ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 254 ภูเขานี้มีที่มา
มู่จิ่วตบๆ คออาฝู มองอย่างละเอียดอีกที บริเวณที่ยืนอยู่เป็นสถานที่ที่วันนั้นฉางเอ๋อร์กับอู๋กางเคยมา และเนินเขาเล็กด้านหน้าก็เป็นสถานที่ที่อาฝูกลิ้งลงมาอยู่ในสายตาของกระต่ายหยกพอดี!
“โฮกกก…”
อาฝูพลันพุ่งเข้าไปตรงเนินหญ้าด้านหน้าราวกับลูกธนู มู่จิ่วเห็นเพียงเงาแสงพาดผ่านไป จากนั้นก็ไม่เห็นเงาร่างเสือแล้ว!
มู่จิ่วรีบร้อนตามไป พวกลู่ยาก็รีบตามเข้ามา!
ดีที่พุ่มหญ้าไม่หนาทึบ พุ่มไม้ที่อาฝูเดินผ่านถูกแหวกออกเป็นทางแคบสายหนึ่ง ทุกคนเพียงรีบตามไปก็พอแล้ว มู่จิ่วไม่กล้าวอกแวกเลยแม้แต่น้อย เพราะท่าทางของอาฝูดูเหมือนจำสถานที่นี้ได้แล้ว หากเขาสามารถจำได้ การมาครั้งนี้ก็นับว่าได้เก็บเกี่ยวผลอันใหญ่หลวงยิ่ง!
เพียงแต่เดินไปได้สามสี่ลี้ อาฝูพลันชะลอฝีเท้า โน้มส่วนหน้าลง ยกส่วนหางขึ้น จากนั้นพุ่งเข้าไปข้างหน้า!
งูเหลือมสีเหลืองทองลำตัวหนาเท่าต้นขามู่จิ่วตัวหนึ่งกระโจนขึ้นมาบนฟ้าในพริบตา! อาฝูปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมาทันที เขาเปลี่ยนร่างเป็นขนาดจั้งกว่าเข้าไปปะทะกับมัน!
มู่จิ่วชะงักงันไปทันใด ที่แท้เขาไม่ได้จำอะไรได้ เพียงแค่พบเหยื่อใหม่เท่านั้น
นางอดพูดไม่ได้ “ดูท่าทางพวกเขาสู้กันอีกสักพักก็คงไม่เสร็จ มิสู้พวกเราไปเดินดูรอบๆ ก่อน”
ขณะกำลังจะออกเดิน ลู่ยากลับขมวดคิ้วมองยอดเขาพลางพูด “ทิวเขานี้แปลกประหลาดนัก”
ซื่ออินมองไปรอบหนึ่งอย่างคร่าวๆ “ที่นี่คือยอดเขาด้านข้างของภูเขาจิตอสุนีบาต ห่างจากยอดเขาหลักสองพันลี้ หากข้าจำไม่ผิด ภูเขานี้น่าจะยังมีชื่อเฉพาะตัวของมันว่าภูเขาเรือ เพราะเห็นลักษณะของมันเหมือนเรือไม้ที่เทียบท่าอยู่ทางใต้ของยอดเขาจิตอสุนีบาต แต่ไม่เป็นที่เตะตาคนเท่าไหร่นัก”
“ภูเขาเรือ? แบบนั้นก็ใช่แล้ว” ลู่ยามองภูเขาลูกนี้พลันขมวดคิ้ว
“มีปัญหาอะไรหรือ?”
ลู่ยากล่าว “ภูเขาเรือของเขาจิตอสุนีบาตไม่เพียงเหมือนเรือไม้ แต่ยังเหมือนมงกุฎราชายิ่งกว่า ข้าเดาว่าวันนั้นสิ่งที่ฉางเอ๋อร์กับอู๋กางเห็นขณะอยู่ที่นี่คงจะเป็นมงกุฎราชานี้ และพวกเจ้าคงลืมไปว่าต้าอี้ก็เคยเป็นราชามาก่อน”
คนทั้งหมดตกตะลึง
ปีนั้นเรื่องที่ฉางเอ๋อร์ขโมยยาวิเศษของต้าอี้กินแล้วกลายเป็นเซียน มีใครไม่รู้ใครไม่ได้ยินบ้าง? แต่ฉางเอ๋อร์ก็ไม่เกี่ยวข้องกับต้าอี้นานแล้วมิใช่หรือ?
