ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 84
นางอดไม่ได้ที่จะมองไปทางลู่ยา ลู่ยาหันมามองนาง ทว่าไม่ได้พูดอะไร
ตอนนี้เผชิญหน้ากับกลุ่มจิ้งจอกที่พลังบำเพ็ญเพียรสูงกว่านางหลายเท่า นางควรจะทำอย่างไรดี?
“ท่านพ่อ ท่านควรออกคำสั่งได้แล้ว”
มู่หรงเส่าชิงเอ่ยเร่ง
ราชาจิ้งจอกไพล่มือขมวดคิ้ว จ้องมู่จิ่วอยู่นาน เขาหันไปแลกสายตากับราชินีจิ้งจอก ก่อนพูดขึ้นว่า “พวกเจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”
ในใจมู่จิ่วลอบสาปแช่งบรรพบุรุษเขาสิบแปดรุ่นไปหนึ่งรอบ แต่เมื่อคิดๆ ดู มู่หรงเส่าชิงคนสมควรตายนั่นพูดไปจนหมดแล้ว แท้จริงไม่มีอะไรให้พูดอีก ดังนั้นจึงตอบว่า “ถึงแม้ข้าจะมีคำพูด แต่อย่างไรพวกท่านก็คงไม่เชื่อ พวกท่านคิดจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นเถิด” เท้าเปล่าของนางไม่กลัวการสวมรองเท้าแล้ว[1] อย่างแย่ที่สุดนางก็ทำลายถ้ำนี้ ทุกคนตายไปด้วยกัน!
ดูสิว่าชีวิตใครสำคัญกว่า!
พูดจบนางก็วางลูกโลหิตมังกรไว้กลางฝ่ามือ
นางเป็นธาตุทอง หากเม็ดพลังทองคำในร่างปะทะกับธาตุไฟจะต้องเกิดระเบิดครั้งใหญ่ ความแรงของระเบิดไฟไม่เป็นสองรองจากแรงระเบิดของดินปืนจำนวนสองตัน หากพวกเขารังแกกันเกินไป นางก็แค่ลุยกับพวกเขา!
“บังอาจ!” จิ้งจอกเฒ่าพ่นลมออกทางจมูก ชี้มู่จิ่วพลางด่าทอ “อะไรคือพวกเราคิดจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น? ตอนนี้พยานหลักฐานแน่ชัดแล้วไม่ใช่หรือ?!”
เขาโกรธก็ส่วนโกรธ แต่กลับไม่สามารถทำเหมือนกับเจ้าเด็กน้อยเส่าชิงได้
คนเบื้องหน้าหลายคนมาเพราะได้รับคำสั่งจากทัพทหารสวรรค์ ถึงแม้ชิงชิวของพวกเขาจะสูงศักดิ์มิมีใครเทียม และไม่เคยเห็นลูกศิษย์หลานศิษย์ของไท่ซ่างเหล่าจวินอยู่ในสายตา แต่ที่สุดแล้วทุกเรื่องล้วนมีเหตุมีผล ปิดประตูบ่นสักหลายคำก็พอแล้ว หากลงมือสังหารเจ้าหน้าที่สวรรค์ที่ถูกส่งมาทำคดีจริง ภายหลังเขาก็ไม่มีผลดีอะไร
อีกอย่าง ในใจเขาทำไมถึงได้กลัวเจ้าเด็กเสื้อขาวข้างกายนางคนนั้นนัก?
“แน่นอนกับผีน่ะสิ!” ซ่างกวนสุ่นเปล่งเสียงแหลม “ดวงตาข้างไหนของเจ้าที่เห็นว่าข้าลงมือกับลูกเจ้า? ข้าเป็นองค์ชายเจ็ดผู้องอาจแห่งเขาเนินอาราม ออกมาสืบเสาะหาความจริงของคดีนั้นของเขาเนินอาราม ข้าเชื่อใจพวกเขาได้ พวกเจ้าทำไมจะเชื่อไม่ได้? บุตรคนรองของบ้านพวกเจ้าแค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของดีอะไร มิสู้สังหารเขาซะ ป้องกันไม่ให้เขาไปทำร้ายคนอื่น!”
มู่หรงเส่าชิงโกรธจนดวงตาทั้งสองแทบจะพ่นพิษออกมา
มู่จิ่วหัวเราะเสียงดัง ยกนิ้วโป้งให้ซ่างกวนสุ่น
เจ้าคนนี้ปกติไม่เอาอ่าว วันนี้กลับประพฤติตนได้ดีมาก!
“วันนี้หากปล่อยพวกเจ้าไป ข้าก็ไม่แซ่มู่หรงแล้ว!”
