ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 59
นกต้าเผิงตัวนี้เขารู้จัก เป็นบุตรคนที่เจ็ดของตระกูลซ่างกวน ก่อนหน้านี้ก่อเรื่องบนสวรรค์จนเดือดร้อนไปทั่ว
ซ่างกวนสุ่นอ้าปาก ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
ดีที่หลิวจวิ้นระเบิดอารมณ์ออกมาก่อนเพราะเรื่องวุ่นวายนี้ “กัวมู่จิ่วล่ะ? ยังไม่กลับมาอีกหรือ!”
เสี่ยวซิงตกใจจนกระโดดขึ้นสูงสามฉื่อ “ยัง ยังไม่กลับเจ้าค่ะ!”
…ลานจื่อหลิงวุ่นวายอย่างมาก มู่จิ่วกลับไม่รู้สถานการณ์ใดๆ
นางยังคงหวนนึกถึงยามที่มู่หรงหลิวเย่พูดเรื่องติดตามเซียนที่ได้รับบาดเจ็บมาถึงที่นี่และมองหลินเจี้ยนหรูอย่างไม่แน่ใจ พูดกันตามเหตุผลแล้ว พลังฤทธิ์ของนางสูงขนาดนั้นไม่น่าตามผิดคน แต่ทำไมคนที่รอกลับเป็นหลินเจี้ยนหรู? หรือคนที่นางไล่ตามอยู่มีความเกี่ยวข้องกับเขา?
นางถามหลินเจี้ยนหรู หลินเจี้ยนหรูก็ไม่รู้ ตอนนี้เขากำลังใส่ใจเรื่องอื่นอยู่ แต่เดิมเขาคิดว่าพลังฤทธิ์ของตนสูงขึ้น สามารถรับมือกับคนที่แข็งแกร่งกว่าเขาได้ดีขึ้นบ้าง แต่การพ่ายแพ้ภายใต้เงื้อมมือของจิ้งจอกเก้าหางทำให้ความมั่นใจของเขากลับไปเป็นเหมือนเดิม ที่แท้หากเขาไม่ได้เลื่อนระดับขั้น ถึงพลังฤทธิ์แข็งแกร่งขึ้นอีกก็ใช้งานอะไรไม่ได้
ทั้งสองคนไม่เสียเวลาไปกว่านี้ พาอาฝูเข้าค่ายกลเคลื่อนย้ายกลับไปยังประตูสวรรค์แดนใต้
มู่จิ่วที่ยังคงคิดเรื่องของชิงชิวอยู่พูดขึ้น “ข้าจะไปหาใต้เท้าหลิวที่หน่วยเพื่อคุยเรื่องนี้สักหน่อย”
หลินเจี้ยนหรูพูด “ข้าไปกับเจ้าด้วยจะดีกว่า”
มู่จิ่วไม่มีความเห็น รีบเร่งมุ่งตรงไปยังหน่วยลาดตระเวน
ไหนเลยจะรู้ว่ามาถึงหน่วยแล้วหลิวจวิ้นกลับไม่อยู่ กำลังคิดจะถามว่าเขาไปไหน ด้านนอกมีคนในหน่วยรีบร้อนตรงมายังพวกเขา “กัวมู่จิ่ว ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่? ลานบ้านของเจ้าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว! มีคนบอกว่าเจ้าแอบซ่อนผู้ชายไว้ในเรือน! ใต้เท้าหลิวไปที่นั่นแล้ว!”
แอบซ่อนผู้ชายเอาไว้?
มู่จิ่วราวกับมีสายฟ้าฟาดกลางกระหม่อม! นางจะซ่อนใครไว้ได้ หรือเป็นลู่ยา?!
ลู่ยาถูกคนพบเข้าแล้ว?!
“สวรรค์!”
นางร้องตกใจก่อนพุ่งออกจากประตูลานไป ระหว่างทางเหล่าคนที่ยืนเฝ้ายามอยู่โดนนางชนจนล้มไปหลายคน!
หลินเจี้ยนหรูขมวดคิ้ว มือหนึ่งดึงคนในหน่วยไว้ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ผู้ชายอะไร?”
ระหว่างทางกลับหอวิหคแดง นางพบคนมากมายกำลังซุบซิบ คนบางส่วนที่จำนางได้เห็นนางก็พลันนิ่งอึ้ง จากนั้นหันไปซุบซิบนินทาอย่างเผ็ดร้อนขึ้นไปอีก!
มู่จิ่วไหนเลยจะสนใจมากขนาดนั้น? หัวใจขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ สองเท้าวิ่งไปยังลานบ้านราวกับเป็นล้อรถ!
