ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 258 กังวลเกินไป
ซื่ออินก็รู้สึกว่าแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
“เซิ่งจุนอาจกังวลมากเกินไป มีท่านอยู่ด้วยคงไม่ถึงกับมีอันตราย” เขาพูด
“พูดยาก” ลู่ยากล่าว “พลังของนางเฉพาะเจาะจงมาปลดผนึกที่เขาคุนหลุนตะวันออก ข้าคิดว่าไม่แน่นางอาจมีความเกี่ยวข้องกับที่แห่งนั้น ไม่ปิดบังเจ้า ข้ากังวลอยู่จริงๆ ข้ากลัวว่าหากมีวันหนึ่งที่พลังของนางระเบิดออกมาอีกจะทำอย่างไร? ข้าต้องหยุดยั้งหรือไม่ต้องหยุดยั้ง? และจะหยุดมันอย่างไร?”
ซื่ออินครุ่นคิดก่อนพูด “ตัวอย่างแบบนี้ในอดีตไม่ใช่ไม่มี ถึงแม้ร่างกายของแม่นางพิเศษ แต่บางทีพลังระเบิดออกอาจเป็นเพียงอุบัติเหตุ และตลอดชีวิตที่เหลืออาจเป็นไปได้ว่าจะไม่ออกมาอีกเลย อย่างเช่นวิญญาณเทพกลับชาติมาเกิด พลังวิญญาณในร่างกายพวกเขาล้วนถูกผนึกไว้ พอกลายเป็นมนุษย์พลังนั้นจะไม่มีวันทะลวงออกมาแน่นอน ข้าคิดว่าด้วยความดีของแม่นางแล้ว ฟ้าย่อมต้องคุ้มครอง เซิ่งจุนอย่าได้กังวลไป”
“บางครั้งข้าก็คิดแบบนี้”
ลู่ยากอดอก พลันยกริมฝีปากยิ้มให้เขา รอยยิ้มแบบนี้ช่างทำให้แสงสว่างทั้งหมดบนโลกกลายเป็นมืดสลัวจริงๆ ถึงแม้เขาเป็นจะผู้ชายก็อดก้มหน้าลงไม่ได้
“เจ้าไม่รู้ว่านางโง่ขนาดไหน โง่จนถึงขนาดอยู่บนสวรรค์โดนกลั่นแกล้งรังแกก็ยังไม่เคยร้องไห้”
ลู่ยาเอนพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน จ้องมองไปยังดอกยี่เข่งที่นอกหน้าต่าง “บางครั้งทำเอาข้ารู้สึกว่านางใจอ่อนเกินไป อยากให้นางใจร้ายสักหน่อย แต่ถึงแม้นางเป็นคนดีนักหนา ถึงแม้คดีที่รับมาทั้งหมดจะจบอย่างสมบูรณ์แบบ บุญกุศลของนางค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่อาจปกปิดความจริงที่ว่าบุญกุศลที่ผ่านมาของนางน้อยจนน่าสงสาร”
ซื่ออินไม่ค่อยเข้าใจคำพูดเขา “บุญกุศลของแม่นางไม่มากพอ?”
อาศัยเรื่องเกี่ยวกับมู่จิ่วที่เขารู้มาในหลายวันนี้ และสิ่งที่เขาเห็นกับตาตนเอง นางคงเป็นคนดีมากอย่างที่ลู่ยากล่าวไว้ คนแบบนี้เรื่องอื่นไม่มากก็ต้องมีบุญกุศลมาก แล้วบุญกุศลจะไม่พอได้อย่างไร?
“เจ้าก็รู้สึกประหลาดใช่หรือไม่?” ลู่ยาหรี่ตามองเขา “แต่นี่เป็นเรื่องจริง เจ้าว่าบุญกุศลของนางหายไปไหน?”
