ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 225
ตลอดทั้งวันนี้นางรู้สึกใจไม่อยู่กับตัวอยู่บ้าง
งานบนโต๊ะแต่เดิมควรจัดการจนเสร็จในแต่ละวัน สิ่งที่ควรจะส่งก็ส่ง สิ่งที่ควรจัดการก็จัดการ แต่ทั้งวันนางทำเพียงนั่งอยู่ในห้องไม่ขยับ อาฝูเข้ามากัดขากางเกงร้องเรียกให้นางกลับไปกินข้าว นางไม่สนใจ ร้องให้นางเตรียมตัวเลิกงาน จนกางเกงของนางเกือบเปียกชุ่มเพราะถูกน้ำลายเขาถึงได้คืนสติแล้วกลับลุกขึ้นมา
หากบอกว่าคำพูดของหลิวหยางเตือนสตินางแล้ว คำพูดของอ๋าวเจียงยิ่งเหมือนกระตุ้นคลื่นพันชั้นในใจนางให้กระเพื่อม
สองเดือนนี้สิ่งที่นางคิดถึงมากกลับไม่ใช่ปัญหาและความขัดแย้งระหว่างนางกับเขาที่นางเอ่ยถึง แต่เป็นตัวเขาเอง เป็นทุกช่วงเวลาที่นางอยู่กับเขา เป็นความสุขทุกข์ของเขา เป็นการเปลี่ยนแปลงของเขา การยอมถอยให้ของเขา ทั้งหมดของเขา ปัญหาเหล่านั้นที่นางพร่ำพูด กลับกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่นางจะนึกถึง
ตอนเขาเต็มอกเต็มใจรอนาง แต่นางยังคิดเล็กคิดน้อยกับเขาเรื่องผิดหลักการหรือไม่
ถึงแม้นางยังเข้าใจว่าสิ่งที่ตนเองทำไม่ผิด แต่เขามีความผิดหรือ?
หากใจนางมีเขา ตอนนั้นก็ไม่ควรกล่าวโทษเขาหรือไม่?
นางพาสมองกลวงเปล่ากลับบ้าน ไม่กินข้าวเย็น ตรงไปยังห้องเลย
คำพูดของอ๋าวเจียงยังคงหลอกหลอนอยู่ในสมองของนางเสมอ ไปหาเขาเถอะ ไปหาเขาเถอะ เหมือนกับเสียงอสุรกายระลอกแล้วระลอกเล่ามัวเมานาง
เขาพูดมามากขนาดนั้น นางกลับจำได้เพียงแค่ประโยคเดียว
นางนั่งจับกำไลอยู่ข้างโต๊ะ วางไว้ตรงหน้าอกพลางถอนหายใจ
หลับตาลงล้วนเห็นแต่ลู่ยา ท่าทางอวดเบ่งของเขา ท่าทางนินทาของเขา ท่าทางโมโหของเขา ท่าทางเอาใจของเขา ท่าทางเจ็บปวดของเขา สุดท้ายคือท่าทีจนปัญญาและใจสลาย จะว่าไปแล้ว ท่าทางเหล่านี้ล้วนเป็นอาการที่เขาแสดงออกให้นางเห็นเพียงคนเดียว
หากบอกว่าความรู้สึกตอนแรกเริ่มเกิดจากเขายื่นมือเข้าช่วยได้ทันเวลา เช่นนั้นอาการแอบดีใจของนางยามที่เขาอธิบายว่าไม่ได้พบเจออ๋าวเยวี่ยที่วังมังกร ความโอนอ่อนยามที่เขาวาดภาพดอกไม้ลงบนหน้าผากนาง ความชิดใกล้เบิกบานใจยามที่พานางไปอาบแสงจันทร์ริมทางช้างเผือก นับว่านางรู้สึกอย่างไรกันแน่?
ทั้งหมดล้วนเป็นจิตใต้สำนึก
เหมือนกับตอนนางผงะถอยไปโดยไม่รู้ตัวเมื่ออ๋าวเจียงถามนางว่าชอบเขาหรือไม่ เหมือนกับที่นางวิ่งหนีไปตอนที่หลินเจี้ยนหรูต้องการซื้อของให้ในโลกมนุษย์ เรื่องเหล่านั้นล้วนเป็นสัญชาตญาณในการปฏิเสธ
เพียงแต่อย่างหนึ่งเป็นสัญชาตญาณในการยอมรับ อีกอย่างหนึ่งเป็นสัญชาตญาณในการปฏิเสธ
นางเปิดตา ลุกขึ้นนั่งอย่างไม่รู้ตัว
ค่อนข้างยากที่นางจะกดความทุกข์ของความคิดถึงนี้ลงไปได้
เพียงแค่ลู่ยาไม่เคยปรากฏตัวมาตลอด ไม่รู้ตอนนี้เขาคิดอย่างไรบ้าง?