“ค่ายทหารสวรรค์มิใช่ที่ธรรมดา ยังไงก็ขอเชิญเซียนลู่อธิบายเรื่องความสัมพันธ์ของเจ้ากับมู่จิ่ว หากไม่ล่ะก็ พวกเราคงทำได้เพียงตัดสินไปตามกฎ”
เพิ่งมาถึงประตูลานจื่อหลิง ก็ได้ยินคำพูดของจางเหยี่ยนซิงจวินคำนี้
“ช้าก่อน!” นางรีบเปิดประตูเข้าไป หอบหายใจเดินเข้าไปในลานบ้าน ก้มศีรษะที่เต็มไปด้วยเหงื่อค้อมตัวประสานมือให้กับหลิวจวิ้น “ท่านเซียนโปรดระงับโทสะ เรื่องนี้ข้าอธิบายได้…”
“กัวมู่จิ่ว!” ไม่รอนางพูดจบ หลิวจวิ้นร้องเรียกเสียงดัง “มารดาเจ้าบังอาจมากนักหรือ?! ถึงกล้าซ่อนคนนอกไว้ในสถานที่สำคัญอย่างค่ายทหารแบบนี้ เจ้ารู้หรือว่าไม่หากเกิดเรื่องขึ้น เจ้าจะทำให้ข้าตกที่นั่งลำบาก!”
เสียแรงที่หลายวันมานี้เขาเปลี่ยนมุมมองต่อนางไป รู้สึกว่านางยังพออบรมบ่มเพาะได้ ไหนเลยจะคาดคิดว่ายังไม่ทันไรนางก็ก่อเรื่องเวรนี่ให้เขาแล้ว!
มู่จิ่วอดกลั้นต่อเสียงสะเทือนแก้วหูที่ดังมา รีบพูดอย่างลนลานว่า “ใต้เท้าโปรดระงับโทสะ! เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด ลู่ยาแท้จริงแล้วเป็น…”
“เจ้าช่างเหลวไหลนัก!” หลิวจวิ้นอดไม่ได้ระเบิดอารมณ์ใส่นาง ใบหน้าที่แต่เดิมพอจัดว่างดงามก็บิดเบี้ยวไปเพราะความโกรธ “เจ้าไสหัวออกไป ไปทำเรื่องย้ายที่หน่วย! ฝ่ายทหารก็ไม่ต้องไป ข้าจะไปแทนเจ้าด้วยตนเอง! หากยังอยู่หน่วยลาดตระเวนของข้าต่อ ข้าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”
พูดจบก็โยนป้ายที่หยิบมาจากเอวโยนไปที่เท้าของนาง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
มู่จิ่วพลันก้าวเท้ายาวๆ ไปขวางทางเขาไว้ “ใต้เท้า!”
หลิวจวิ้นอ้อมไปด้านซ้าย มู่จิ่วก็ไปด้านซ้าย เขาอ้อมไปด้านขวา นางก็ไปด้านขวา “ที่ผ่านมาแม้ข้าน้อยไม่มีผลงานแต่ก็มีความบากบั่น เห็นแก่ที่ข้าน้อยทำงานไม่ผิดพลาด อย่างไรท่านก็ช่วยมอบโอกาสให้พูดอธิบายด้วยเถิด?”
หลิวจวิ้นใบหน้าเย็นชายามหยุดอยู่ที่ต้นท้อ “ถอยออกไป!”
มู่เสี่ยวซิงมองลู่ยาอย่างร้อนรน อยากให้เขาเข้าไปช่วยเหลือเกิน
ลู่ยาเห็นมู่จิ่วก้มหัวร้องขอต่อหลิวจวิ้น ก็เกิดความโกรธขึ้นโดยไม่รู้ตัวนานแล้ว เด็กสาวคนนี้ทุกวันช่วยเขาทุบขารินชาก็พอ ตำแหน่งของเขาไม่ได้ทำให้นางดูต่ำค่าลงเลย แต่ทำไมอยู่ต่อหน้าธารกำนัลนางจึงไม่นึกถึงศักดิ์ศรีของตัวเองบ้าง? เขาไม่จำเป็นต้องให้นางคุกเข่ายอมคนขนาดนี้เพื่อปกป้องเขา!
