ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 72
คงจะใช่
หากเป็นลู่ยาจริง ฝ่ายนั้นจะต้องทายออกแต่แรกว่าเขากำลังด่าอยู่ในใจ และหากรู้ว่ามีคนกล้าด่าว่าเป็นคนทราม ลู่ยาต้องไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น นำคนนั้นมาหั่นครึ่งก่อนค่อยว่ากัน!
ดังนั้นใจของเขาจึงสงบลง มองดูท่าทางสบายๆ ของคนหนุ่ม ยิ่งมั่นใจขึ้นหน่อยว่าไม่น่าใช่ตัวลู่ยา
จากนั้นจึงกลับไปนั่งที่บัลลังก์ ทำใจให้หนักแน่นขึ้น
เพิ่งคิดขึ้นได้ว่าควรจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับมู่หรงเส่าชิง ด้านนอกประตูพลันมีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา คนเสื้อฟ้าที่นำหน้าคือมู่หรงเสวี่ยจีลูกสาวคนที่สองของเขา เสวี่ยจีเข้ามาพลางรีบร้อนพูด “ท่านพ่อ! พี่รองกลับมาแล้ว!”
แต่เดิมมู่จิ่วยังคิดจะเข้าใจให้กระจ่างว่าระหว่างลู่ยากับราชาจิ้งจอกทายปริศนาอะไรกัน ไหนเลยจะรู้ว่าคนที่เดินตามหลังมู่หรงเสวี่ยจีเข้ามาด้วยท่าทางโกรธขึ้ง คือมู่หรงเส่าชิงที่เพิ่งพ่ายแพ้ใต้เงื้อมมือนางและลู่ยา!
เพียงมู่หรงเส่าชิงเข้ามา ไม่กล่าวทักทายแก่คนหมู่มาก ดวงตาทั้งคู่จ้องมองมู่จิ่วอย่างเคียดแค้น จากนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง ออกกระบวนท่ามุ่งไปทางลู่ยา!
ถึงแม้ลู่ยาจะยืนอย่างสบายๆ ที่ด้านข้าง แต่ราวกับเตรียมป้องกันการโจมตีอย่างฉับพลันนานแล้ว ดังนั้นมู่หรงเส่าชิงโจมตีมา เขาก็ตอบโต้กลับไปทันที
วังอันงดงามตระการตากลายเป็นสนามรบของคนทั้งสองทันที มู่หรงเส่าชิงทุ่มเทกำลังทั้งหมดเข้าโรมรันลู่ยา ลู่ยาไม่ได้ถอยร่นไป กลับทำลายไข่มุกราตรีสองเม็ดที่ด้านหลังเขาจนเป็นผุยผง!
นี่เป็นไข่มุกที่เพาะเลี้ยงจากหอยอายุเป็นหมื่นปีในทะเลตะวันออก…
ในที่สุดราชาจิ้งจอกก็ทนไม่ได้ ตบโต๊ะ “หยุดมือ!”
ลู่ยาถอยออกมาก่อน หมุนตัวอยู่กลางอากาศ ร่อนลงพื้นอย่างโดดเด่นสง่างามตรงผ้าม่าน กระแสลมทำให้เสื้อเบาบางของเขาขยับเคลื่อนไหว ภายใต้แสงของไข่มุก ดูไปแล้วก็มีกลิ่นอายของความสันโดษไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องทางโลกอยู่หลายส่วน
มู่หรงเสวี่ยจีที่ห่างออกไปสามก้าวมองเขา สายตาเรืองรองอย่างประหลาด…
แน่นอนว่าองค์ชายสองมู่หรงท่วงท่าไม่เลว ตอนราชาจิ้งจอกส่งเสียงเขากำลังออกกระบวนท่า ไปได้ครึ่งทางเท้าซ้ายของเขาก็ถีบเสาทองอย่างรุนแรง เด้งกลับมาเหมือนกับงูสีเงิน ก่อนร่องลงที่เบื้องหน้าราชาจิ้งจอก ผมสีเงินทั้งศีรษะยังคงพริ้วไหวตามพลังลมปราณ ควบคู่กับนัยน์ตาหงส์คู่นั้นที่ผุดความเย็นเยียบขึ้น มู่จิ่วไม่อาจไม่ยอมรับ จิ้งจอกเงินผู้นี้เป็นหนุ่มรูปงามมีเสน่ห์อย่างแท้จริง
เพียงแต่ขณะจ้องมองอย่างตั้งใจ ครรลองสายตากลับถูกคนบดบัง เงยหน้าขึ้น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ลู่ยามาหยุดอยู่ข้างหน้า สายตากวาดมองใบหน้านางอย่างเย็นชา จากนั้นจึงหมุนไปเผชิญหน้ากับราชาจิ้งจอก
“ท่านพ่อ! สองคนนี้เป็นสุนัขรับใช้ของลัทธิฉ่าน อาศัยการทำคดีมาลอบทำร้ายแทนลัทธินั่น! เมื่อครู่พวกเขาลอบทำร้ายข้า ขอให้ท่านพ่อมอบให้ลูกจัดการ!”