“ตามเหตุผลก็ไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว ต้าอี้ตายไปแล้วหลายหมื่นปี เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้กี่รอบแล้ว” ลู่ยาพูด “แต่ ภูเขาเรือนี้กลับเป็นที่ฝังกระดูกของต้าอี้เมื่อกาลก่อน ต้าอี้เป็นผู้มีคุณงามความดีมาก หลังจากตายบุญกุศลจึงปกปักรักษาทั่วทางใต้ของภูเขาจิตอสุนีบาตจนกลายเป็นสถานที่มงคล ขณะเดียวกันก็ปกป้องเผ่าพันธุ์โบราณทางตอนเหนือ”
“จิตต้นกำเนิดของต้าอี้ยังคงอยู่ปกปักรักษาถิ่นทุรกันดารทางเหนือ เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านมานาน พลังวิญญาณก็ค่อยๆ สลายไป”
เป็นที่ฝังกระดูกของต้าอี้?
มู่จิ่วพลันนึกถึงคำพูดของหวังหมู่เมื่อตอบเรื่องภูเขาอสุนีบาตก่อนหน้านี้
มิน่าละ หวังหมู่ถึงบอกว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉางเอ๋อร์แล้ว ที่แท้ความหมายแฝงในคำพูดคือเคยเกี่ยวข้องกัน
ตลอดมาหวังหมู่เกลียดคนกระทำเรื่องชั่วช้า มีอคติกับฉางเอ๋อร์ที่เห็นแก่ตัวทิ้งสามีก็เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่แบบนี้ยิ่งไม่รู้ว่าจะอธิบายกับหวังหมู่อย่างไรว่าคนที่อวี้ตี้ลอบนัดพบคือฉางเอ๋อร์ ตามอารมณ์ของนางแล้ว หากรู้แน่ชัดว่าคนที่อวี้ตี้ลอบนัดพบคือฉางเอ๋อร์ กลัวแต่ว่าวังหลิงเซียวทั้งวังจะถูกนางทำลายราบคาบเอาได้?
แต่เมื่อพูดย้อนกลับมา ฉางเอ๋อร์กับอู๋กางมาทำอะไรที่ฝังกระดูกของต้าอี้ล่ะ?
คงไม่ใช่ยังคิดทำร้ายต้าอี้กระมัง?
นางกระหวัดนึกถึงท่าทางที่ปกปิดความคิดตนได้ไม่มิดชิดของฉางเอ๋อร์ รู้สึกสับสนเล็กน้อย
“โฮกกก…”
บนไหล่เขามีเสียงคำรามของอาฝูลอยมา ในที่สุดงูยักษ์ก็ถอยไปอย่างรวดเร็วพร้อมขู่ฟ่อ
พวกลู่ยาเดินช้าๆ ลงจากเนินเขา เริ่มเดินตามป่าไปทั่ว
มู่จิ่วย้อนกลับมาบนภูเขา เห็นเพียงบนพื้นมีเลือดของงูยักษ์สีเหลืองทอง อาฝูยังใช้อุ้งมือเล่นหนังงูที่เหลืออยู่ไม่หยุด ดูแล้วเขายังไม่ได้ลงมือสังหาร ปล่อยให้งูนั้นมีชีวิตต่อไป
แต่อาฝูพลันจับจ้องรอยเลือดบนพื้นแน่นิ่ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
มู่จิ่วนั่งยองลงไปลูบหัวเขา พลางพูด “สบายใจหรือยัง? สุดท้ายก็ไล่ไปแล้ว”
อาฝูไม่ตอบนาง เหมือนกับไม่ได้ยินคำพูดนางเลย
“อาฝู?”
มู่จิ่วก้มหน้าลงมองหน้าอาฝูอย่างสงสัย ดวงตาทั้งสองของเขาแน่นิ่ง ถ้าจะพูดว่าเขามองร่างงู มิสู้บอกว่าเขามองช่องว่างระหว่างร่างงูนั้น
“เจ้าเป็นอะไร?” มู่จิ่วรู้สึกไม่ดี ยิ่งถามเขาอย่างอ่อนโยนมากขึ้น
ทว่าตาเขาพลันส่องสว่างออกมา คลื่นพลังสาดออกมาคลื่นแล้วคลื่นเล่า! มู่จิ่วคาดไม่ถึงว่าอาฝูจะแสดงพลังออกมากะทันหัน จึงไม่ทันได้ป้องกัน กลิ้งออกไปสิบกว่าจั้ง ส่วนอาฝูเปลี่ยนเป็นร่างขนาดจั้งกว่าอย่างรวดเร็ว ดวงตาทั้งคู่เบิกโต อ้าปากกว้างพุ่งเข้ามาทางมู่จิ่ว!