ซื่ออินนิ่งอึ้ง
“ยิ่งกว่านั้น เร็วๆ นี้ข้ายังค้นพบอีกเรื่องหนึ่ง” ลู่ยาพูดต่อเหมือนกับไม่สนใจว่าเขาจะตอบหรือไม่
“เรื่องอะไรขอรับ?” ซื่ออินอดใคร่รู้ขึ้นมาไม่ได้
ลู่ยาพูด “สหายร่วมงานคนหนึ่งที่เข้ามาในทัพทหารสวรรค์พร้อมกับนางมีจิตมารก่อกำเนิดขึ้นแล้ว เดิมทีผังดวงชะตาของเขาควรเลวร้ายยิ่งนัก แต่กลับไม่ใช่ นอกจากดวงชะตาเคราะห์ร้ายนั้นแล้ว เขามีดวงชะตากำเนิดที่อ่อนอย่างมากสายหนึ่งเกิดอยู่บนร่างอาจิ่ว บุญกุศลของอาจิ่วสามารถหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งได้ก็ไม่แปลก แต่คนผู้นี้ ชะตาที่เลวร้ายของเขากลับเกื้อหนุนนาง”
ซื่ออินยิ่งฟังสีหน้ายิ่งตึงเครียด
ชะตาที่เคราะห์ร้ายอย่างยิ่งมีประโยชน์กับนาง…
มู่จิ่วคือผู้บำเพ็ญเป็นเซียน ฝึกเซียนสายคุณธรรม ตามเหตุผลไม่ควรเกิดเหตุการณ์แบบนี้ สิ่งประเภทเดียวกันจะดึงดูดเข้าหากัน หากชะตาที่เลวร้ายยิ่งมีประโยชน์กับนาง แบบนั้นมีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งคือสองคนล้วนเป็นวิญญาณดี สองคือทั้งคู่เป็นวิญญาณร้าย…
มู่จิ่วเป็นวิญญาณร้าย?
ใจของเขาหนักอึ้ง มองลู่ยาเร็วๆ ก่อนก้มหน้าลงไป
“ข้าไม่เชื่อว่าสิ่งที่ผนึกอยู่ในร่างกายนางเป็นวิญญาณร้าย” ลู่ยาเหมือนมองความคิดของเขาออก เอ่ยขึ้นเรียบๆ “แต่หลินเจี้ยนหรูก็ไม่ใช่คนดีอะไร นี่เป็นสิ่งประหลาดที่ข้าพบเจอนอกเหนือจากพลังอันแข็งแกร่งที่ถูกผนึกอยู่ในร่างกายนาง และก่อนหน้านั้นนางก็พบเจอเรื่องประหลาดที่ภูเขาไท่ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจเห็นเหตุการณ์นั้น ไม่อาจวิเคราะห์ได้”
“สรุปคือ ข้ามีลางสังหรณ์ว่าตั้งแต่พลังที่ถูกผนึกของนางระเบิดออกที่เขาคุนหลุนตะวันออกครั้งนั้น พลังของนางไม่น่าจะถูกผนึกกลับไปอย่างสมบูรณ์ได้อีก เพียงรอดูว่านางจะถูกกระตุ้นอีกเมื่อไหร่เท่านั้น ส่วนข้าทำได้เพียงคอยสำรวจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเพื่อสืบหาชาติก่อนของนาง แต่ชัดเจนว่าตอนนี้ข้าร้อนรนไปก็ไร้ประโยชน์”
เขายืนขึ้นมา ไพล่มือไปข้างหลัง
ซื่ออินพยักหน้า “ยิ่งใจร้อนยิ่งช้า ไม่อาจทำสำเร็จตามเป้าหมาย เซิ่งจุนพูดได้ถูกต้องแล้ว”
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยอีก “ไม่รู้ว่าเซิ่งจุนต้องการสั่งให้ซื่ออินทำอะไร?”
ลู่ยาพยักหน้า “นอกจากนี้ อาจารย์ของอาจิ่วดูเหมือนจะยอดเยี่ยมมากทีเดียว ข้าสงสัยว่าเขาเป็นผู้สูงศักดิ์ที่เร้นกายมา ข้าจะช่วยเจ้าหาเหลียงจี สองวันนี้เจ้าไปสืบฐานะของเขาที่หงชางช่วยข้า พลังวิญญาณข้าแข็งแกร่งเกินไป หากเขาเป็นคนปลีกวิเวกที่มีความสามารถจริง ข้าไปหงชางเขาคงเจอข้า”
ไปครั้งก่อนก็ไม่รู้ว่าเขาสัมผัสได้หรือไม่ ในเมื่อลู่ยาอยากไปสืบหาเบื้องลึกของเขา เป็นธรรมดาที่ต้องระวังหน่อย
ซื่ออินกลับตกใจ “หรือเซิ่งจุนสงสัยอาจารย์ของแม่นางกัว?”
ลู่ยาเหลือบมองเขา “ในเมื่อเกิดเรื่องประหลาด ตรวจดูสักหน่อยน่าจะดีที่สุด”
อย่างไรเสีย มู่จิ่วก็เต็มไปด้วยความเลื่อมใสทุกครั้งเมื่อพูดถึงหลิวหยาง…
ซื่ออินเงียบไปครู่ก่อนกล่าวต่อ “ท่านเคยให้แม่นางกัวรู้เรื่องนี้หรือไม่?”
