ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 67
หลินเจี้ยนหรูเงียบ จวบจนความประหลาดใจบนใบหน้าหายไป จึงหมุนตัวเดินเข้าห้อง “ศิษย์พี่ใหญ่มาหาข้ามีเรื่องอะไร?”
เหลียงชิวฉานเดินตามเข้ามา มองไปรอบๆ ห้อง เมื่อไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติถึงค่อยหมุนกลับมาจ้องเขา “แน่นอนว่าต้องมีเรื่อง! สำนักแรกพยับเกิดเรื่องแล้ว อาจารย์อาเจ็ดถูกสังหารในป่า พ่อของเจ้าก็ได้รับบาดเจ็บหนัก เจ้าสำนักส่งคนนำจดหมายมาแจ้งให้พวกเรากลับไป เจ้ารีบตามข้าไปเร็ว!”
หลินเซี่ยได้รับบาดเจ็บ?
หลินเจี้ยนหรูประหลาดใจอยู่บ้าง ทว่าไม่มีท่าทีตึงเครียดเลย
หลินเซี่ยจะเป็นหรือตายเขาไม่ใส่ใจ เพียงแต่คนที่ตายทำไมไม่เป็นหลินเซี่ยแต่กลับเป็นจื่อหยางเต้าเหริน? คนแบบเขาสมควรตายตั้งนานแล้ว!
“นิ่งอึ้งทำอะไร? ยังไม่รีบเก็บของอีก?” เหลียงชิวฉานขมวดคิ้วเร่ง
เขาหยิบกระบี่ที่ผูกไว้ข้างตัวอย่างเชื่องช้าก่อนพูด “หน่วยงานมีคำสั่ง พรุ่งนี้ข้ากับสหายต้องไปสืบคดีที่ชิงชิว มีภาระติดตัวอยู่ โปรดอภัยที่ข้าไม่สามารถไปด้วยได้”
“สืบคดี?” เหลียงชิวฉานนิ่งไป มองเขาบนจรดล่างถึงสองครา พูดเยาะเย้ยว่า “เจ้าจะสืบคดีอะไรได้? หาข้ออ้างให้น้อยหน่อย! อาจารย์อาสี่คือพ่อของเจ้า ตอนนี้เขาบาดเจ็บหนัก แม้แต่ไปดูเจ้ายังไม่ไป ในสายตาเจ้ายังมีคำว่ากตัญญูอยู่หรือไม่?!”
“พ่อ?” หลินเจี้ยนหรูพูดคำนี้ด้วยเสียงสูงอย่างมาก เขายิ้มเยาะเอ่ย “ทำไมข้าถึงไม่รู้ว่าข้ายังมีพ่ออยู่? หลายปีมานี้ข้าอาศัยอยู่กับกองฟาง กินผักเหลือข้าวเหลือจนเติบโตขึ้นมา บ่อยครั้งข้าต้องแบกรับบทลงโทษที่ไม่รู้ที่มาที่ไป เวลานั้นไม่เห็นมีใครบอกว่าข้ามีพ่อ”
เมื่อก่อนเขาไม่กล้าพูดคำเหล่านี้ แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้ว
ห้าร้อยปีข้างหน้าหากเขาไม่ตาย เขาก็จะไม่กลับไปสำนักแรกพยับอีก
“หลินเจี้ยนหรู!” เหลียงชิวฉานร้องเรียกเขาเสียงหนัก เดินตรงเข้าไปพูด “เจ้ามันพวกสวะเนรคุณ!”
“เขามีบุญคุณอะไรกับข้า?” เขาหันศีรษะไปทันที ดวงตาทั้งคู่เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง “เชิญเจ้าบอกข้า เขามีบุญคุณอะไรกับข้า?”
เหลียงชิวฉานอึ้งอยู่นาน กัดฟันแน่น เงื้อมือขึ้นสะบัดไปที่ใบหน้าเขาทันที!
หลินเจี้ยนหรูจับข้อมือของนางไว้ได้อย่างแม่นยำ ดันนางถอยไปด้านหลัง เหลียงชิวฉานโซเซถอยไปหลายก้าว สีหน้าเปลี่ยนไปเย็นยะเยือกยิ่งกว่าน้ำค้างแข็งในฤดูใบไม้ร่วง
“เจ้าคิดจะก่อกบฏรึ?!”
“ข้าไม่ได้คิดจะก่อกบฏ เพียงแค่อยากบอกเจ้าว่า อย่าคิดว่าข้าจะเป็นขยะไปทั้งชีวิต!”
“เจ้าเป็นเพียงขยะ!” เหลียงชิวฉานกัดฟันชี้เขา “ทุกชีวิตทุกชาติภพ เจ้าก็เป็นแค่ลูกนอกสมรสกับขยะ! ตั้งแต่แรกรากฐานวิญญาณของเจ้าไม่ได้ถูกชำระล้างให้สะอาด ถึงแม้พลังฤทธิ์ของเจ้าจะสูงขึ้น แต่ทั้งชีวิตนี้ก็เลื่อนขั้นไม่ได้ ถึงแม้เจ้าจะเลื่อนขั้นได้ ทั้งชีวิตเจ้าก็เป็นเพียงแค่เศษดินโคลนใต้เท้าข้า! เจ้าคิดจริงหรือว่าตัวเองจะขึ้นเป็นเซียนได้? ฝันไปเถอะ!”
