ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 229 ดอกไม้ที่มีหยาดน้ำค้าง
เมื่อแสงอาทิตย์อาบจนถึงพื้นหน้าต่าง ในที่สุดมู่จิ่วก็ออกมา
ลู่ยาเดินติดตาม นางไปถึงไหนเขาก็ตามไปถึงนั่น เขาไม่ได้ตั้งใจตาม แต่เพียงเห็นนางอยู่ที่ไหน เท้าก็ก้าวเข้าไปเอง มู่จิ่วเห็นแล้วรู้สึกว่าเกินไปหน่อย จึงให้เขากลับไปรอที่ห้อง ส่วนนางไปทำอาหาร
เสี่ยวซิงดูแล้วรู้สึกขัดตาอยู่บ้าง
ตอนมู่จิ่วมาที่ห้องครัว นางที่กำลังล้างผักอยู่จึงพุ่งเข้าไปเหมือนธนู “จิ๋วจิ่ว หลายวันมานี้เจ้าไปไหน?”
มู่จิ่วจับปลาจากในอ่างหินขึ้นมา หลังจากล้างแล้วจึงส่งให้นางลอกหนัง จากนั้นเด็ดหอมใหญ่ก่อนพูด “แน่นอนว่าไปหาลู่ยา”
เสี่ยวซิงอ้อมไปตรงหน้านาง “เจ้าพาเขากลับมาได้อย่างไร?”
มู่จิ่วคิดสักครู่ “เพียงแก้ไขความเข้าใจผิด ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นแล้ว”
ลู่ยายังเป็นคนมีเหตุผลนัก ไม่ได้ทำให้นางลำบากใจ นางรู้สึกว่าตนเองโชคดีไม่เลว อย่างไรเสีย มีแฟนหนุ่มที่มีเหตุผลก็เป็นเรื่องที่แล้วแต่โชค ไม่อาจร้องขอมาได้
เสี่ยวซิงอึ้งไป ก่อนพูดอีก “เขาไม่ได้รังแกเจ้าใช่หรือไม่?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร?” มู่จิ่วเอ่ย “แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยรังแกข้า”
เสี่ยวซิงพูดไม่ออก ตอนเช้าเห็นชัดๆ ว่าลู่ยาอยู่ในห้องนาง และนางยังนอนอยู่บนตักเขา…
ยังมีอะไรเรียกว่าไม่เคยรังแกนางอีก?
ตอนแรกใครแสร้งทำเป็นอ่อนแอเตรียมตระครุบเหยื่ออยู่ที่นี่? ใครหลอกลวงทำเหมือนนางเป็นคนโง่?
เอาละ เรื่องเก่าๆ เหล่านี้ไม่พูดถึงแล้ว พูดถึงแค่เรื่องนี้เท่านั้น คนสองคนทะเลาะกันมือข้างเดียวตบไม่ดัง ลู่ยาถึงแม้มีเหตุผล มู่จิ่วก็ไม่ได้ดีกว่าสักเท่าไหร่! ทำเหมือนนางไม่รู้ว่าทุกคืนมู่จิ่วนอนไม่หลับพลิกตัวไปมา! คืนนั้นกลับมาเลือดท่วมขนาดนั้น หรือว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บ?
อย่างไรนางก็อยู่ข้างมู่จิ่ว
แต่พวกเขาทั้งสองคืนดีกันแล้ว คำกล่าวเหล่านี้แต่ก่อนไม่เคยพูด ตอนนี้จะพูดทำอะไร
“แบบนั้นเจ้าสบายใจก็ดีแล้ว”
นางค้อนด้วยสายตา หยิบปลาแล้วเดินออกไป
มู่จิ่วไหนเลยจะไม่รู้ความคิดนาง?
