ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 259 หนีไม่รอดแล้ว!
ใจมู่จิ่วรู้สึกไม่ค่อยดี แต่ทำได้เพียงเก็บซ่อนไว้
แต่ก่อนนางรู้สึกเพียงว่าการเปิดเผยเรื่องฉางเอ๋อร์ออกมาจะเป็นภาระที่ใหญ่เกินกว่านางแบกรับไหว แต่ภายหลังตั้งแต่กลับมาจากภูเขาเรือนางกลับเริ่มมีความคิดใหม่ หากอวี้ตี้กับฉางเอ๋อร์เป็นชู้กัน แบบนั้นฉางเอ๋อร์จะไปสถานที่ฝังกระดูกของต้าอี้ทำไม? นางจะร้ายจนแม้แต่ร่างสามีที่ตายไปแล้วหลายหมื่นปียังไม่ยอมปล่อยผ่านเลยหรือ?
ในใจนางไม่เชื่อเท่าไหร่ว่าฉางเอ๋อร์จะเป็นคนแบบนั้น
ต่อจากนั้นนางเริ่มคิดถึงเรื่องที่เห็นวันนั้นในเมืองต้าหนิง ถึงแม้อวี้ตี้ลอบไปนัดพบจริง แต่พูดกันอย่างชัดเจน เขาก็ยังไม่ได้ทำอะไรผิดธรรมนองคลองธรรมกับฉางเอ๋อร์ กระทั่งยามนั่งทั้งสองคนยังมีโต๊ะขวางกั้น และยังอยู่ในระเบียงเปิดโล่ง ฉางเอ๋อร์ก็ไม่ได้มีใจยั่วยวน อาศัยเรื่องเหล่านี้จะยืนยันได้อย่างไรว่าพวกเขาเป็นชู้กัน?
แต่ไหนเลยนางจะกล้าพูดเรื่องเหล่านี้กับหวังหมู่ จากท่าทางของหวังหมู่ ไม่แน่ว่าในมืออาจยังมีหลักฐานอื่นอีก หากนางพูดช่วยพวกเขา ไม่แน่ว่าคนที่โดนอาจเป็นนางเอง
เรื่องนี้จึงหยุดชะงักลงแบบนี้
เรื่องจุกจิกในหน่วยจัดการอย่างไรก็ไม่หมด วันนี้มีเรื่องต้องเข้าวังพอดี คิดดูแล้วไม่ได้พบหวังหมู่มาหลายวันแล้ว มู่จิ่วจึงส่งรองผู้บัญชาการไปก่อน ตอนนี้ไม่พบหน้าจะดีกว่า นางกลัวว่าพบหวังหมู่แล้วจะเปิดปากบอกเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา
ไหนเลยจะรู้ว่ารองผู้บัญชาการเพิ่งกลับมารายงานเรื่องเสร็จ ขณะนางกำลังพลิกบันทึกคดี ก็พลันรู้สึกว่าที่ประตูมีกลิ่นหอมเพิ่มขึ้นมา จากนั้นมีเงาวูบผ่านมาตรงหน้า ประตูปิดดังปึง! ครั้นมองในห้องอีกครา มีคนใบหน้าบึ้งตึงยืนอยู่ตรงหน้า มงกุฎหงส์ เครื่องยศสายสะพาย ประดับประดาไปด้วยของมีค่า กลิ่นอายสูงศักดิ์นี้ เป็นหวังหมู่ที่นางหลบหน้ามานานนั่นเอง!
“เหนียงเหนียง!”
มู่จิ่วผลุงตัวยืนขึ้นมา ชะงักไปสามวินาที จากนั้นโน้มตัวค้ำประตูมองออกไปข้างนอก
หวังหมู่หยิบพัดขึ้นมาเคาะหัวนาง “ดูอะไร ใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้!”
มู่จิ่วกุมหัวหันกลับมา พูดอย่างอึดอัดว่า “ข้าไหนเลยจะกล้าหวังให้คนมาช่วย? ข้าเพียงดูว่าด้านนอกไม่มีคนแอบฟังเท่านั้น!”
ช่างหนีไม่พ้นจริงๆ นางเป็นถึงเหนียงเหนียงมารดาแห่งสวรรค์ กลับมาหามู่จิ่วด้วยตนเอง!
หวังหมู่ยิ้มเยาะเย้ยไม่หยุด ยกสายสะพายบนร่าง ก่อนนั่งลงไปบนเก้าอี้ของนางอย่างมั่นคง “เรื่องที่ข้าให้เจ้าทำล่ะ?”