ทางนี้เพิ่งจะดีใจ ฝั่งตรงข้ามมู่หรงเส่าชิงกลับร้องคำราม ร่างคนเหมือนกับลูกธนูเด้งตัวขึ้นมากลางอากาศ มือทั้งสองพลิกพลิ้วไหว พลังฤทธิ์พลันรวมกันกลายเป็นระฆังม่วงอมทองขนาดมหึมา พลิกกลับแล้วพุ่งไปกดยังเหนือศีรษะของพวกเขา!
“ระวัง!”
มู่จิ่วเพิ่งจะเตรียมชักกระบี่ออกมารับมือ ลู่ยาสะบัดแขนเสื้ออย่างรวดเร็วก่อนดึงนางเข้าไปใต้แขนเสื้อ!
ระฆังม่วงอมทองร่วงลงมาอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ขณะที่ร่วงลงมาก็มีเสียงอสูรเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำดังเข้ามาในหูอย่างไม่ขาดสาย! และเสียงอสูรนี้เหมือนกับเสียงที่ได้ยินที่เกาะเป่ยอี๋ไม่มีผิด!
เสียงอสูร?
ใช่แล้ว! นางกลับลืมไป! ที่แท้เจ้าหนุ่มคนนี้คือคนที่วันนั้นทำร้ายนางจนร่วงลงไปในบ่อและเกือบทำให้นางเอาชีวิตไม่รอด!
“ในเมื่อพวกเจ้าอยากเจอน้องสี่ของข้า มิสู้รั้งอยู่เป็นเพื่อนเขาที่นี่ตลอดไป!”
ระฆังม่วงอมทองครอบลงมาปิดพวกเขาทั้งสามอย่างรวดเร็ว คล้อยหลังเสียงอันโหดเหี้ยมของมู่หรงเส่าชิงที่ลอยเข้ามา ช่องว่างสุดท้ายก็ผสานกันแน่น
ซ่างกวนสุ่นด่าทอพลางออกแรงผลักด้านบน แต่ก็ไร้ประโยชน์ ระฆังนี้เหมือนกับเจดีย์เหลยเฟิงที่ขังงูขาวไว้ ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
และเสียงอสูรนั้นยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ในสามคนนั้นมู่จิ่วพลังบำเพ็ญต่ำที่สุด เสียงอสูรนี้เคยทำร้ายซ่านเซียนลัทธิฉ่านสองคนมาแล้ว พลังฤทธิ์ของนางถูกผนึก ตอนนี้ก็จึงกินแรงไปบ้าง
ลู่ยาดึงนางเข้ามา สองนิ้วกดลงบนชีพจรนางเพื่อให้พลังฤทธิ์ รอหลังจากนางมีสติกลับมาจึงพูดขึ้น “อย่าเพิ่งรีบเป็นลมไปก่อน นี่ไม่ถึงกับตายหรอก”
เขาไม่พูดก็ดีอยู่แล้ว คำพูดนี้กระตุ้นความโกรธในใจมู่จิ่วขึ้นมา “เจ้ารู้อยู่ชัดๆ ว่านี่คือกับดักที่มู่หรงเส่าชิงขุดไว้ ไม่เพียงแต่ไม่ห้ามข้า ยังเต้นไปตามเขาอีก ตอนนี้ถูกระฆังนี่กดไว้ ถ้าไม่ตายจะถูกพวกเขาเชิญออกไปอย่างนั้นหรือ?!” หากเขาพูดให้เข้าใจแต่แรกนางไม่มีทางเข้ามาอย่างแน่นอน!
ลู่ยากลับลุกขึ้นพูด “หากไม่เข้ามา จะรู้ได้อย่างไรว่าจิ้งจอกน้อยถูกขโมยจิตจิ้งจอกไปเช่นไร?”
