยแมงมุม ตอนนี้ยอดถ้ำถูกมู่จิ่วทลายลงแล้ว มีเพียงก้นถ้ำที่ถูกเผยให้เห็น ตรงกลางก้นถ้ำมีโต๊ะหินอยู่ตัวหนึ่ง ใยแมงมุมใหญ่นั้นสร้างอยู่บนโต๊ะ ขึงไปรอบด้าน บางอย่างบนใยแมงมุมคือแมงมุมแดง แต่ตอนนี้มันสัมผัสได้แล้วว่ามีคนมา แม้แต่ใยแมงมุมก็ยังถูกฉีกขาด
“แมงมุมมีสิ่งผิดปกติ!”
อ๋าวเชินพูด เสียงเจือไปด้วยความตื่นเต้น
ป่าผืนนี้แต่เดิมก็ประหลาดจนยากจะบรรยาย หากบอกว่าบึงน้ำสีดำนั้นกับมู่จิ่วที่พวกเขาพบเจอก่อนหน้านี้ยังเป็นไปได้ว่าคือพลังธรรมชาติ แบบนั้นถ้ำกับแมงมุมตัวนี้หมายถึงอะไร? โต๊ะหินชัดเจนว่ามีคนตั้งใจมาวางไว้ ใยแมงมุมก็สร้างอย่างสมบูรณ์แข็งแรงขนาดนี้ หากไม่มีวิชาควบคุมไว้ก็ไม่มีหนทางทำได้!
ลู่ยาขมวดคิ้วมอง พูดเบาๆ ว่า “นี่คือแมงมุมกลืนวิญญาณ ฆ่ามัน!”
ซ่างกวนสุ่นรับคำสั่ง เงาหนึ่งสายหนึ่งพาดผ่านไป พริบตาเดียวเขาก็ตบแมงมุมที่จะกระโดดหนีด้วยฝ่ามือเดียวจนกลายเป็นเศษเนื้อ
ทุกคนตื่นตกใจ แต่รู้เช่นกันว่าแมงมุมกลืนวิญญาณเป็นแมงมุมพิษอันดับหนึ่งในโลกปีศาจ ขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในสัตว์มีพิษที่ขโมยพลังฤทธิ์ของคนมาเลี้ยงร่างตนเอง สัตว์มีพิษเช่นนี้หนึ่งตัวซ่อนอยู่ในถ้ำ ไม่รู้ว่าสูบกินพลังไปเท่าไหร่แล้ว
“ไปดูว่าใยแมงมุมมีเส้นแวงสามสิบหกเส้น เส้นรุ้งหนึ่งร้อยแปดเส้นหรือไม่”
ลู่ยาไม่ขยับ น้ำเสียงยังคงเชื่องช้าหนักแน่น
ทุกคนรีบเข้าไปนับ
ไม่นานอวิ๋นฉัวก็ถอยกลับมา “ไม่ผิด! มีแส้นแวงสามสิบหกเส้น เส้นรุ้งหนึ่งร้อยแปดเส้น!”