รู้แล้วว่านางมาเพราะเรื่องนี้
“ทูลตอบเหนียงเหนียง ช่วงนี้สืบหาอะไรไม่ได้จริงๆ เซียนหญิงในสามภพมีมากเกินไป แต่ละคนก็งดงามมากจนข้าดูไม่ออกว่าเป็นใคร”
นางโกหกได้อย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยไม่ได้ การทำงานราชการต้องเรียนรู้ไว้หน่อย แต่ก่อนนางรู้สึกว่าหลิวจวิ้นกะล่อนเกินไป แต่ตอนนี้รู้สึกว่าอาศัยอยู่ในสวรรค์ หากไม่กลายเป็นอย่างเขาคงลำบากแย่
“ดูไม่ออก?” หวังหมู่ยิ้มตาหยีมองนาง พลางกวักมือเรียก “เจ้าเข้ามา”
มู่จิ่วยืนนิ่งไม่ขยับ
หวังหมู่เงื้อพัดขึ้นมา มู่จิ่วก็ลอยเข้าไปอยู่ตรงหน้านางโดยไม่รู้ตัว!
“เหนียงเหนียง!”
ใบหน้ามู่จิ่วทุกข์ตรมอยู่ตรงหน้าหวังหมู่ แม้แต่หายใจยังรู้สึกต้องใช้เรี่ยวแรง
“ยังไม่พูดความจริงอีก?” น้ำเสียงหวังหมู่เย็นเยียบ
นางรับไม่ไหวแล้ว ไม่ว่าทางไหนก็ตายทั้งนั้น มิสู้พูดออกไปเสีย นางช่วยเหลือพวกอวี้ตี้พวกเขาก็ไม่รู้ รู้แล้วก็ไม่แน่ว่าจะรู้สึกตื้นตันใจ อีกอย่าง หน้าที่ของนางคือรับผิดชอบตามหาเป้าหมายออกมาให้ได้ เรื่องถูกหรือผิดก็ไม่ใช่หน้าที่นางจะตัดสิน? นางให้กำลังใจตนเอง ก่อนพูด “เหนียงเหนียงต้องรับประกันว่าฝ่าบาทจะไม่รู้ว่าข้าเป็นคนพูด”
หวังหมู่มองนางอย่างพินิจ “ข้าดูเป็นคนไม่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรหรือ?”
มู่จิ่วทำคอให้โล่ง ครุ่นคิดสักครู่ก่อนพูด “ที่จริงวันก่อนข้าไปวังเหมันต์จันทรามา เห็นดอกโบตั๋นบนมวยผมของฉางเอ๋อร์ เหมือนกับดอกโบตั๋นซึ่งประดับอยู่บนผมของเซียนหญิงที่ข้าเห็นวันนั้น แต่ข้าไม่อาจแน่ใจได้ว่าคนที่ฝ่าบาทไปพบใช่นางหรือไม่ และข้าเดาว่าอาจจะไม่ใช่ อย่างไรก็ขอให้เหนียงเหนียงตรวจสอบ”
“ฉางเอ๋อร์?” ในสายตาหวังหมู่มีไอเย็นพาดผ่าน นางจ้องมองบานประตูที่ปิดแน่นอยู่นาน ก่อนแค่นเสียงเยาะเย้ย “ที่แท้ก็เป็นนางจริงๆ!”
มู่จิ่วกลับไม่รู้สึกเหนือความคาดหมาย นางสัมผัสได้ว่าก่อนหน้านี้หวังหมู่ก็คล้ายมีหลักฐานแล้ว แต่หวังหมู่ใจเย็นขนาดนี้ มิได้ยืนขึ้นและพุ่งไปหาอวี้ตี้ด้วยความโกรธทันทีตามที่จินตนาการไว้ จึงทำให้นางประหลาดใจเล็กน้อย
นางลองหยั่งเชิง “หรือเหนียงเหนียงรู้นานแล้ว?”
หวังหมู่กวาดตามองนาง “เจ้าไม่รู้จักชงชามาหรือ?”
