ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 241 ภาพหลอนหรือ?
ถึงแม้เห็นหน้าตาเขาไม่ชัด แต่นางรู้สึกได้ว่าเขากำลังมองนางอยู่
ต้องมองนางอยู่แน่ๆ!
นางคิดแล้วไม่ค่อยเข้าใจ
แต่ไม่ว่าพูดอย่างไร ฉากนั้นช่างเร็วเหมือนภาพมายา
ครุ่นคิดแบบนี้อยู่สักครู่ ทิวทัศน์รอบๆ ระหว่างทางกลับเปลี่ยนไปนานแล้ว ภูเขาแม่น้ำเหล่านั้นเหมือนผ้าไหมที่ประดับหินมีค่าภายใต้แสงจันทร์ ส่วนอวี้ตี้ก็เดินทางเข้าประตูสวรรค์แดนตะวันตก กลับไปถึงวังหลิงเซียวตามทางเดิม
นางจัดการอารมณ์เล็กน้อยก่อนเข้าประตูไป
ที่บ้านเสี่ยวซิงเก็บอาหารไว้ให้มู่จิ่ว ตอนที่กำลังคิดว่าจะทำน้ำแกงเห็ดให้นางหรือไม่ก็ได้ยินประตูลานบ้านเปิดออก นางกลับมาแล้ว
“ทำไมถึงดึกขนาดนี้?” เสี่ยวซิงรีบเข้าไปรับ เพียงเห็นสีหน้าอีกฝ่ายนางก็พูดขึ้น “ทำไมสีหน้าแย่เพียงนี้? หรืออวี้ตี้จับเจ้าได้? ด่าทอเจ้าหรือ?”
มู่จิ่วยิ้มพลางพูด “จะเป็นไปได้อย่างไร? จะออกไปครั้งแรกก็ถูกเขาจับได้แล้วที่ไหนกัน”
นางพูดพลางวางกระบี่ลง นั่งลงไปข้างโต๊ะก่อนรินชา
มู่จิ่วไม่รู้ว่าสีหน้าตนเองย่ำแย่ แต่เสี่ยวซิงไม่พูดส่งเดช คิดดูแล้วเรื่องที่ภูเขาไท่ยังทำให้ตกใจออยู่
“หงิงหงิง”
อาฝูกัดชายกระโปรงนางอีก
นางคืนสติกลับมา ที่แท้เสี่ยวซิงวางกับข้าวต่างๆ ขึ้นโต๊ะให้แล้ว
มู่จิ่วกินข้าวเสร็จคิดจะไปพูดคุยกับลู่ยา ลู่ยากลับพารุ่ยเจี๋ยออกไปข้างนอกและยังไม่กลับมา จึงได้แต่กลับห้องไปก่อน
นอนไปได้ตื่นหนึ่ง ราวกับได้ยินเสียงคนผลักประตูเข้ามา จากนั้นเดินมาถึงริมเตียงแล้วลูบหน้าผากนาง แต่ออกไปเมื่อไหร่นางกลับไม่แน่ชัด เมื่อคิดๆ ดูแล้วนอกจากลู่ยาก็ไม่มีคนอื่นอีก ดังนั้นจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
ตอนเช้าตื่นมานางกินโจ๊กไปสองคำก็เตรียมออกไปข้างนอก เพราะต้องรีบไปรายงานหวังหมู่
ตอนกินข้าวพูดคุยกับเสี่ยวซิง ถึงได้รู้ว่าเมื่อคืนพวกลู่ยาอาจารย์ศิษย์กลับมาตอนใกล้สว่าง
แบบนั้นเมื่อคืนวานคนที่ลูบผมนางคือใคร?
นางฝันหรือ?
เมื่อถึงวังหลิงเซียว ผู้ติดตามรู้ว่านางเป็นแขกประจำ จึงไม่ต้องมากความ พานางไปยังหอแสงไสวที่หวังหมู่อยู่ทันที
หวังหมู่กำลังพูดคุยกับองค์หญิงสามเสาอิน ครั้นได้ยินมู่จิ่วมาถึงจึงให้เสาอินออกไป
มู่จิ่วเล่าเรื่องที่อวี้ตี้ไปภูเขาไท่ หวังหมู่ขมวดคิ้วทันที “เจ้าไม่ได้เข้าไปดู?
“ข้าเข้าไปไม่ได้” มู่จิ่วเอ่ยไปตามตรง
หวังหมู่ยิ้มเยาะขึ้นมา “หากเพียงไปพบจินหง ทำไมต้องหลบซ่อนด้วย? จิงหงผู้นั้นกับเขารู้จักกันตั้งแต่เด็ก สักแปดส่วนต้องมีลับลมคมใน!”
