ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 73
ราชาจิ้งจอกได้ยินจึงคลายคิ้วที่ขมวดออก ลูบเคราพูดว่า “ความเห็นนี้ไม่เลว!” พูดจบก็ทำหน้าเคร่งขรึมกวาดมองมู่จิ่วและลู่ยา “พาตัวไป!” คิดขึ้นได้ว่าเจ้าเด็กที่ยังไม่ทันแจ้งชื่ออาจจะเป็นลูกศิษย์หลานศิษย์ของลู่ยาเต้าจู่ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องเอ่ยเพิ่มไปอย่างหวาดหวั่น “ถึงแม้จะเป็นการจองจำ แต่อย่าทำให้พวกเขาลำบากนัก!”
มู่หรงเส่าชิงไหนเลยจะรู้ถึงอดีตที่เป็นความลับของพ่อเขา? พลันรับเสียงดัง “ขอบพระคุณท่านพ่อ”
นอกประตูมีคนทะยานเข้ามาหลายคน ถือมีดดาบเข้ามาจี้มู่จิ่วกับลู่ยาที่ด้านหลัง จับพวกเขาเดินตามมู่หรงเส่าชิงออกจากตำหนักไป ถึงแม้มู่จิ่วจะดิ้นรนขัดขืนไปตลอดทาง แต่ไหนเลยจะต้านทานไหว? อีกทั้งยังมีมู่หรงเสวี่ยจีจ้องอยู่ข้างๆ ไม่หยุด ไม่มีหนทางอย่างแท้จริง
ฉุดกระชากลากถูกันไปตลอดทาง เดินทะลุสวนดอกไม้ไปกว่าครึ่ง จากนั้นผ่านทางแคบที่มีดงไผ่ด้านหลังภูเขาจำลอง สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าอาคารหินแห่งหนึ่ง
อาคารหินถูกสร้างไว้ราวกับเป็นที่พักของบรรพบุรุษสมัยบรรพกาล คงจะมีตั้งแต่ตอนสร้างชิงชิวแล้ว
มู่หรงเส่าชิงกวาดตามองพวกเขาหนึ่งครา พูดว่า “เอาไปขังข้างในก่อน ให้หลิวกวงเล่นกับพวกเขาหน่อย!”
เหล่าผู้อารักขาตอบรับ ทันใดนั้นก็กดกลไกบนผนัง ฉับพลันประตูก็เปิดออก เผยให้เห็นถ้ำมืดสนิทที่มองไม่เห็นอะไร
มู่หรงเสวี่ยจีพูด “ท่านพ่อบอกให้เราปฏิบัติต่อพวกเขาดีหน่อย”
“เจ้ากลัวอะไร?” มู่หรงเส่าชิงเค้นเสียงเยาะเย้ย “หรือท่านพ่อจะใส่ใจความเป็นความตายของเซียนกระจอกๆ เหล่านี้?”
มู่หรงเสวี่ยจียิ้มน้อยๆ พลางมองลู่ยา กลับไม่พูดอะไรออกมา
ทางผู้อารักขาหมาป่าดันลู่ยากับมู่จิ่วเข้าไปในประตูหิน เดินผ่านทางเล็กๆ ระยะหนึ่งจึงถึงประตูหินอีก หลังจากเปิดประตู ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ผลักพวกเขาทั้งสองเข้าไป
“จิ้งจอกสมควรตาย เจ้าปล่อยข้าออกไป!” มู่จิ่วตะกายประตูหินตะโกนเสียงดัง แต่เสียงของนางยังไม่ทันจบ ประตูหินก็ปิดสนิท!
กลิ่นสาบในถ้ำพุ่งปะทะใบหน้า มืดจนมองไม่เห็นสิ่งใด!
เท้าทั้งสองของมู่จิ่วเหยียบช่องว่าง ร่างทำท่าจะร่วงลงไป!
วินาทีที่เท้าลงน้ำหนักไป ลู่ยาก็ยื่นมือไปคว้าแขนซ้ายนางไว้ นางพลันรู้สึกราวกับกำลังเหยียบเมฆ ท่วงท่านิ่งและมั่นคง
ลู่ยาหยิบเอาไข่มุกราตรีจากอกมาวางบนมือ สายตาค่อยๆ ตกลงบนจุดที่สว่าง ที่นี่เป็นคุกใหญ่ขนาดครึ่งโม่ว รอบด้านเป็นหินเรียบไร้รอยต่อ ด้านบนก็เป็นหิน ไม่มีทางเข้าของลม ด้านล่างเป็นผืนแผ่นมืดสนิทมองไม่เห็นก้น ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่
หากไม่ใช่เพราะแปดร้อยปีก่อนเรียนวิชาปิดกั้นลมปราณ อยู่ที่นี่คงอยากจะเป็นบ้าทุกๆ นาที!