มู่จิ่วไร้คำพูดอยู่นาน มองซ่างกวนสุ่น เขาก็เบิกตาทั้งคู่จนกลมอย่างไม่เข้าใจ
“ข้าจะออกไปเสียหน่อย ประมาณหนึ่งชั่วยามจะกลับมา ข้าวางเขตพลังไว้ที่นี่ ให้พวกเจ้ารอก่อน”
ลู่ยาพูดอย่างสงบนิ่งเหมือนที่เป็นมาตลอด แต่ถึงแม้ปากจะพูดว่า ‘พวกเจ้า’ แต่สายตากลับจับจ้องอยู่ที่มู่จิ่วคนเดียว
จากนั้นคิดแล้วคิดอีก เขาหยิบนกกกระเรียนกระดาษวางบนมือนาง พูดว่า “หากเจ้ามีเรื่องต้องการหาข้า ก็ให้มันมา”
พูดจบก็นั่งขัดสมาธิ เรียกเขตพลังออกมา จากนั้นจิตต้นกำเนิดก็ออกจากร่าง ผ่านปราการของระฆังไปทั้งอย่างนั้น
ตั้งแต่ต้นจนจบ มู่จิ่วก็ยังไม่ทันได้แสดงท่าทางถามออกไป ไม่รู้ว่าเขาออกไปทำอะไร ไปที่ไหน ยิ่งไม่รู้ว่าที่แท้แล้วเขาคิดอะไรอยู่ รอจนสติกลับคืน นางเห็นร่างของเขาที่ยังคงนั่งอย่างสงบอยู่ตรงนั้น เหมือนกับนั่งในเขตพลังของตนเองที่ลานจื่อหลิง จึงอึ้งไปอยู่นาน แต่ก็ทำได้เพียงอดกลั้นนั่งลงไป
ราชาจิ้งจอกเห็นมู่หรงเส่าชิงขังพวกเจ้าหน้าที่ทางการไว้ในระฆัง เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรพวกเขาก็เข้ามาก่อเรื่องถึงที่นี่โดยพลการ เพียงแค่ไม่ทำจนถึงแก่ชีวิต ให้พวกเขาลำบากบ้างก็ไม่นับว่าเป็นอะไร
ยังไงเขาก็รังเกียจพวกคนบนสวรรค์ หรือเจ้าเด็กอวี้ตี้นั่นจะระดมพลมาเรียกร้องความเป็นธรรมเพราะขังคนไม่กี่คนของเขา? ชิงชิวของตนก็ใช่ว่าจะมาหาเรื่องได้ง่ายๆ ปีนั้นขณะที่เขาออกท่องไปในฟ้าดิน อวี้ตี้ยังเป็นเด็กเปิดประตูของหงจวินจู่ซืออยู่เลย! ถ้าว่ากันที่ความสามารถและประสบการณ์ เทียบกับอวี้ตี้แล้วเขามีเยอะกว่ามากมิใช่หรือ?
หลังจากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เขากับราชินีจิ้งจอกจึงนำลูกสาวลูกชายกลับวังจิ้งจอกไป
วันนี้เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง ทุกคนในวังจิ้งจอกต้องฝึกลมปราณรับพลังฟ้าดิน ดังนั้นหลังจากแยกกับราชินีจิ้งจอกที่ปากประตูวังแล้ว เขาจึงกลับวังซ่านไปคนเดียว
เพียงเข้าประตูตำหนักไป เขาก็ได้กลิ่นแปลกประหลาด
การดมกลิ่นของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกว่องไวอย่างมาก เขารู้สึกได้ว่าในตำหนักมีกลิ่นไม่คุ้นชินเพิ่มมากลิ่นหนึ่ง
เขาชะลอฝีเท้าเข้าไปยังม่าน ไข่มุกราตรีที่มุมสี่ทิศสาดส่องแสง มีคนนั่งหันหลังให้ประตูอย่างเกียจคร้านอยู่ที่โต๊ะแปดเซียน ข้อศอกซ้ายตั้งอยู่ริมโต๊ะ มือซ้ายกลับเล่นพัดที่เขาวางไว้บนนั้น
“ใครกัน?”
เขารู้สึกว่าแผ่นหลังนี้คุ้นตานัก โดยเฉพาะมุมของใบหน้าด้านข้าง รวมทั้งเสื้อผ้าเรียบง่ายบนร่างที่ทำให้คนแยกแยะไม่ออกว่าทำจากวัสดุอะไร คนผู้นี้ดูไปแล้วทำไมถึงได้เหมือนคู่หูที่มาด้วยกันกับเด็กสาวแซ่กัวนัก?
แต่นั่นเป็นไปไม่ได้ ระฆังม่วงอมทองของเส่าชิงใช้โลหะดำจากพื้นทะเลตะวันออกที่ลึกลงไปหมื่นลี้หลอมขึ้นมา ไม่มีพลังบำเพ็ญถึงแสนปี อย่าหวังว่าจะออกมาจากระฆังนั่นได้!
“เป็นข้า”
ลู่ยาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ตอบอย่างเรียบๆ หนึ่งประโยค
ท่าทางแบบนี้ สีหน้าแบบนี้ ไม่มีทีท่าของการฝืนแสร้งทำ หรือพูดได้ว่าเขาไม่ได้วางมาดแต่อย่างใด แต่ในท่าทางสงบนิ่งนั้นกลับแสดงออกถึงความมั่นใจในตนเองเหมือนไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น