ปล่อยผ่านไปแล้ว? ตัดขาดไปแล้ว? หรือยังรอนางอยู่?
นางพลันอยากไปหาเขาแล้ว
….ก็ไม่แน่ว่าจะเจอเขา แต่ไปสำรวจทางก่อนก็ได้ หากนางไม่กล้าเผชิญหน้าจริงๆ
นางคิดถึงเขาเกินไปแล้ว
ถึงแม้ยังคิดไม่ออกว่าจะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร แต่ก็สามารถไปแอบดูเขาได้มิใช่หรือ?
ไปดูสถานที่ที่เขาอยู่ก็พอ
ดูว่าทุกวันเขาเดินผ่านที่ไหน เดินเล่นที่ไหน หยุดที่ใด
เขารู้จักนางทั้งหมด แต่ตอนนี้นางเพิ่งค้นพบว่าที่แท้นางไม่เคยไปทำความรู้จักเขาเลย
เป็นเขาที่ไม่ให้นางทำความรู้จักหรือ?
ไม่ใช่ ตัดเรื่องปิดบังในตอนแรกไป ภายหลังล้วนเป็นเขาที่เริ่มให้โอกาสนางรู้จักเขาก่อน เพียงแต่นางไม่ใส่ใจมาตลอด
นางรู้สึกเสมอว่าใต้ฟ้านี้ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา จิตใต้สำนึกจึงปฏิเสธไม่ให้ถลำลึกลงไป
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยไม่อยากให้นางทำความรู้จักเขา
ตอนนั้น ที่จริงเขาก็หวังให้นางใคร่รู้เกี่ยวกับตัวเขามากกว่านี้หน่อยแล้วกระมัง?
เขารอนางอย่างช้าๆ มาโดยตลอด…
ใจนางราวกับมีมีดกรีด นางพลันใส่กำไลกลับเข้ามือ จากนั้นเดินออกประตูไป
ลมเย็นพัดมา ทิ่มแทงกระบอกตานางจนเจ็บแปลบขึ้นอีก
เสี่ยวซิงที่ให้อาหารอาฝูอยู่ที่ระเบียงทางเดินถาม “จิ๋วจิ่วเจ้าจะไปไหน?”
นางเงียบไปนานก่อนตอบ “ข้าจะออกไปเดินเล่น”
นางผลักประตูออกไป เมื่อมาถึงบนถนน ตอนแรกยังเดินช้าอยู่บ้าง แต่ภายหลังกลับเร่งรีบขึ้น!
ถนนใหญ่ตรอกเล็กเหล่านี้ นางกับลู่ยาล้วนเคยเดินผ่าน จนวันนี้นางยังเดินอยู่ แต่เขากลับไม่อยู่แล้ว
นางวิ่งออกจากประตูสวรรค์แดนใต้ พุ่งตัวออกไปยังทะเลเมฆอันกว้างใหญ่
แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยไปสวรรค์ชั้นสามสิบเก้ามาก่อน ก็ไม่รู้ว่าควรเดินทางไปอย่างไร แต่ในเมื่อเหยียบขึ้นมาบนทางนี้แล้ว จะอย่างไรก็คงหาเจอ
หวังว่าเขาคงยังอยู่…
ขอเพียงเขายังอยู่
……………………..
ลู่ยายืนเติมไฟให้กระดิ่งอยู่หน้าเตาเขาแพะ
ทุกๆ หนึ่งชั่วยามเขาต้องมาเติมไฟที่เตา
กระดิ่งโกรธจนตัวสั่น “หากแน่จริงท่านก็หลอมข้าไปเลย!”
ทรมานกันแบบนี้นับเป็นยอดชายชาตรีอะไร เขาเป็นกระดิ่งวิเศษ แต่เดิมก็ไม่ควรได้รับการปฏิบัติแบบนี้!
ลู่ยาไม่สนใจเขา เพียงเติมไฟเข้าไปอีกอย่างไม่อนาทรร้อนใจ
วิชาปราบกระดิ่งที่จริงเขาคิดได้นานแล้ว สิ่งที่เขามีคือเวลาทรมานกระดิ่งอย่างช้าๆ ถึงขนาดกล้าถือว่าตนถูกสร้างโดยปฐมวิญญาณ แม้แต่เขาก็กล้าลงมือ หากกระดิ่งนี่ไม่คิดมีชีวิตอยู่แล้วจะเป็นอะไรได้? เขาจัดการคนอื่นไม่ได้ แต่กับเจ้ากระดิ่งนี่จะจัดการไม่ได้หรือ?