“ทำไมเจ้าไม่ขัดขืน? ตอนนี้จะทำอย่างไร!”
นางพูดกับเขาอย่างโกรธเคือง ต่างก็พูดกันดีแล้วว่าจะทำคดีด้วยกัน แต่ผลกลับเป็นว่าเขาดูเหมือนไม่ใส่ใจ เขาเก่งกาจขนาดนั้น สามารถรอดพ้นเงื้อมมือของมู่หรงเส่าชิงมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วน หากเขาลงมือคงไม่จบลงแบบนี้!
“แน่นอนว่าข้าย่อมไม่ขัดขืน เพราะข้าตั้งใจ” ลู่ยาเลิกคิ้วมองไปรอบๆ น้ำเสียงช่างยียวน
มู่จิ่วเกาะกำแพง อยากกระอักเลือด “หัวเจ้าเคยโดนประตูหนีบมาก่อนใช่หรือไม่? มิฉะนั้นจะใช้ชีวิตยุ่งยากขนาดนี้ได้อย่างไร?”
ลู่ยาเก็บสายตากลับมาจ้องนาง “หากไม่ทำแบบนี้ ตอนนี้สักแปดเก้าในสิบส่วน พวกเราคงถูกราชาจิ้งจอกไล่ออกจากชิงชิวไปแล้ว เจ้าอยากจะมาเสียเที่ยวหรือ?”
พูดจบเขาก็ถือไข่มุกราตรีส่องไปรอบด้าน ตอนนี้แสงส่องสว่างขึ้นบ้าง แต่นอกจากผนังหินสี่ด้านแล้ว ก็เป็นความว่างเปล่าไม่มีสิ่งอื่นใด “หากพวกเราไม่ใช้ประโยชน์จากมู่หรงเส่าชิงเพื่ออยู่ชิงชิวต่อ เมื่อคิดจะเข้ามาชิงชิวอีกที โดยพื้นฐานแล้วเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากไม่ไปดูศพของจิ้งจอกน้อย เจ้าคิดจะจับฆาตกรตัวจริงให้ได้ภายในสามเดือนก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน”
เขาพูดแบบนี้มู่จิ่วก็เข้าใจแล้ว
ที่แท้เขาตั้งใจจริงๆ…
“แต่ตอนนี้พวกเราไม่มีทางออกไปมิใช่หรือ?” นางแบมือหมุนตัวไปครึ่งรอบ ที่นี่แม้แต่ลมยังเข้ามาไม่ได้ ถึงเขาจะเปลี่ยนร่างได้แล้วมีประโยชน์อย่างไร? เปลี่ยนไปก็ออกไปไม่ได้อยู่ดี
ลู่ยาไม่ได้ตอบคำพูดนาง แต่กลับสงบเงียบอยู่กลางอากาศ รวมสมาธิเงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวของอากาศรอบกาย
ฉับพลันเขาก็โอบรอบเอวมู่จิ่ว บินไปฝั่งตรงข้ามรวดเร็วราวกับฝนดาวตก คล้อยหลังการกระโดดของเขา พื้นดำมืดเบื้องล่างมีนกแร้งดวงตาเขียวสูงหลายจั้งโผล่ออกมา!
ถึงแม้นกแร้งตัวนั้นจะศีรษะเล็กตัวหนา แต่ศีรษะของมันมีขนาดเท่ากับโอ่ง ปีกทั้งคู่เพียงสยายออกมาก็กินพื้นที่ไปกว่าครึ่งของเรือนจำนี้! ไม่ต้องพูดถึงกรงเล็บนั่นเลย กรงเล็บของซ่างกวนสุ่นที่ว่าใหญ่แล้ว กรงเล็บของนกตรงหน้ายังใหญ่กว่าของเขาอีก! ที่สำคัญคือนกตัวนี้ดวงตาส่องแสงสีเขียว มองพวกนางเป็นอาหารค่ำ!