“ไม่เคย” ลู่ยาขมวดคิ้ว “นางเจ็บปวดเรื่องที่เกือบทำร้ายข้าคราวก่อนมาก และกังวลอยู่ตลอดว่าตนเองจะเป็นปีศาจมาร อีกทั้งยิ่งกังวลว่าวันข้างหน้าอาจจะควบคุมตนเองไม่ได้แล้วทำร้ายข้า…หากมีวันนั้นจริง ข้าคิดว่านางคงเลือกให้พลังกลับมาทำร้ายตนเองจนแหลกสลายไปกระมัง? ดังนั้นเรื่องนี้ห้ามให้นางรู้ในตอนนี้ อย่าให้นางรู้เด็ดขาด”
หากนางรู้ว่าเขาส่งคนไปตรวจสอบอาจารย์ที่เคารพรักของนาง…
ซื่ออินเข้าใจ ประสานมือตอบขอรับ
ถึงแม้เขากังวลถึงผลลัพธ์หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรคิด งานที่ท่านสั่ง เขาทำตัวเหมือนเป็นกองขี้เถ้าที่สงบนิ่งจะดีที่สุด
ซื่ออินถูกเลี้ยงมาอย่างองค์ชายตั้งแต่เด็ก เมื่อได้รับคำสั่งลู่ยา สีหน้าจึงไม่แสดงอะไรออกมาตามคาด เพราะรู้ว่ามู่จิ่วกับลู่ยายังมีเบื้องลึกเบื้องหลัง จึงยิ่งรู้สึกเห็นอกเห็นใจ…เดิมทีความเห็นอกเห็นใจนี้ควรมีแก่ลู่ยา แต่ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงมหาเทพ เขาไม่ควรเสนอหน้าไปเห็นใจ ถึงแม้มู่จิ่วเป็นหญิง แต่มองในแง่ความจริงจังเรื่องความรักแล้วทั้งคู่ก็เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่มีข้อแตกต่าง
ต่อจากนั้นหลายวันไม่มีความคืบหน้าในการสืบคดีของเหลียงจี
แต่ลู่ยาสืบค้นเรื่องนี้อยู่ตลอด บางครั้งยุ่งอยู่กับการทำนายผังดวงชะตา บางครั้งก็ออกไปข้างนอกอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ซื่ออินกลับวางใจ ในเมื่อเหลียงจียังมีชีวิตอยู่ และยังมีลู่ยาอยู่ด้วย การตามหานางให้พบเป็นเรื่องที่ช้าเร็วก็ต้องเกิดขึ้น
หลายวันนี้จึงคลายกังวลลงได้ นอกจากฝึกพลังตนเองก็ดูแลกำกับให้อาฝูตั้งใจฝึกฝน เขาที่เป็นพ่อผู้หายหน้าไปนานสามร้อยปีไม่อาจอดกลั้นกดดันอาฝูได้ ยังดีที่ตัวอาฝูเองมีสำนึกดี จึงไม่ต้องกังวลว่าอนาคตเขาจะไร้วิชา กลายเป็นหลานราชาที่ไร้ความสามารถ
ผ่านไปแบบนี้หลายวัน ในที่สุดวันนี้ก็ได้รับคำสั่งของลู่ยา เขาถึงอ้างว่าออกไปหาเบาะแส แล้วมุ่งหน้าไปหงชาง
มู่จิ่วยุ่งอยู่กับงาน แน่นอนว่าไม่รู้ว่าพวกเขาแอบพุ่งเป้าความสนใจไปที่หลิวหยาง
หลายวันนี้อวี้ตี้ไม่ได้ออกไปข้างนอก หลังจากคณะพระพุทธที่มาเยี่ยมเยือนลากลับไปแล้ว เขาก็เดินเล่นฟังพิณทั้งวัน มู่จิ่วอ้างเรื่องเข้าไปในวังหลายหน เห็นสีหน้าของเขาปกติ ไม่เหมือนคนที่มีชู้แล้วใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่หวังหมู่ยังคงไม่ล้มเลิก ยังให้นางจับตามองอย่างใกล้ชิด ท่าทางคล้ายหากหา ‘นังขี้ขโมย’ ไม่เจอก็ไม่มีเลิกรา
……………………………………………………