หลินเจี้ยนหรูพลันสั่นสะท้าน “เจ้าว่าอะไรนะ?”
“ข้าพูดว่าชั่วชีวิตนี้เจ้าอย่าคิดจะแทรกตัวขึ้นมาในกลุ่มเซียนได้!” เหลียงชิวฉานเดินเข้าไปใกล้เขา แต่ละคำต่างก็ลอดไรฟันออกมา “ชีวิตนี้ของเจ้าถูกกำหนดให้เป็นเพียงสุนัขของสำนักแรกพยับ ถึงแม้ขึ้นมาบนสวรรค์ ถึงแม้ได้โอกาสสร้างผลงาน แต่คนรากฐานวิญญาณไม่สะอาดอย่างเจ้า ทั้งชีวิตนี้ก็อย่าคิดว่าจะข้ามผ่านพวกเราไปได้! ไม่มีวันขึ้นมานั่งเชิดหน้าชูตาเสมอพวกเราได้หรอก!”
หลินเจี้ยนหรูรู้สึกในหัวส่งเสียงดังหวือ
รากฐานวิญญาณของเขาไม่ได้รับการชำระล้าง?
นี่คือคำโกหกของนางหรือเขาฟังผิดไป?
เหตุผลที่เขาเลื่อนขั้นช้ามาหลายปีขนาดนี้ไม่ใช่เพราะบำเพ็ญไม่พอ พลังฤทธิ์ไม่ลึกล้ำ แต่เป็นเพราะรากฐานวิญญาณของเขาไม่สะอาดบริสุทธิ์?
“ทำไม?” เขายันขอบโต๊ะไว้ เรียกเสียงของตนเองกลับมายากลำบากนัก
“เพราะแต่เดิมเจ้าก็ไม่คู่ควรเป็นศิษย์สำนักแรกพยับของพวกเรา!”
เหลียงชิวฉานตบโต๊ะชาตรงหน้าเขาแหลกเป็นผุยผงในฝ่ามือเดียว ก่อนจะยิ้มเยาะเดินออกประตูไป
หลินเจี้ยนหรูมองตามแผ่นหลังนาง อีกนานกว่าจะหาลมหายใจของตนเองเจอ
ทางด้านมู่จิ่วกลับมาถึงลานจื่อหลิงแล้ว มู่เสี่ยวซิงจัดอาหารขึ้นโต๊ะเรียบร้อย
ลู่ยาไม่รู้กำลังยุ่งอยู่กับอะไร เห็นเพียงบนโต๊ะเตี้ยวางอุปกรณ์เต็มไปหมด
ครั้นเห็นมู่จิ่วกลับมา เขาก็ยื่นศีรษะมาเอ่ย “เจ้าเตรียมตัวไว้ วันนี้พระจันทร์เต็มดวงพอดี เหล่าจิ้งจอกเก้าหางจะเซ่นไหว้พระจันทร์อยู่ที่สระน้ำฮั่น กินข้าวเสร็จพวกเราจะไปชิงชิว”
มู่จิ่วที่กำลังดื่มน้ำฟังแล้วสำลัก “ทำไมต้องไปตอนพระจันทร์เต็มดวง?”