ในใจมู่จิ่วกำลังร่ำร้อง!
พ่อคนนี้เป็นโรคหวาดระแวงกระมัง? มาลอบทำร้ายแทนลัทธิฉ่าน? เกรงว่าทุกวันนี้ชื่อของนางยังอยู่บนบัญชีดำของวิมานหลีเฮิ่นอยู่เลย นางมาลอบทำร้ายแทนพวกเขาเพื่อหาเรื่องใส่ตัวหรือ?
คิดจะใส่ร้ายก็อ้างเหตุมั่วซั่ว!
หน้าตาดีเสียเปล่า!
“องค์ชายสองใส่ร้ายป้ายสีคนรึ? เมื่อครู่ตอนที่พวกเรามาก็ไม่ได้ไปหาเรื่องเจ้าตั้งแต่ต้น เป็นเจ้าเองที่มุ่งเข้ามาลงมือกับพวกเรา! พวกเรารีบร้อนไปเข้าพบราชาจิ้งจอก จึงทำได้เพียงหยุดเจ้า หรือนี่จะกลายเป็นการลอบทำร้ายเจ้าไปแล้ว? เจ้าไม่ได้ทำมาจากเต้าหู้ พวกเราคนตัวเล็กๆ จะลอบทำร้ายได้อย่างไร?”
มู่หรงเส่าชิงถลึงตามา “อย่างไรเรื่องที่ข้าโดนพวกเจ้าลอบทำร้ายก็เป็นเรื่องจริง!”
“อย่าโวยวาย!” ราชาจิ้งจอกโบกมืออย่างรำคาญใจ “แท้จริงเรื่องเป็นอย่างไร?”
ด้านข้างมีพลอารักขาหมาป่าขึ้นมาข้างหน้า เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น
ราชาจิ้งจอกฟังจบก็ขมวดคิ้ว มองมาทางพวกมู่จิ่ว “พูดแบบนี้พวกเจ้าก็ลอบทำร้ายลูกข้าจริง?”
นี่คือคำพูดใดกัน?
มู่จิ่วพูด “ราชาจิ้งจอกไม่ควรเชื่อหรือฟังด้วยใจโอนเอียง หรือท่านเชื่อว่าลูกชายของท่านสู้ไม่ได้แม้แต่พวกเรา? เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจพ่ายแพ้ภายใต้เงื้อมมือของเรา จากนั้นก็มาป้ายสี!”
ในเมื่อพูดส่งเดชกลับดำเป็นขาวแล้ว เช่นนั้นก็มาทำด้วยกัน!
“เหลวไหล!” มู่หรงเส่าชิงเดินเข้ามา จ้องนางจากที่สูงกว่า นัยน์ตาสีเทาเข้มเต็มไปด้วยอันตราย “ข้าองค์ชายแห่งเผ่าพันธุ์จิ้งจอกที่ยิ่งใหญ่ จะลงมือกับเจ้าหน้าที่จากสวรรค์ก่อนได้อย่างไร? ข้าได้ยินว่าพวกเจ้ามา จึงตั้งใจไปรอรับล่วงหน้า ไหนเลยจะรู้ว่าพวกเจ้าเปิดปาก ก็กล่าวหาพวกเราเผ่าจิ้งจอกสังหารผู้บริสุทธิ์ ข้าเพียงแค่แก้ต่างไปสองประโยค พวกเจ้ากลับลงไม้ลงมือกับข้า!”
“หากไม่เป็นเพราะเสวี่ยจีช่วยข้าไว้ เกรงว่าข้าคงยังนอนนิ่งโดนหนอนแมลงกัดอยู่บนพื้น!”
พูดไปพูดมาเขาก็ข่มมาที่มู่จิ่ว เรือนร่างสูงใหญ่ดุจเขาไท่ซานกดลงมาบนศีรษะ มู่จิ่วก็แสดงอาการถูกกดดันอย่างเด่นชัด
แต่วินาทีถัดมานางถูกดึงออกไป ลู่ยาเข้ามาแทนที่ ซ่อนนางไว้ข้างหลัง เปิดปากพูดว่า “องค์ชายสองพูดจาน่าสนใจนัก ที่แท้พวกเราลงมือลอบทำร้ายท่านอย่างไร้เหตุผลได้ด้วย”
มู่จิ่วจับเสื้อเขาไว้แน่น โผล่ศีรษะออกมาจากด้านหลังเขาพลางจ้องมู่หรงเส่าชิง “องค์ชายต้องพูดไปตามมโนธรรม!”