ทางนี้ลุกขึ้นมา กำลังเตรียมจะพูด นอกประตูกลับมีคนเข้ามาพอดี
“ใต้เท้าโปรดระงับโทสะ มู่จิ่วย่อมต้องมีเรื่องลำบากยากจะพูด ข้าน้อยขอให้ท่านฟังนางเสียหน่อย”
หลินเจี้ยนหรูรีบร้อนเข้ามา ค้อมเอวลงต่ำประสานมือคำนับหลิวจวิ้น เงยหน้าขึ้นจับจ้องสายตามาที่ใบหน้าลู่ยา นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ละสายตาไป
ลู่ยาเห็นเป็นเขาก็ขมวดคิ้ว
เขาคิดไม่ถึงว่าหลินเจี้ยนหรูจะออกหน้าช่วยพูดให้มู่จิ่ว
ดูท่าทางเขาคงรู้ต้นสายปลายเหตุแล้วเช่นกัน แต่ทำไมสีหน้าของเขาถึงไม่มีความผิดหวังหรือความประหม่าเลยแม้แต่น้อย?
เขาเพิ่งกลับมาจากการนัดมู่จิ่วไปเดินเล่นมิใช่หรอกหรือ?
เขาไม่โกรธเลย? ไม่โมโห? ไม่หึง? ไม่อิจฉา?
หรือความเป็นเทพเซียนชั้นสูงของตนไม่ได้กดดันอีกฝ่ายเลย?
เขาไม่มีแรงดึงดูดขนาดนั้นเลยหรือ?
แต่เดิมเขาคิดจะเปิดเผยตำแหน่งของตนไปเสีย อย่างมากก็แค่โชคร้ายต่อไปเท่านั้น ตอนนี้เขากลับอยากดูก่อนว่าหลินเจี้ยนหรูจะทำอย่างไร
“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเจ้า?”
หลิวจวิ้นเสียงดังโวยวายไม่ต่างจากที่คิดไว้
“ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องของข้าน้อย แต่ข้าน้อยเชื่อว่ามู่จิ่วไม่ใช่คนเพิกเฉยต่อกฎของทหารแน่นอน และนางมีใจโอบอ้อมอารี รักษากฎเกณฑ์อย่างตรงไปตรงมา นางจะเป็นคนตามใจตนเองละเลยกฎได้อย่างไร? หากไม่มีสาเหตุ นางคงไม่เก็บคนนอกไว้”
พูดถึงตรงนี้เขาก็มองลู่ยาอีก จากนั้นพูดต่อ “ค่ายทหารสวรรค์ที่สุดก็ไม่ใช่ที่อื่น การเก็บคนนอกไว้โดยพลการนั้นไม่เหมาะสมก็จริง ทว่าข้าน้อยกลับคิดว่าไม่จำเป็นต้องลากทุกคนเข้ามาเกี่ยวข้อง เพียงแค่เชิญให้สหายเซียนท่านนี้ออกจากหอวิหคแดงไป เรื่องก็คลี่คลายแล้ว”
“ออกจากหอวิหคแดงไป?” มู่จิ่วอึ้ง
ถึงแม้นางจะรู้ว่าหลินเจี้ยนหรูเจตนาดีช่วยนาง แต่ลู่ยากำลังหลบหนีจากการไล่ล่าของศิษย์พี่ อีกทั้งพลังร้ายในตัวเขาแสดงปฏิกิริยาออกมาได้ทุกเมื่อ ปล่อยเขาไปแบบนี้ มิใช่เป็นการส่งเขาไปตายหรือไร?
แน่นอนว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางรู้ดีว่าตนเองไร้กำลัง
ดังนั้นจึงทำได้เพียงมองลู่ยาอย่างกังวล
ลู่ยาได้ยินหลินเจี้ยนหรูพูดจบ ในใจก็ยิ้มเยาะ
ที่แท้เจ้าหนุ่มคนนี้ตั้งใจจะไล่เขาออกไป!
คิดได้ประเสริฐนัก! ถ้าเขาจะไป ไม่ต้องให้ฝ่ายนั้นมาไล่หรอก
“ทำเช่นนี้ได้ที่ไหน?! จะปล่อยนางไปแบบนี้ได้อย่างไร!” อวี๋เสี่ยวเหลียนก้าวออกมา “นางซ่อนไว้ครั้งหนึ่ง ย่อมต้องซ่อนไว้ได้อีกเป็นครั้งที่สอง อีกอย่างเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องเสื่อมเสียด้วย! ยังไงก็ข้าทนไม่ได้กับพฤติกรรมของกัวมู่จิ่ว! นางทำเหมือนกฏสวรรค์เป็นของเล่น! หากคนแซ่ลู่จะไป กัวมู่จิ่วก็ต้องไปจากทัพทหารด้วย!”
ทั้งลานบ้านเสียงของนางดังที่สุด
หลิวจวิ้นอดไม่ได้ เหลือบมองนางคราหนึ่ง