…หรือนี่คือคู่ประมือที่มู่หรงเส่าชิงเตรียมไว้ให้?!
“กอดข้าให้แน่น!”
ลู่ยาหันมาจับแขนทั้งสองข้างของนางโอบรอบเอว จากนั้นพานางกระโดดขึ้นไปกลางอากาศ แหวกว่ายอยู่ด้านบนราวกับมังกรที่เยือกเย็นและเป็นอิสระ
มู่จิ่วจับเอวเขาไว้แน่น แม้แต่นิดก็ไม่กล้าปล่อย แต่กลิ่นอายหอมหวานบนร่างเขากลับรบกวนนางตลอดเวลา ทำให้นางเสียสมาธิอยู่บ้าง…ปกติเขาดูไม่ค่อยกำยำ ไม่นึกว่าช่วงเอวและแผ่นหลังจะแน่นและกว้างขนาดนี้ เสียงร้องหิวโหยของนกแร้งดังที่ริมหูไม่หยุด แต่เกาะอยู่บนหลังที่บึกบึนแบบนี้ นางกลับไม่เครียดขนาดนั้นแล้ว
“แกว๊กก…”
ต่อสู้กันไปครู่หนึ่ง มู่จิ่วยังไม่รู้แน่ชัดว่าลู่ยาลงมืออย่างไร เพียงได้ยินเสียงร้องแสบแก้วหูของนกแร้งดังเข้ามา จากนั้นเสียงก็พลันเลือนหายไป สุดท้ายแม้แต่เสียงกางปีกก็ไม่มีแล้ว
ลู่ยาเก็บมือยืนให้มั่นคง หันศีรษะไปพูดกับคนข้างหลัง “ปลอดภัยแล้ว ออกมาเถอะ”
มู่จิ่วปล่อยมือ ยืนอยู่บนเมฆ กอดแขนเขาไว้ขณะมองใต้ฝ่าเท้า ด้านล่างยังคงมืดสนิท แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวแล้ว
“เจ้าจิ้งจอกสมควรตายนั่น จิตใจช่างเหี้ยมโหด จิ้งจอกเฒ่านั่นยังสั่งให้เขาอย่าทำร้ายพวกเรา เขาไม่คิดจะให้พวกเรามีชีวิตอยู่แต่แรกนี่!”
“เขาไม่เพียงแต่มีความสามารถเรื่องนี้เท่านั้น” ลู่ยาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกอย่างสบายๆ เช็ดรอยเลือดบนมือพลางพูด “รวมจิ้งจอกที่ตายไปแล้ว ราชาจิ้งจอกมีลูกชายสี่ลูกสาวสี่ มู่หรงเส่าชิงเป็นคนที่จิตใจคับแคบที่สุดในบรรดาทั้งแปด เขาไม่เพียงเชี่ยวชาญอาวุธสู้รบ แต่ยังเชี่ยวชาญการควบคุมสัตว์ด้วย ทุกวันนี้สัตว์ทั้งชิงชิวไม่ปฏิเสธการควบคุมของเขา”
พูดจบเขาก็คลี่ผ้าเช็ดหน้าออก มองดูมู่จิ่วแล้วพูด “ดังนั้นเขาต้องมีลูกไม้ไว้เล่นกับเราอีกแน่นอน ต่อไปเราต้องระวังให้มากเป็นพิเศษ”
มู่จิ่วไม่รู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจคำพูดของเขานัก ดวงตาทั้งสองจับจ้องอยู่ที่ผ้าเช็ดหน้าตลอด หลังจากที่คลี่ผ้าออกมาแล้ว รอยเลือดก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย จึงค่อยเงยหน้าขึ้นพูด “ทำไมบาดแผลของเจ้าหายเร็วขนาดนี้?”
นางจำได้ว่าบาดแผลที่ได้จากซ่างกวนสุ่นเป็นนางช่วยรักษา และยังเสียเวลาไปอีกหลายวัน เขาอ้างว่ามีพลังร้ายบางอย่างอยู่ในร่าง ถึงแม้บาดแผลคราวนี้จะไม่ร้ายแรงเท่าคราวก่อน แต่ในเมื่อการรักษาแผลของเขาเยี่ยมยอดเพียงนี้ แล้วทำไมต้องมาอยู่พักฟื้นกับนางนานขนาดนั้น?