ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 66
มู่จิ่วคิดจะออกไปแล้ว
ทว่าตอนหมุนตัวพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งได้ “ใช่แล้ว เรื่องที่ท่านให้ข้าทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยืนดูกระดาษโดนเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าทั้งหมดจึงค่อยไป”
ในเมื่อทำเรื่องแทนคนอื่น กลับมาก็ควรแจ้งเสียหน่อย
พู่กันในมือหลิวจวิ้นพลันชะงักไป สายตาจดจ่อตัวอักษรเสี่ยวข่าย[1]ใต้พู่กันอยู่นานกว่าจะเคลื่อนมือแล้วพูดขึ้น “อืม”
หลังออกจากห้องทำงานของหลิวจวิ้น มู่จิ่วก็ไปห้องทำงานของเฉินอิงเพื่อคุยเรื่องที่ต้องไปทำคดีกับหลินเจี้ยนหรู
เฉินอิงรู้เรื่องแล้ว เจอหน้าก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะหยอกล้อสักหลายประโยค แต่สุดท้ายยังกำชับนางถึงเรื่องที่ควรรู้ก่อนไปยังโลกต่างๆ แต่ก่อนตอนมู่จิ่วนำมื้อดึกออกมา มักจะเอาไปให้เฉินอิงชุดหนึ่งเป็นประจำ ในตอนแรกเฉินอิงไม่รับ ภายหลังเมื่อห้ามน้ำใจของนางไม่ได้จึงทำได้เพียงรับมา วันนี้ความสัมพันธ์ค่อยๆ สนิทสนมกันแล้ว
นางกำลังเตรียมกลับหอ ไหนเลยจะรู้ว่าจะเจอหลินเจี้ยนหรูที่ถนนแคบระหว่างค่ายทหารสวรรค์กับหอวิหคแดง
เขายืนหันหน้าเข้าหากำแพงอยู่ที่นั่นคนเดียว มือจับกระบี่ข้างเอว ปลายเท้าเตะหญ้าเขียวที่มุมกำแพงเบาๆ เสื้อคลุมสีฟ้าตัวยาวขับเน้นให้เขาดูหล่อเหลาสง่างาม ความเยาว์วัยที่พบเห็นตรงประตูสวรรค์แดนใต้ในตอนนั้นค่อยๆ เลือนหายไปจากตัวเขา ความมั่นคงและสุขุมเข้ามาแทนที่ ลักษณะงดงามที่สุดของช่วงวัยหนุ่มสาวปรากฏออกมาแล้ว
“เจ้ากำลังรอใคร?”
มู่จิ่วพิจารณาเขาสักครู่ อดเดินไปทักทายไม่ได้
หลินเจี้ยนหรูหยุดปลายเท้า นิ่งไปครู่หนึ่งถึงค่อยหันศีรษะมา สายตาจับจ้องที่ใบหน้ามู่จิ่ว ยกริมฝีปากขึ้น “รอเจ้า”
มู่จิ่วพยักหน้า ชี้ไปด้านหลังพลางพูด “ข้าเพิ่งไปจัดการเรื่องเบ็ดเตล็ดที่หน่วยมา ข้าบอกเรื่องที่เจ้าจะรับผิดชอบทำคดีกับข้าแล้วนะ เจ้าเตรียมตัวเรียบร้อยหรือยัง? พวกเราไปคราวนี้อาจจะใช้เวลาหลายวัน”
หลินเจี้ยนหรูพยักหน้า เงียบไปพักหนึ่ง เขาก็พูดขึ้นอีก “มีเรื่องหนึ่งอยากถามเจ้า ลู่หยา…เป็นคู่หมั้นของเจ้าจริงๆ หรือ?”
มู่จิ่วคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะถามเรื่องนี้ จะให้นางพูดอย่างไรดี? นางขยี้ศีรษะ “เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม?”
“ข้าแค่รู้สึกว่าระหว่างพวกเจ้าเหมือนไม่ได้คุ้นเคยกันอย่างที่เจ้าพูด” เขาหลุบตามองพื้น “ข้าคิดว่าเขาไม่ใช่คู่หมั้นของเจ้า เพียงแต่คงมีเรื่องลำบากที่พูดออกมาไม่ได้ ทำให้เจ้าต้องรับเขาไว้ ถูกหรือไม่?”
ใจของมู่จิ่วเหมือนกับโดนม้าถีบทีหนึ่ง!
เจ้าคนนี้ฉลาดเกินไปแล้วกระมัง? เขาดูออกได้อย่างไรว่าพวกนางโกหก?