มู่จิ่วถูกสั่งสอนจนไร้คำพูด รีบหาถ้วยมาชงชาให้ทันที
แต่ชงมานางก็ไม่ดื่ม เพียงหลุบตามองใบชาที่ลอยอยู่ก้นถ้วย ก่อนพูดช้าๆ “เดือนก่อน นางเคยอาศัยโอกาสตอนที่ข้าไม่อยู่วังมาหาฝ่าบาท” พูดถึงตรงนี้หวังหมู่ก็มองมู่จิ่ว “ตอนที่ข้าไปป่าไผ่ม่วงตอนนั้น”
มู่จิ่วครุ่นคิด ตอนหวังหมู่ไปป่าไผ่ม่วงเป็นตอนที่นางไปรับอารมณ์เกรี้ยวกราดของอ๋าวเชินที่ทะเลสาบน้ำแข็ง
ยึดตามคำพูดนี้ พวกอวี้ตี้ก็ ‘เป็นชู้’ กันเมื่อไม่นานมานี้
แต่หากเปลี่ยนลู่ยาเป็นราชาที่ดูแลทั้งหกภพ และมู่จิ่วเป็นหวังหมู่ หากมีเซียนหญิงผู้หนึ่งอาศัยตอนนางไม่อยู่มาหาลู่ยา นางเหมือนจะไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้ประหลาดอะไรเหมือนกัน ถึงอย่างไรก็เป็นความสัมพันธ์ปกติระหว่างผู้ใหญ่กับผู้น้อย หรือว่าการปฏิสัมพันธ์กันตามปกติก็ไม่อาจมีได้? หรือเพียงเพราะฉางเอ๋อร์งดงาม ดังนั้นหวังหมู่เลยระวังนาง?
มู่จิ่วพูด “ไม่ทราบว่าตอนที่ฉางเอ๋อร์มาพบฝ่าบาทเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน?”
หากเป็นกลางวัน แบบนั้นมู่จิ่วก็จะโน้มน้าวหวังหมู่ เฝ้าระวังเข้มงวดขนาดนี้ช่างเหนื่อยนัก และสิ่งที่ลู่ยาพูดก็มีเหตุผลของเขา หากอวี้ตี้ต้องการทำเรื่องเลวร้ายอะไรจริง ไหนเลยยังต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปถึงโลกมนุษย์? อีกอย่าง ตอนนั้นมู่จิ่วเห็นพวกเขานั่งคนละฝั่ง ก็ไม่มีพฤติกรรมเกินงามอะไรจริงๆ
“ตอนกลางคืน” หวังหมู่มองนาง สองคำนี้เหมือนก้อนน้ำแข็งที่ตรงออกมาจากปลายลิ้นนาง
มู่จิ่วนิ่งอึ้ง
“ข้าได้ยินเหล่าเด็กรับใช้พูดกัน ตอนนั้นเป็นเวลาจุดตะเกียงพอดี ฝ่าบาทดูหนังสืออยู่ในห้องทรงพระอักษร ฉางเอ๋อร์มาขอพบอย่างรีบร้อน จากนั้นผ่านไปนานถึงค่อยออกมา หลังจากวันนั้น การเคลื่อนไหวของฝ่าบาทก็มีลับลมคมใน”
หวังหมู่พูดถึงตรงนี้ก็ยืนขึ้นมา สายตาเจือความเย็นชา “สิ่งที่ข้าทนดูไม่ได้ที่สุดคือหญิงที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัว และข้าก็ไม่ชอบผู้ชายทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่รับผิดชอบ ทุกคนพูดว่าข้าโหดเหี้ยมอำมหิต โทษว่าข้าใจดำกับสาวทอผ้า รังแกซานเซิ่งหมู่ แต่กลับไม่เคยคิดว่าพวกนางเลือกหนทางผิดเองหรือไม่?
“ข้ามิได้ลงโทษพวกนางที่รักกับมนุษย์ แต่ลงโทษที่พวกนางไม่รักตัวเอง สำหรับผู้หญิง การทำตัวตามคำพังเพยที่ว่าแต่งกับไก่ก็อยู่กับไก่ แต่งกับสุนัขก็อยู่กับสุนัข ปล่อยให้เป็นไปตามบุญวาสนา ถึงจะเป็นการแสดงถึงความใจเด็ดของนาง หากพวกนางมองการณ์ไกลจริง ทำไมไม่โน้มน้าวให้อีกฝ่ายบำเพ็ญเป็นเซียน จากนั้นค่อยมีชีวิตอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า? แต่นี่กลับไม่สนใจสิ่งใด ละทิ้งฐานะลงไปเป็นมนุษย์”
“แท้จริงแล้วเป็นข้าที่ร้ายกาจ หรือพวกนางโง่เขลากันแน่? ชายที่พวกนางรักไม่ยินยอมรอจนเข้าสู่วิถีเซียนแล้วค่อยอยู่กับพวกนาง พวกเขาไม่มีแม้แต่ความมานะและความตั้งใจ กลับได้แต่รอให้พวกนางละทิ้งความเป็นเซียนมาอยู่ด้วยกัน นอกจากคอยแต่จะพล่ามพูดถึงข้อดีของสาวทอผ้า พาลูกสาวลูกชายมาเฝ้ารอที่ทางช้างเผือกแล้ว หนุ่มเลี้ยงวัวยังเคยทำอะไรอื่นอีกบ้าง?”
……………………………………………………