ในสายตาของเสี่ยวซิงตนเองเป็นญาติเพียงคนเดียว ถึงแม้นางเล็บฉีกเสี่ยวซิงก็รู้สึกว่าเป็นความผิดของเล็บ
แต่ต่อไปรอเสี่ยวซิงพบคนในใจนางก็รู้เอง เรื่องแบบนี้ไม่สามารถใช้คำพูดมาอธิบายได้ชัดเจน
มู่จิ่วยุ่งอยู่ในครัว รุ่ยเจี๋ยกับอาฝูเข้าไปในห้องอาหารเหมือนกับลมพัด ถึงแม้ทุกคนไม่รู้ว่าแท้จริงพวกเขาเรื่องทะเลาะอะไรกัน แต่ดูออกว่าหวังให้ลู่ยากลับมานานแล้ว
มู่จิ่วกับลู่ยาไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรชัดเจนนักบนโต๊ะอาหาร แต่ถึงแม้ไม่พูดเลยสักคำ เพียงมองสายตานั้นก็มากพอแล้ว
เมื่อกินอาหารต่อไป เสี่ยวซิงก็ขนลุกชันสั่นแล้วสั่นอีก
ทว่าพูดไปพูดมา ที่จริงคนด้านข้างยิ่งมาก การพลอดรักกันย่อมลดน้อยลงไปบ้างเป็นธรรมดา มู่จิ่วต้องไปรับโทษกับหลิวจวิ้นที่หน่วย และลู่ยาต้องเพิ่มบทเรียนให้พวกรุ่ยเจี๋ย จากคำบอกกล่าวอาฝูก็ใกล้ผ่านด่านเคราะห์แล้ว ไม่อาจไม่ระมัดระวังหน่อย ดังนั้นทุกอย่างจึงต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิม
ตอนบ่ายไปหน่วยงาน หลิวจวิ้นไม่อยู่ มู่จิ่วเดินวนไปสำนักบัญชาการสักรอบจึงค่อยกลับมา
คืนนี้ลู่ยาพาพวกรุ่ยเจี๋ยไปฝึกควบคุมลมปราณยังโลกมนุษย์ที่มีพลังวิญญาณอุดมสมบูรณ์ จึงไม่กล่าวถึง
เช้าวันถัดมา มู่จิ่วตื่นขึ้นมาพบว่าตรงประตูมีดอกไม้ที่มีหยาดน้ำค้างสองดอก นางยื่นหน้าไปดูฝั่งตรงข้าม เห็นลู่ยายังไม่ตื่น
มุมปากมู่จิ่วอยากยกยิ้มอยู่ตลอด
นางหาขวดมาปักดอกไม้ลงไป จากนั้นเตรียมตัวไปหน่วยงาน
คิดถึงงานกองนั้นก็อดถอนหายใจไม่ได้ ประเด็นคือหลิวจวิ้นวัวคลั่งนั่นน่ากลัวนัก
เมื่อคืนลู่ยาบอกว่าจะไปเป็นเพื่อนนาง แต่นางปฏิเสธไป
ฐานะของเขาสูงส่งเกินไป หากต้องการรั้งอยู่ที่สวรรค์ อย่างไรก็อาจทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นไม่น้อย อีกอย่างนี่เป็นเรื่องที่นางต้องเผชิญหน้าเอง หากลู่ยาไปด้วย ถึงแม้สามารถรับประกันได้ว่าไม่ต้องกังวลเรื่องใด แต่ใช้อำนาจกดดันเรื่องแบบนี้ นางไม่คิดอยากทำ
เสี่ยวซิงที่ตกใจมาทั้งวันก็ค่อยๆ สงบลงแล้ว สำหรับนางพวกเขาทั้งสองมีเวลาว่าง หากเป็นเหมือนนางที่ทุกวันยุ่งวุ่นวาย ตอนแรกจะยังมีเวลาไปทะเลาะหรือครุ่นคิดเรื่องเหตุผลของชีวิตที่ไหนกันล่ะ? พูดถึงตรงนี้นางก็คิดถึงซ่างกวนสุ่น เจ้าคนนี้ไม่กลับมาสองเดือนแล้ว เขาจะกลับมาหรือไม่นะ?
กินข้าวเสร็จมู่จิ่วก็ไปหน่วยงาน
หลิวจวิ้นกำลังปฏิบัติงานอยู่ ครั้นเห็นนางมาความโกรธก็พลุ่งพล่าน หยิบม้วนคดีสองม้วนขึ้นมาทุบลงไปบนหัวนาง
“เจ้ายังรู้จักกลับมา!”
มู่จิ่วไม่กล้าตอบกลับ หลบไปด้านข้าง ม้วนคดีนั้นหล่นลงไปบนพื้น
“ใต้เท้าโปรดระงับโทสะ หลายวันมานี้ที่จริงข้าไปจัดการเรื่องด่วน ไม่ได้ตั้งใจละเลยหน้าที่”
นางทำได้เพียงพูดแบบนี้ คงไม่อาจบอกได้ว่านางไปเพื่อความรัก?
“ข้าเชื่อเจ้าสิถึงจะแปลก!”
หลิวจวิ้นกัดฟันถลึงตาใส่นาง ชี้นางพลางพูด “ข้าต้องบันทึกว่าเจ้าทำผิด! ข้าต้องให้เจ้าจำไว้! ป้องกันไม่ให้เจ้าทำเหมือนงานเป็นเรื่องเล่น!” เขาพูดแล้วหยิบสมุดจากบนชั้นออกมา พลิกไปพลางพูดไปพลาง “คราวก่อนเจ้าไปทำคดีตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋นสามารถหักกลบลบกันได้พอดี ข้ายังไม่ทันได้เก็บเข้าบันทึกคดี!”