“ข้าจำได้ คราวก่อนต่อหน้าใต้เท้าหลิว กระจกฟ้าดินสะท้อนที่มาที่ไปของเจ้า เจ้าเกิดในบ้านที่ยากจน เป็นเพราะมีจิตใจดีงามจึงได้รับวาสนาเซียน เข้าสู่หนทางการบำเพ็ญเพียร คู่หมั้นสมัยเด็กของเจ้าจะมาจากไหนกัน?” หลินเจี้ยนหรูพูดต่อ “ข้าไม่ได้มีเจตนาจะถามเรื่องความลับของเจ้า เพียงแต่หวังว่าเจ้าจะเห็นข้าเป็นเพื่อน หากมีเรื่องลำบากอะไร ข้าช่วยเจ้าแบ่งเบาได้มิใช่หรือ?”
มู่จิ่วสับสนอยู่บ้าง
เขาเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของนางในค่ายทหารสวรรค์นี้ และไม่ว่าเวลาไหนเขาก็ยืดอกออกมาปกป้องนางทุกครั้ง ตอนนี้เขาพูดแบบนี้ นางรู้สึกว่าตนเองมีความเป็นเพื่อนไม่มากพอจริงๆ
แต่เรื่องสำคัญขนาดนี้ นางจะพูดออกไปส่งเดชได้หรือ?
นางกัดฟันพูด “เจ้าไม่ต้องถามแล้ว ตอนนี้ข้าพูดไม่ได้ แต่ภายภาคหน้าจะบอกให้ฟัง”
แบบนี้ก็ไม่นับว่าหลอกลวงแล้วใช่หรือไม่? อย่างไรก็ไม่ได้ทำร้ายอะไรเขา
“ข้าเข้าใจแล้ว” สายตาของหลินเจี้ยนหรูขยับไหวเล็กน้อย ก่อนยิ้มขึ้น
เขารู้ว่านางโกหกไม่เป็น สายตาของนางพูดแทนทั้งหมดแล้ว ถึงแม้ลู่หยาจะเป็นเทพเซียน แต่กลับไม่ใช่คู่หมั้นของนางจริงๆ
เพียงแค่ไม่ใช่ความจริง เขาก็ไม่จำเป็นต้องถามต่อแล้ว
เห็นสีหน้าคล้ำหมองของเขาเปลี่ยนเป็นสดใส มู่จิ่วพลันรู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย ทำไมเขาถึงมีท่าทางเหมือนกับว่ารู้หมดแล้วล่ะ?
แต่ช่างเถอะ ถือเสียว่านอกจากนางที่โง่แล้ว ที่เหลือล้วนเป็นคนฉลาดทั้งสิ้น เขาไม่ใช่คนที่เที่ยวโพนทะนาไปทั่ว รู้ก็รู้ไปเถิด
“เช่นนั้นเจ้าไปทำธุระของเจ้าก่อนเถอะ ข้าจะกลับไปเก็บของ”
หลินเจี้ยนหรูพยักหน้าให้นาง ก้าวเท้าเบาๆ เข้าประตูไป
มู่จิ่วคิดจะกำชับเขาสักหน่อย ไม่คิดว่าเขาจะเดินเร็วเกิน เลี้ยวมุมไปก็ไม่เห็นเงาคนแล้ว จึงได้แต่ปล่อยตามนั้นไป
หลินเจี้ยนหรูกลับถึงลานชิงซง มุ่งตรงเข้าไปในเรือน ปิดประตูแล้วเก็บข้าวของ
ที่จริงก็ไม่มีอะไรต้องนำไป จึงไม่ต้องใช้สัมภาระ เขาเองก็ไม่มีของล้ำค่า มีเพียงกระบี่เล่มเดียวเท่านั้น
ถ้ายังมีก็คงเป็นคัมภีร์ฝึกลมปราณเล่มนั้น
เขานั่งลงข้างโต๊ะเขียนหนังสือริมหน้าต่าง หยิบคัมภีร์จากในลิ้นชักขึ้นมาอ่านด้วยอารมณ์ดีอย่างยิ่ง ประสบการณ์ตั้งแต่เด็กในสำนักแรกพยับบอกเขาว่า ของที่อยากได้ต้องดิ้นรนเอามาด้วยตนเอง เขาไม่อยากปล่อยเพื่อนอย่างมู่จิ่วคนนี้ไป เพราะนอกจากนางแล้วก็ไม่มีใครช่วยเหลือเขาอย่างเอาใส่ใจเช่นนี้