“ใช้ธาตุไฟของเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงของพวกเจ้าเผามัน จากนั้นอ๋าวเจียงใช้ธาตุน้ำนำขี้เถ้าที่ถูกเผาสาดไปทั้งสี่ด้านแปดทิศ” ลู่ยาพูด “นี่คือวิชาปีศาจที่ควบคุมชะตาชีวิตของพวกเจ้าสองเผ่าบนกุญแจจันทรา แมงมุมกลืนวิญญาณดูดกลืนพลังของพวกเจ้าทั้งสองเผ่าไป และถูกคนควบคุมเพื่อบังคับชะตาชีวิตที่นี่ หากใยแมงมุมไม่ขาด พวกเจ้าก็หนีไม่พ้นเคราะห์นี้ตลอดไป”
“ตอนนี้ถึงแม้ใยแมงมุมขาดแล้ว แต่วิชาปีศาจของคนผู้นี้ถึงขั้นสามารถควบคุมชะตาชีวิตของเผ่าเทพ ต้องทำลายให้สิ้นซาก”
“หลังจากทำลายแล้ว อ๋าวเชินไปหาข้าที่วังชิงเสวียนเพื่อเอายาลดเวลาจำกัดการฟื้นฟูจิตมังกร หลังจากนั้นห้าร้อยปี รอจิตมังกรเจ้าฟื้นคืนสู่สภาพเดิมค่อยนำกุญแจจันทราหยางให้อวิ๋นฉัว ก่อนถึงเวลานี้ อวิ๋นฉัวสามารถปิดด่านใช้กุญแจจันทราหยินบำรุงวิญญาณต่อชีวิต”
อ๋าวเชินกับอวิ๋นฉัวฟังจบล้วนตื่นเต้น รับคำสั่งแล้วลงมือทันที
ลู่ยาหันหลังไปพูดกับซ่างกวนสุ่น “เจ้ารั้งอยู่ช่วยเรื่องภายหลัง คดีนี้อย่างไรก็ต้องสิ้นสุด กลับไปอาจิ่วต้องสรุปคดี พวกเจ้าช่วยนางให้ดีๆ”
ซ่างกวนสุ่นชะงักเล็กน้อย ยืนอยู่ที่เดิมขณะมองเขาหายไปในทะเลเมฆอันกว้างใหญ่
………………
ตอนมู่จิ่วตื่นมาในห้องยังมืดสนิท นางลุกขึ้นมาหยิบไข่มุกราตรีจากในห่อผ้าวางไว้บนแท่นตะเกียง ภายในห้องจึงพลันสว่างไสวขึ้นมา
ในเรือนไม่มีคน สภาพแวดล้อมเป็นอย่างที่นางคุ้นเคย กลิ่นก็เป็นกลิ่นที่นางคุ้นชิน นางนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียง ปิดตาลงอีกครั้ง
นางนอนไปนานเท่าไหร่ก็ฝันไปนานเท่านั้น คนในภาพฝันลอยมาแล้วหายไป ไม่มีหยุดพัก
“จิ๋วจิ่ว เจ้าตื่นแล้ว?”
เสี่ยวซิงผลักประตูเข้ามา น้ำเสียงแหบแห้งอยู่บ้าง
มู่จิ่วพยักหน้า ถอนหายใจลุกขึ้นมา นั่งอยู่ริมเตียงพลางจ้องนาง
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง พวกเขาล้วนไม่เปลี่ยน เรือนนี้ก็ไม่เปลี่ยนไป เหมือนมีเพียงนางที่เปลี่ยน
“จิ๋วจิ่วเป็นอะไรไป?”
เสี่ยวซิงเอาหลังมือลูบหน้านาง สายตาเต็มไปด้วยความกังวล
เมื่อวานทั้งวันนางรู้สึกกระวนกระวาย ยังไงก็ไม่สามารถสงบใจลงได้ ขอบฟ้าสว่างแล้วนางก็ยังไม่หลับ
เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับนางมาก่อน นางรู้สึกว่าตนเองกำลังกังวลอะไรอยู่ แต่จะกังวลอะไรได้? นางมีเพียงมู่จิ่วเป็นคนใกล้ชิดคนเดียว จึงกังวลได้เพียงเรื่องมู่จิ่ว หรือว่าเกิดเรื่องขึ้นกับมู่จิ่ว?
นางกำลังพลิกไปมาบนเตียง อาฝูก็แบกร่างมู่จิ่วที่เต็มไปด้วยเลือดกลับมา ทำให้เสี่ยวซิงสะดุ้งตกใจ ยังดีที่สุดท้ายไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
“ข้าเหมือนจะผิดปกตินิดหน่อย” มือทั้งสองข้างของมู่จิ่วกดเข่าเบาๆ ทั้งยังพูดอย่างอึดอัด “ข้าเกือบทำร้ายลู่ยาแล้ว”
นางไม่อยากหวนนึกถึงภาพนั้นจริงๆ แต่การหนีคือหนทางหรือ? นางในตอนนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว นางจะทำร้ายลู่ยาได้อย่างไร? เขาเป็นถึงเทพเซียนสูงส่งที่มีจำนวนนับนิ้วได้ในใต้หล้านี้ แน่นอนว่าตอนนี้นางจำได้แล้ว ตอนนั้นเขาตั้งใจถอยให้ แต่ถึงแม้ถอยให้ นั่นก็น่ากลัวเกินไป
“แล้วลู่ยากับซ่างกวนสุ่นล่ะ? ทำไมพวกเขายังไม่กลับมา?”