เขาพ่นลมเข้าไปในเตา เปลวเพลิงยิ่งลุกโชนขึ้นมา
กระดิ่งยิ่งแดงขึ้นทันใด ตอนนี้แม้แต่คำพูดดีๆ ยังพูดไม่ออก ทำได้เพียงร้องตะโกนอย่างต่อเนื่อง
“น้องสี่ เจ้าพอได้แล้วกระมัง? อย่างไรกระดิ่งนี้ก็เป็นของที่อาจารย์ให้ข้า เจ้าทำกับเขาแบบนี้ไม่ได้!”
หุนคุนยืนประท้วงอยู่ข้างหลัง พ่อหนุ่มคนนี้ช่างดื้อรั้นนัก ตอนแรกส่งจิ้งจอกเก้าหางมาขโมยกระดิ่งที่วังเขา ขโมยไม่ได้ก็ส่งมาแอบสับเปลี่ยนของ คิดว่าเขาไม่รู้หรือ! นี่ยังดีที่จิ้งจอกเก้าหางทำไม่สำเร็จ ตัวลู่ยากลับมาทำเอง คนผู้นี้ไม่อาจปล่อยให้ว่างได้จริงๆ ให้ไปวุ่นหาหญิงคนนั้นก็ดีแล้ว
“เซิ่งจุนช่วยข้าด้วย!” กระดิ่งเห็นสถานการณ์ก็ร้องห่มร้องไห้
ลู่ยาพูดพลางเป่าลมเข้าไปในเตา ได้ยินเพียงกระดิ่งนั้นส่งเสียงร้องโหยหวน พลันสะบัดตัวร้องอย่างเจ็บปวด
หุนคุนทนดูต่อไปไม่ไหว “หากเจ้าว่างจนเพี้ยนนัก มิสู้ไปช่วยข้าขุดดิน?”
ลู่ยาเห็นระดับไฟได้ที่แล้วจึงยืนขึ้น พลางล้างมือในอ่างน้ำที่วิหคชิงหลวนยกมา จากนั้นนั่งลงบนตั่งก่อนพูด “หากท่านว่างขนาดนี้ มิสู้กลับไปขุดดินของท่านก่อน?”
หุนคุนจนปัญญา
ลู่ยาเหลือบมองเขา อารมณ์ไม่ดีนัก
หลังจากเขาทำกระดิ่งแตก เป็นใครที่แรกสุดมีความสุขบนทุกข์ของคนอื่น? ในเมื่อตอนแรกรู้จักดูเรื่องตลกของเขา ตอนนี้ทำไมถึงรับไม่ได้? เขายังไม่ได้ทำอะไรกับหุนคุนเลย
“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หากไม่ใช่เพราะจื่อจิ้ง เจ้าก็คงไม่เจอเด็กสาวคนนั้นมิใช่หรือ?”
หุนคุนไม่ปะทะกับเขาตรงๆ เรื่องเวรเล็กน้อยเหล่านั้นของลู่ยากับเด็กสาวแซ่กัวนั่น ทำไมเขาจะไม่สืบมาไม่ได้? ไม่เพียงเขารู้ หนี่ว์วาก็รู้ หุนคุนคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าลู่ยาจะเลือกหัวเสินน้อยที่แม้แต่เซียนยังไม่ใช่ แน่นอน เลือกคู่ครองแบบไหนสำหรับพวกเขาแล้วไม่มีอะไรแตกต่าง แข็งแกร่งอย่างไรก็ไม่แกร่งไปกว่าพวกเขาสามสี่คนนี้
ที่สำคัญคือ ตัวเจ้าเองเลือกเด็กสาวที่แตกต่างกันขนาดนี้ ต่อไปเกิดเสียใจขึ้นมา ก็ไม่สามารถนำของวิเศษของเขามาพ่นไฟใส่มิใช่หรือ?
“พูดแบบนี้ ข้ายังต้องขอบคุณพวกท่าน”
ลู่ยาส่งสายตาคมกริบไป
“นี่เป็นเรื่องจริง” หุนคุนแบมือพูด “หากไม่ใช่เพราะเขา เจ้าก็ไม่เจอนาง ไม่อาจอยู่กินกับนางได้”
เพื่อความใกล้ชิด กลับยังบอกว่าถูกศิษย์พี่ที่แย่งชิงอำนาจล่าสังหาร? คิดถึงเรื่องนี้เขาก็โกรธจนใจเจ็บ
…………………………………………