แม้มู่จิ่วก็รู้สึกว่ามีลับลมคมในไม่น้อย แต่เรื่องแบบนี้สามารถพูดส่งเดชได้หรือ? ในที่นี้หวังหมู่เป็นคนหนึ่งที่ยุแหย่ไม่ได้ หากทะเล่อทะล่าพูดออกมาคำหนึ่งอาทำให้ตายได้
แต่ถึงแม้เป็นแบบนี้ หวังหมู่ยังพูดอย่างมีเมตตาเพื่อปกปิดอาการจากนางสายลับคนนี้ “เจ้าทำได้ไม่เลว รู้จักว่าการกลบเกลื่อนร่องรอยนั้นสำคัญ กลับไปก่อน สองวันนี้หากมีการเคลื่อนไหวอีกข้าค่อยแจ้งเจ้า” ซ้ำยังตบรางวัลให้ลูกท้อนางสองลูก “เรื่องนี้จัดการเสร็จแล้ว ข้าไม่เพียงคืนผ้าทอสีเหลืองให้เจ้า ถึงเวลานั้นข้ายังอนุญาตให้เจ้ามางานเลี้ยงลูกท้อด้วย”
มู่จิ่วขอบคุณนางจริงๆ
ไม่ว่าอะไรนางก็ไม่อยากได้ หากสามารถทำให้นางไม่ต้องทำเรื่องบ้าบอนี่ แม้แต่ผ้าทอสีเหลืองนางก็ไม่ต้องการ
อย่างไรนางก็ชดใช้ให้ตระกูลอ๋าวมากพอแล้ว หากทำไม่สำเร็จนางก็ไร้ซึ่งหนทาง บันทึกความดีไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ นางไม่ต้องการแล้วได้หรือไม่?
แต่ชัดเจนว่าไม่ได้…
มู่จิ่วถือลูกท้อสองลูกออกจากวัง ไปปฏิบัติงานของตนโดยไม่พูดถึงเรื่องนี้
ทว่าลู่ยาก็ยังได้เบาะแสจากน้ำแกงไก่หลินจือที่เสี่ยวซิงห่อให้มู่จิ่วไป
เมื่อกลับถึงห้องค่อยเรียกอาฝู ใช้มือลูบหัวเขาจึงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน
หลังมู่จิ่วเลิกงานเขายังไม่พูดอะไร ตอนนางอุ้มลูกท้อคู่หนึ่งมาอวดกับเขาหลังกินข้าวเสร็จ เขาถึงพูด “เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นที่ภูเขาไท่? เจ้าเห็นชัดหรือไม่ว่าเป็นใคร? ฝึกฝนพลังสายไหน?”
เขาทำได้เพียงดึงความทรงจำของอาฝูขึ้นมา แต่ในความทรงจำคนที่โจมตีพวกเขามีเพียงลมขุมหนึ่งเท่านั้น เขาไม่เห็นอะไรเลย
อันที่จริงมู่จิ่วลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ได้ยินเขาถามขึ้นมากะทันหันจึงนึกย้อนกลับไปอย่างละเอียด ก่อนกล่าว “มองเห็นไม่ชัดเลยว่าเป็นใคร อีกทั้งพลังบำเพ็ญล้ำลึกไม่อาจหยั่งถึง ตอนนั้นข้าเดาว่าเขามาล้างแค้น แต่ประการแรกคุณสมบัติข้าไม่พอล่วงเกินศัตรูที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ประการที่สองคือเขาไม่ได้ติดตามอย่างไม่ลดละ ข้าคิดว่าเขาอาจเป็นมหาเทพอีกคนนอกจากตงเยวี่ยแห่งภูเขาไท่”
“พูดส่งเดช” ลู่ยาขมวดคิ้วมองนาง “ตงเยวี่ยมีเพียงจินหงซื่อที่พลังบำเพ็ญค่อนข้างลึกล้ำ ยังมีมหาเทพอะไรอีก?”