เสี่ยวซิงถามอีก อาฝูพูดไม่เป็น ทำได้เพียงรีบผลักนางไปข้างมู่จิ่ว นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเลย
“ซ่างกวนสุ่นข้าไม่รู้ ลู่ยาเขา…” มู่จิ่วปวดร้าวในใจ เหยียดขาลงจากเตียง “เขาคงไม่กลับมาแล้ว”
เสี่ยวซิงไม่รู้จะพูดอะไรดี
ความกังวลของนางกลายเป็นความจริงแล้ว ความเจ็บปวดจริงๆ ของมู่จิ่วไม่ได้อยู่ที่เลือดบนเสื้อผ้า แต่อยู่ที่หัวใจนาง
“เสี่ยวซิง” มู่จิ่วพลันหมุนตัวมา “เจ้าไปเก็บของ พวกเรากลับหงชางกัน”
เสี่ยวซิงตกใจ ยังไม่ทันได้พูด มู่จิ่วกลับกระชับเสื้อเดินออกจากประตูไป
ท้องฟ้าสว่างแล้ว เสี่ยวซิงกลัวแดดแผดเผานาง ดังนั้นจึงเพิ่มผ้าม่านไปที่หน้าต่างอีกหลายชั้น
มู่จิ่วมองไปฝั่งตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว ประตูห้องยังปิดอยู่ กลิ่นไม้กฤษณาที่แต่ก่อนมักลอยอยู่ในอากาศเสมอ ไม่ได้เข้มข้นขนาดนั้นแล้ว
ในอ่างหินบนระเบียงทางเดินเลี้ยงปลาใหญ่เล็กไว้หลายตัว ความคิดนางชะงัก เพิ่งนึกขึ้นมาได้ นี่คือปลาที่เมื่อวานนางซื้อกลับมาตอนตามเขาไปตลาดที่ประตูสวรรค์แดนใต้ ยังไม่ทันได้ทำให้เขากิน
“ในเมื่อพวกเราต้องกลับหงชาง กลางวันต้มปลาเหล่านี้ดีหรือไม่?” เสี่ยวซิงถามอยู่ด้านหลัง
รุ่ยเจี๋ยกับอาฝูเดินมาจากใต้ต้นดอกท้อ ยืนอย่างสงบที่ด้านหน้า “พี่สาว พวกท่านต้องจากที่นี่ไปหรือ? อาจารย์ของข้าไม่กลับมาแล้ว?”
มู่จิ่วชะงัก
นางลืมไปว่าเขายังมีลูกศิษย์อยู่ที่นี่คนหนึ่ง
“ข้าต้องกลับไปหลายวัน ไว้ข้าจะส่งเจ้ากลับชิงชิว แล้วเจ้าให้พ่อเจ้าพาไปวังชิงเสวียนดีหรือไม่?” นางพูด
รุ่ยเจี๋ยส่ายหน้า “ข้าไม่ไป อาจารย์ต้องกลับมา ข้าจะรอเขาอยู่ที่นี่ พี่สาว ท่านก็อยู่รอเขาเถอะ!”
กระบอกตามู่จิ่วแสบร้อน ยกยิ้มพูด “เด็กโง่” นางยืนขึ้น ครุ่นคิดก่อนหันกลับมาพูด “หากเจ้าไม่ยอมไป ตามข้ากลับหงชางก็ได้” ยังไงถึงตอนนั้นให้หลิวหยางส่งเขาไปชิงชิวก็เหมือนกัน
…………………………………………………