เจ้าจิ้งจอกสมควรตายเล่นอะไรอยู่กันแน่? เปิดตาทั้งคู่ขึ้นมาก็เปลี่ยนดำเป็นขาวแบบนี้?! ตกลงใครลงมือก่อน สวรรค์จับตาดูอยู่ ต่อไปเขาต้องได้รับทัณฑ์อสุนีบาตแน่!
“หรือคนอย่างข้ายังต้องสร้างเรื่องโกหกเพื่อจัดการกับพวกเจ้า?”
มู่หรงเส่าชิงกัดฟันแน่น มองตรงไปข้างหน้า จากนั้นหมุนตัวเดินไปตรงหน้าราชาจิ้งจอก “ท่านพ่อ น้องสี่ก็ได้สูญเสียจิตต้นกำเนิดไปแล้ว วันนี้พวกเขายังกลั่นแกล้งลูกอีก นี่มิใช่ปัญหาเรื่องคุกคามหรือไม่คุกคามแล้ว พวกเขามาเพื่อทำลายเผ่าพันธุ์พวกเราให้สิ้นซาก! ขอให้ท่านพ่อส่งสองคนนี้มาให้ข้าด้วย!”
มู่จิ่วโกรธจนอยากกระอักเลือด
ลู่ยาพูด “ถ้าเช่นนั้นไม่ทราบว่าองค์ชายสองคิดจะจัดการกับพวกเราอย่างไร?”
มู่หรงเส่าชิงจ้องเขา “พวกเจ้ากระทำผิดภายในอาณาเขตชิงชิวของข้า และยังไม่เคารพสมาชิกราชวงศ์ ตามกฎของพวกเราต้องถูกจองจำสามเดือน!”
“อะไรนะ?!” มู่จิ่วคิดว่าฟังผิด
สามเดือน?! หลิวจวิ้นจำกัดเวลาการทำคดีของนางอยู่แค่สามเดือน หากถูกขังอยู่ที่นี่สามเดือนนางยังจะทำคดีอะไรได้อีก!
“จะได้อย่างไร?” ลู่ยาแบมือพูด “พวกเราเพียงแค่ใจร้อนพลาดพลั้งทำร้ายองค์ชายสองโดยไม่ได้ตั้งใจ แท้จริงแล้วไม่อาจนับว่าทำให้บาดเจ็บด้วยซ้ำ ถึงแม้พวกท่านจะเป็นเผ่าเทพ ก็ไม่อาจทำส่งเดชแบบนี้ และพวกเราเป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ หากพวกท่านกักขังกันอย่างไม่มีสาเหตุ ภายภาคหน้าจะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยาก! ชิงชิวภายใต้การปกครองของราชาจิ้งจอกสงบสุข สันนิษฐานว่าองค์ราชาต้องจัดการเรื่องอย่างแยกแยะเหตุผลเป็นแน่”
แต่เดิมราชาจิ้งจอกได้ยินว่าลูกชายตนถูกเจ้าสองคนตรงหน้าสั่งสอน ในใจก็รู้สึกโกรธอย่างมาก ที่จริงก่อนหน้านี้ไม่นานเขาก็เพิ่งสูญเสียบุตรชายตัวน้อยที่รักที่สุดไป แต่คำพูดของลู่ยามีเหตุผลมาก การที่เขาปิดประตูทำให้สวรรค์โกรธเคืองได้ แต่ถ้าเขากักขังคนจริง เช่นนั้นก็คงยุ่งยากไม่น้อย
แต่ปล่อยพวกนั้นไปแบบนี้ใจเขาก็ไม่ยินยอม อย่างไรพวกตนก็เป็นเผ่าพันธุ์เทพโบราณอันสูงส่ง!
หากเรื่องที่องค์ชายสองถูกเจ้าหน้าที่สองคนจัดการแพร่งพรายออกไป จะเป็นการเสียหน้าพวกเขาอย่างมาก!
และเส่าชิงยังไม่แต่งภรรยาเลย!
“ท่านพ่อ” ตอนนี้เอง มู่หรงเสวี่ยจีที่ไม่ได้พูดมาตลอดพลันเดินตรงหน้าเขา ประคองแขนของเขาพลางพูด “พวกเราเผ่าจิ้งจอกแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้รับความอับอายขนาดนี้มาก่อน ตามความเห็นข้า มิสู้ส่งพวกเขาให้พี่รองเสีย เพียงแต่ว่าไม่จำเป็นต้องขังนานถึงสามเดือน แค่ครึ่งเดือน ถ้าพวกเขายอมอ่อนข้อแล้ว พวกเราก็ปล่อยไป หากไม่ยอมอ่อนข้อ ค่อยหารือกันอีกที”