“ใต้เท้า!”
มู่จิ่วรีบเข้าไปขวาง คดีนั่นของตระกูลอ๋าวนางได้รับความลำบากตั้งเท่าไหร่ที่ทะเลสาบน้ำแข็ง แต่กลับต้องลบมันทิ้ง? นางพูด “หากทำแบบนี้ ระวังข้าจะตายตาไม่หลับ!”
หลิวจวิ้นยิ้มเยาะเย้ย “เจ้าตายตาไม่หลับเกี่ยวอะไรกับข้า?!”
มู่จิ่วตกตะลึง “แบบนั้นท่านก็ลบไม่ได้! ท่านจะลงโทษข้าก็ได้ แต่ผลงานที่ข้าทำมาไม่สามารถลบทิ้ง ข้ายังต้องพึ่งคุณงามความดีเหล่านี้เพื่อเลื่อนขั้นในเร็ววัน!”
หลิวจวิ้นชี้ปลายจมูกนางพลางกัดฟันอยู่นาน จากนั้นกลับไปนั่งที่โต๊ะและถลึงตากล่าว “เจ้าต้องการบันทึกผลงาน? คิดได้ประเสริฐ! ตอนแรกที่ส่งเจ้าไปทำคดีก็เพราะการตายของเฉินผิง ตอนนี้ถึงแม้พบเจอกุญแจจันทราแล้ว แต่นี่ไม่เกี่ยวข้องกับความตั้งใจแรกในการทำคดี เรื่องเฉินผิงจะสรุปอย่างไร?!”
มู่จิ่วได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็นิ่งอึ้ง เขาไม่พูดนางคงลืมแล้ว ทั้งคดีนี้ไม่ว่าใครก็ต้องรับผิดชอบ เฉพาะเฉินผิงเท่านั้นที่ไม่ต้อง เขาเป็นคนที่ไร้ความผิดที่สุด ช่างไม่ยุติธรรมอย่างมาก ดังนั้นจึงรีบพูด “ไม่ทราบว่าใต้เท้ามีความเห็นอย่างไร?”
หลิวจวิ้นถลึงตาใส่นาง “อะไรก็ถามข้า มิสู้ให้ข้ารับผลงานแทนเจ้าไว้เสียเลย!”
มู่จิ่วไร้คำพูด คิดอยู่นานก่อนเอ่ย “ตอนนี้ตระกูลอวิ๋นใช้ประโยชน์จากกุญแจจันทราหยิน มิฉะนั้นให้ข้าไปร้องขอซือมิ่งซิงจวินให้เฉินผิงไปเกิดในที่ดีๆ? ใต้เท้าอยู่สวรรค์มานานขนาดนี้ ต้องคุ้นเคยกับพวกซือมิ่งซิงจวินแน่ ฉะนั้นแล้วขอให้ใต้เท้าช่วยเรื่องนี้ของข้าน้อยหน่อย กลับมาข้าจะเลี้ยงใต้เท้าตอบแทน”
หลิวจวิ้นตบม้วนคดีลงบนโต๊ะ พูดหน้านิ่ง “กัวมู่จิ่ว นับวันเจ้ายิ่งใจกล้าขึ้น ตอนนี้กล้ากระทั่งเรียกใช้ข้า!”
“ไม่ใช่เรียกใช้ แต่เป็นขอให้ช่วย” มู่จิ่วรีบพูด “หากท่านไม่สะดวกจริงก็ไม่เป็นไร ทำเหมือนว่าข้าไม่ได้พูดก็ได้”
น่าเสียดายที่เรื่องนี้แม้ไปหาลู่ยาก็ไม่มีประโยชน์ ชะตาชีวิตล้วนเป็นสวรรค์จัดการ เว้นแต่ว่าเขาจะออกคำสั่งก้าวก่าย
แต่ลู่ยาตอนนี้ปกปิดฐานะอยู่ข้างกายนาง หากให้เขาออกหน้าเพื่อแทรกแซงเรื่องเช่นนี้ก็ไม่เหมาะสมยิ่งนัก ยังมีอีก เหมือนกับที่หลิวจวิ้นพูดเมื่อครู่ ถ้าเรื่องอะไรล้วนยืมมือคนอื่นแก้ไข นางยังจะยื้อเอาผลงานอะไรมาได้?
………………………………………………