“ไม่แน่ว่าอาจขี่เมฆมาที่นั่นพอดี?” มู่จิ่วพูด “สรุปคือข้าคิดไม่ออก นอกจากข้าไปล่วงเกินเขาโดยไม่รู้ตัวแล้ว ยังมีความเป็นไปได้อื่นใดอีก และอีกอย่าง” นางชะงักก่อนพูดต่อ “หากเขาต้องการทำร้ายข้าจริง เขาก็ไม่มีเหตุผลต้องล้มเลิกไปแบบนั้น”
ส่วนเรื่องที่ภายหลังเขาจ้องมองนาง นางเดาว่าบางทีอาจมีเพียงความเป็นไปได้เดียวคือ ดอกบัวทองบนร่างนางทำให้เขาชะงักไป
นางกล่าวแบบนี้ ลู่ยาก็ไม่ได้พูดอีก สิ่งที่นางพูดก็มีเหตุผล อย่างไรเสียนางก็กลับมาอย่างไร้รอยขีดข่วน แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยเป็นศัตรูกับใคร พลังบำเพ็ญต่ำเพียงนี้ จะล่วงเกินผู้เก่งกาจขนาดนั้นได้อย่างไร
แต่อย่าลืมว่าบนร่างนางมีความลับที่ยังไม่คลี่คลาย ก่อนที่จะคลี่คลายเรื่องพลังฤทธิ์ในร่างนางได้ ก็ไม่ควรมองข้ามความผิดปกติทั้งหลาย
เขาขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพลันเหลือบมองนาง “เจ้านี่นะ ยิ่งนานไปยิ่งทำให้ข้าอยากจับเจ้าเลื่อนขั้นโดยตรงให้จบเรื่องเสียจริง”
“หากทำได้ แบบนั้นก็ดียิ่งนัก!” มู่จิ่วปรบมือพูด “ในที่สุดข้าก็ใช้เส้นสายได้แล้ว!”
ลู่ยาหยิบพัดมาเคาะหัวนาง จากนั้นสะบัดพัดขึ้นมา
ตัวมู่จิ่วเองไม่ได้ผ่อนคลายถึงขนาดนั้น อันตรายในตอนนั้นนางเป็นคนประสบเอง ความลึกลับของฝั่งตรงข้ามก็อยู่ในความทรงจำของนาง แต่วันคืนในสวรรค์สงบสุขเกินไป ความน่ากลัวทั้งหมดค่อยๆ เลือนรางตามกาลเวลาที่ผ่านไป นางลืมเรื่องนี้ไปทีละนิดเช่นเดียวกัน
แต่เห็นได้ชัดว่าหวังหมู่จดจำเรื่องการเดินทางครั้งนี้ของอวี้ตี้ไว้ในใจแล้ว
วันนี้ตอนเช้าหลิวจวิ้นเรียกนางไปที่ห้องทำงาน ต้องการให้พวกเขาสิบสองคนรักษาความปลอดภัยของสวรรค์อย่างเคร่งครัดในหลายวันนี้ หากเกิดคดีห้ามล่าช้า เพราะยูไลฝอจู่พาพระโพธิสัตว์หลายองค์มาเป็นแขกที่สวรรค์ ย่อมไม่อาจให้ชมพูทวีปเห็นว่าทัพทหารสวรรค์ไม่เข้มงวดเรื่องการอารักขาได้
ชมพูทวีปเป็นดินแดนของศาสนาพุทธ ถึงแม้ตามทฤษฎีร่วมปกครองฟ้าดินกับสวรรค์ แต่อย่างไรกำลังอำนาจฝ่ายนั้นก็ไม่อ่อนด้อย และฝอจู่ก็เป็นศิษย์ของหุนคุนจู่ซือ ก่อนกลับไปเกิดได้สร้างลัทธิประจิมกับศิษย์พี่ของเขาจุ่นถีเต้าเหริน ผลกระทบตอนนั้นส่งผลไม่น้อยกับลัทธิฉ่านในตอนนี้ หลังจากไปเกิดแล้วยูไลฝอจู่ยังบรรลุธรรมอย่างไร้ขอบเขตในวิถีพุทธ ว่าไปแล้วเทพบูรพาล้วนต้องให้ความเคารพอย่างสมฐานะ
มู่จิ่วรู้ถึงเหตุนี้ จึงย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่สนใจ
ทั้งวันนี้นางตั้งอกตั้งใจวางแผนให้ดี ไม่ง่ายเลยกว่าจะจัดการเรื่องราวจนเสร็จถึงบ่าย ถึงค่อยยืดแขนมุ่งหน้ากลับบ้านไป เพิ่งถึงประตูก็เห็นเสี่ยวซิงพารุ่ยเจี๋ยอาฝูไปเดินเล่นที่่ตลาดนอกประตูสวรรค์แดนใต้ นางนั่งอยู่ทั้งวันก็อยากขยับเนื้อขยับตัวบ้าง จึงคิดจะเดินไปตามทาง ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว นกปี้ฟางพลันบินเข้ามาตรงหน้า ก่อนจะคาบแขนเสื้อนางมุ่งไปทางสวรรค์
……………………………………………