“อาฝู!”
ถึงแม้ฝันมู่จิ่วก็ไม่เคยฝันว่าเขาจะพุ่งเข้ากัดนาง นางยังไม่ทันได้ตอบโต้ เขาก็พลันคาบนางขึ้นมาแล้วกระโจนไปไกล!
มู่จิ่วโตมาขนาดนี้ นี่เป็นครั้งที่สองที่โดนเสือคาบ! ทำเอาตัวนางรู้สึกว่าเป็นเพราะตนมีวาสนาพิเศษกับเสือหรือไม่!
แต่อาฝูไม่ได้ทำร้ายนางจริงๆ นางจึงยิ่งคลายใจลงได้ นางตบๆ หน้าอาฝูพลางเอ่ย “เจ้าปล่อยปากหน่อย ข้าจะปีนไปบนหลังเจ้า เจ้าอยากให้ข้าไปไหน ข้าก็จะไปกับเจ้า!” พูดจบอาฝูก็เปิดปาก นางโอบรอบคอเขาไว้ก่อนพลิกตัวขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ฉับพลันก็รู้สึกได้ถึงเสียงลมข้างหู เป็นเสียงความเร็วลมที่นางไม่เคยเจอมาก่อนบนหลังอาฝู!
แต่สุดท้ายอาฝูก็ไม่ได้ไปที่ไหน เขาเพียงบินวนอย่างบ้าคลั่งกลางอากาศเหนือภูเขาเรือ!
มู่จิ่วเห็นพวกลู่ยาที่กังวลใจอยู่ข้างล่าง พวกเขาคิดจะพุ่งขึ้นมาหลายครั้งแต่กลับถูกนางห้ามไว้
มู่จิ่วรู้สึกว่าอาฝูกำลังขับเคี่ยวกับตนเองอยู่ แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยเป็นแบบนี้ นี่มันผิดปกติแน่นอน! นางไม่อาจขัดเขาได้ ต้องให้เขาหาช่องโหว่เจอด้วยตัวเอง แล้วปลดปล่อยสิ่งที่อยากปลดปล่อยออกมาให้หมด!
ลู่ยากับซื่ออินต่างก็แปลงเป็นกลุ่มอากาศเย็นตามอยู่ข้างกายพวกเขา ไม่ขัดขวางและไม่รบกวน
หลังจากอาฝูบินวนและร้องคำรามอยู่สิบกว่ารอบ สุดท้ายก็เปลี่ยนทิศทาง กระโจนพุ่งไปทางซ้ายของภูเขาเรือ มุ่งไปยังป่าทึบแห่งหนึ่ง!
เขาเริ่มแบกนางเดินช้าๆ เข้าไปในป่า ทุกสองสามก้าวจะหยุดลงมองซ้ายขวา เดินไปแบบนี้ร้อยกว่าจั้ง สุดท้ายเขาก็หยุดลง เท้าทั้งสี่งอลงหมอบบนพื้น มู่จิ่วลงมาจากหลังอาฝู นั่งยองๆ อยู่ข้างกายเขาก่อนถาม “เจ้าจำอะไรได้ใช่หรือไม่? เจ้าค้นพบอะไร? เจ้าเคยมาที่นี่หรือไม่?”
อาฝูนิ่งอึ้ง ไม่ตอบคำของนาง เพียงลุกขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนหันไปมาอย่างช้าๆ ภายในป่า
มู่จิ่วก็ไม่รีบร้อน เดินตามหลังเขา ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป พวกเขาเดินมาถึงเนินเตี้ยแห่งหนึ่ง ผ่านพุ่มไม้ จากนั้นมาหยุดอยู่ที่ใต้ต้นหางนกยูงขนาดใหญ่
“เจ้าเคยมาที่นี่หรือ?” มู่จิ่วมองสำรวจรอบๆ อย่างละเอียดตลอดทาง ป่านี้ปกติอย่างมาก มีทั้งสัตว์บกสัตว์ปีก พลังวิญญาณในทิวเขาก็ไม่มีอะไรพิเศษ แม้แต่ต้นหางนกยูงตรงหน้านี้ก็ไม่พิเศษเฉพาะอะไร
ป่าแบบนี้ หากหาๆ ไปส่งเดชก็สามารถหาได้หลายสิบผืน
ทว่าอาฝูไม่ขยับ แม้แต่เสียงร้องหงิงหงิงก็ไม่มี
มู่จิ่วรู้สึกลำบากใจ เขาไม่ส่งเสียงใดเลย นางจะทำอย่างไรดี?
…………………………………………………