ลู่ยาหันหลังให้มู่จิ่ว “อาจารย์ผู้ก่อตั้งของพวกเขากำหนดไว้ เพื่อระลึกถึงบุญคุณฟ้า ทุกครั้งที่จันทร์เต็มดวงจะงดเว้นการฆ่า ดังนั้นถึงพวกเขาจะไม่ต้อนรับพวกเรา อย่างน้อยก็คงไม่ลงไม้ลงมือด้วย”
เหล่าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างมาก ถึงแม้เขาไปเองก็ไม่อาจไม่ระมัดระวังเป็นพิเศษ ถ้าสามารถร้องขอให้พวกเขาร่วมมือได้ก็ดี
มู่จิ่วพลันตาสว่าง ก้าวเข้าไปประจบประแจงเขาต่อ “โชคดีที่มีเทพเซียนมากความสามารถเช่นเจ้าอยู่! มิฉะนั้นหากออกเดินทางพรุ่งนี้คงเจอกับเรื่องยุ่งยากไม่น้อย”
“รู้ว่าข้าดีแล้วก็ปฏิบัติต่อข้าดีๆ หน่อย อย่าเอะอะก็ตบโต๊ะถลึงตาใส่” ลู่ยาวักน้ำล้างมืออย่างไม่รีบร้อน
มู่เสี่ยวซิงได้ยินว่าพวกเขาจะออกเดินทางบ่ายนี้ จิตใจก็ร้อนรุ่มมาก ถึงแม้เวลาปกตินางจะอยู่ตัวคนเดียวที่บ้าน ดีร้ายอย่างไรก็ยังมีลู่ยาอยู่ ตอนนี้พวกเขาทั้งสองต้องเดินทาง นางก็ได้แต่มองตาปริบปริบ น้ำตาจวนเจียนจะไหลอยู่ร่อมร่อ คิดจะหยิบยกเรื่องขอติดตามไปด้วยก็ไม่กล้า เพราะอย่างไรจิ้งจอกก็กินกระต่าย และยังได้ยินมาว่าจิ้งจอกเหล่านี้โหดเหี้ยมนัก เช่นนั้นก็ช่างมันเถอะ
มู่จิ่วรู้ว่านางขี้กลัว จึงตั้งใจสั่งอาฝูให้อยู่เป็นเพื่อนนาง ตอนนี้อาฝูมองมู่เสี่ยวซิงเป็นผู้ดูแลข้าวปลาอาหาร ไม่ได้จ้องมองนางอย่างจะกินเลือดเนื้อนานแล้ว อีกทั้งเขายังมีพละกำลังขนาดสามารถต่อกรกับจิ้งจอกเก้าหาง อย่างไรก็ปกป้องนางได้อยู่แล้ว
แต่มู่จิ่วยังคงกางเขตพลังไว้ที่เรือนทิศตะวันตกเพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน
หลังมื้ออาหาร นางวิ่งไปหาหลินเจี้ยนหรูที่ถนนตะวันออก
เพิ่งถึงประตูลานบ้านของเขา เพื่อนร่วมลานบ้านก็บอกว่า “หลินเจี้ยนหรูกลับสำนักแรกพยับไปแล้ว ได้ยินว่าสำนักนั้นเกิดเรื่องเล็กน้อย เขาให้ข้านำสิ่งนี้ให้เจ้า”
มู่จิ่วรู้สึกผิดคาดมาก รีบคลี่ม้วนกระดาษออกมา เห็นเป็นลายมือของหลินเจี้ยนหรู บอกเรียบๆ เพียงไม่กี่ประโยคว่าจะกลับสำนักแรกพยับ ไม่กี่วันก็กลับมา การเดินทางครั้งนี้ให้นางกับลู่หยาระมัดระวังตัวให้มาก
ในเมื่อเป็นแบบนี้ มู่จิ่วจึงทำได้เพียงเก็บของกับลู่ยา แล้วออกจากประตูสวรรค์แดนใต้ไป
หลินเจี้ยนหรูไปไม่ได้ ลู่ยาดีใจมาก ถึงขนาดเดินอย่างรวดเร็วเลยทีเดียว
ชิงชิวอยู่ที่แผ่นดินเก้าทวีป ห่างออกไปแสนลี้ทางทิศตะวันออก สมัยโบราณถือชิงชิวเป็นชื่อของอาณาจักร หลายชั่วอายุคนต่อมาใช้จิ้งจอกเก้าหางเป็นคำเรียก
จิ้งจอกเก้าหางสูงส่งทระนงเหมือนกับเผ่าพันธุ์มีชาติตระกูลอื่น ไม่คบค้าสมาคมกับเผ่าพันธุ์อื่นนอกจากเผ่าพันธุ์เทพ แต่อดีตราชาจิ้งจอกที่ผ่านมาบริหารปกครองอาณาจักรอย่างมีระบบระเบียบ ทำให้แต่ละเผ่าพันธุ์ไม่มีการห้ำหั่นกัน เพราะเหตุนี้จึงมีข่าวเกี่ยวกับพวกเขาออกมาน้อยมาก
และพวกเขาก็เคยชินกับการปิดอาณาจักรปกครองตนเองเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการแก่งแย่งผลประโยชน์หรือความแค้นต่างๆ ก็มักจะคุ้นเคยกับการแก้ปัญหาภายในกันเอง
ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะมู่หรงหลิวเย่ตามสังหารศิษย์ลัทธิฉ่าน ชิงชิวเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้คงยังไม่มีคนรู้
เมฆของลู่ยาเดินทางอย่างรวดเร็ว มู่จิ่วจัดการความคิดอยู่สักครู่ก็รู้สึกว่าตำแหน่งต่ำลง เมื่อหลุบตาลงมอง เบื้องล่างเห็นเพียงต้นไม้โบราณสูงใหญ่เสียดฟ้า ต้นไม้ใบหญ้าอุดมสมบูรณ์ บ้างก็มีภูเขาสูงใหญ่เทียมฟ้าตั้งตระหง่าน บ้างก็เห็นเนินเตี้ยจำนวนมากมายผลุบๆ โผล่ๆ มีแอ่งน้ำและบึงมากมายดุจผืนดาว ดอกไม้แปลกหญ้าประหลาดงอกเงยขึ้นทุกทิศ เหล่าสัตว์ปีศาจต่างกำลังวิ่งอย่างเป็นอิสระ ช่างเป็นทิวทัศน์ที่สุขสงบยิ่งนัก!