เมื่อคืนวานเขาพลิกตัวไปมาทั้งคืน ความคิดที่จะไปลานจื่อหลิงเพื่อนัดนางออกมาผุดขึ้นหลายครั้ง แต่ที่สุดแล้วก็รู้สึกว่าทำแบบนั้นวู่วามไป และหากพวกเขาหมั้นหมายกันจริง ถ้าโดนลู่หยาพบเข้า เขาก็คงน้ำท่วมปากพูดได้ไม่ชัดเจน ตอนนี้เขาไม่คิดจะดึงแต่ละฝ่ายไปสู่สถานการณ์ลำบากเพราะเรื่องเหล่านี้ สถานะของเขาทำให้เขาต้องใคร่ครวญแต่ละก้าวให้ดี
ดังนั้นเมื่อถามได้ความมาว่านางไปค่ายทหารสวรรค์ เขาจึงรอนางอยู่ที่ปากประตู
ความคิดของนางเข้าใจได้ง่ายดังคาด เขาเพียงถามครั้งเดียวก็สารภาพแล้ว
ตอนนี้ยืนยันได้แล้วว่าแท้จริงเป็นเรื่องเข้าใจผิด เขาจึงรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งร่าง
เขารู้ว่าหากมู่จิ่วหมั้นหมายไว้นานแล้ว ด้วยระดับความสัมพันธ์ของนางกับเขาที่ผ่านมา อย่างไรนางก็ต้องแพร่งพรายออกมาเล็กน้อย เขามั่นใจในทักษะการสังเกตของตนเองมาตลอด เมื่อก่อนเขาไม่เห็นสิ่งที่น่าสงสัยเลยแม้แต่น้อย ทว่าเรื่องนี้กลับมีพิรุธมาก
แต่จะว่าไปแล้ว ทำไมนางต้องโกหกด้วย?
เขาขมวดคิ้วมองหนังสือที่เปิดค้างไว้ รู้สึกเพียงตัวอักษรแต่ละตัวสั่นไหว
ถึงแม้เขาจะแน่ใจว่านี่เป็นเรื่องโกหก แต่ก็ยากจะรับประกันว่าลู่หยาอาจมีใจให้มู่จิ่วอยู่หลายส่วน หากเรื่องโกหกกลายเป็นเรื่องจริง…
แม้เขาจะเป็นศิษย์ลัทธิฉ่าน แต่สถานะลูกนอกสมรสกำหนดให้เขาไม่มีอนาคตอะไรในสำนักแรกพยับ
ความหวังเดียวของเขาคือการเกณฑ์ทหารในรอบห้าร้อยปีนี้จะได้รับวาสนาให้กลายเป็นเซียนหรือไม่ ทหารในหน่วยลาดตระเวนส่วนใหญ่ก็อยู่ในขั้นจินตันลงไป พลังฤทธิ์กับความสามารถของพวกเขาจำกัดให้ไม่สามารถสร้างผลงานใหญ่ๆ อะไรได้ เขาก็เหมือนคนพวกนั้น ยากจะได้วาสนาที่ต้องการในห้าร้อยปี
สวรรค์ทำให้เขาพบนางที่มีใจเอื้อเฟื้อ หรือยังคิดจะพาไปจากข้างกายเขาอีก?
เขาเปิดลิ้นชัก หยิบเอาขนจิ้งจอกเล็กๆ ออกมา
ขนจิ้งจอกนี้เขาใช้ปลายกระบี่ตัดมาได้จากตอนที่ต่อสู้กับจิ้งจอกแดงเก้าหาง เมื่อมองเห็นมันเขาจะนึกถึงว่าตนยังห่างชั้นกับคนอื่นนัก
พลังการต่อสู้แบบนั้นของจิ้งจอกแดง เกรงว่าผ่านไปอีกหลายพันปีเขาก็ยังไม่มีกระมัง?
“หลินเจี้ยนหรูอยู่ไหม?”
ด้านนอกพลันมีคนมาเคาะประตู
เขารีบเก็บความคิด เก็บขนจิ้งจอกเข้าในกระเป๋า จากนั้นยืนขึ้นเปิดประตู
ไม่คิดว่าข้างนอกจะเป็นเหลียงชิวฉาน!
เขาขมวดคิ้ว นับจากตอนที่จีหย่งฟางมาหาเรื่องเขา เหล่าศิษย์พี่หญิงก็ไม่ได้มาหาเขาอีกเลย
“ทำไมเปิดประตูช้าขนาดนี้?”
ไม่รู้ว่าเพราะเคยชินกับศิษย์พี่ใหญ่แล้ว หรือเพราะนางเป็นหนึ่งในศิษย์ที่เจ้าสำนักหัวชิงเต้าเหรินเอ็นดูที่สุด ต่อหน้าคนอื่นเหลียงชิวฉานจะมีท่าทางวางตนอยู่เหนือผู้อื่นเสมอ และคราวนี้สายตาของนางกำลังมีแววตำหนิ