ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 94
เป็นธรรมดาที่จีหมิ่นจวินจะไม่กล้า แต่เป้าหมายของนางคือสร้างเรื่องให้ใหญ่ ตัวเองต้องลำบากหน่อยก็ไม่เป็นไร รอจนเรื่องราวขจรขจายไปทั่วทั้งสี่ทะเลแปดทิศ ผู้คนทุกที่ก็จะมายืนอยู่ข้างนางซึ่งถูกรังแก หากเรื่องใหญ่พอแล้ว สะเทือนไปถึงเทพทั้งสี่เหนือสวรรค์นั้นยิ่งดี วังจิ้งจอกมีของวิเศษมากมายขนาดนี้ ถึงพวกนั้นจะชดใช้คืนไม่ไหว อย่างไรก็ต้องชดใช้ของวิเศษอันมีค่าแก่พวกนางสักหลายชิ้น!
ตัวนางเองยังไม่สำเร็จเป็นเซียน มีลูกชายหนึ่งลูกสาวสอง ถึงนางจะไม่คิดแทนตัวเองก็ต้องคิดแทนพวกเขา ตอนนี้หัวชิงเต้าเหรินอยู่ขั้นเจินเซียน รอจนถึงขั้นจินเซียนเมื่อใด ตามกฎแล้วเขาจะต้องสละตำแหน่งเจ้าสำนัก อย่างไรลูกชายของจีหมิ่นจวินก็ต้องเป็นหนึ่งในผู้ถูกเลือกให้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไป…
ดังนั้นวันนี้ นางต้องนำของวิเศษหลายชิ้นกลับไปเตรียมให้ลูกชายจีหย่งชางสำหรับการเลื่อนขั้น!
“หากราชาจิ้งจอกยังบิดพลิ้วไม่ยอมรับ ข้าก็กล้า!”
นางมองหัวชิงที่อยู่ข้างๆ คุยกับป๋ายจิ้ง
ก่อนมานางทิ้งจิตต้นกำเนิดไว้ที่สำนัก ถึงแม้วันนี้จะทิ้งชีวิตไว้ที่ชิงชิว พ่อของนางก็สามารถใช้เวทช่วยนางกลับมาได้!
นางไม่กลัว!
บรรยากาศในตำหนักใหญ่พลันเคร่งเครียดขึ้นมา
ใจมู่จิ่วเด้งมาอยู่ที่คอ คนแซ่จีผู้นี้และเหล่าสำนักแรกพยับเสียสติไปแล้วหรือไร? ต่อให้ทำเพื่อถามหาความยุติธรรมให้หลินเซี่ย แต่พวกเขาจำเป็นต้องทำเรื่องให้ถึงทางตันขนาดนี้เลยหรือ? กำลังรนหาที่ตายชัดๆ!
นางมองไปทางราชาจิ้งจอก ทางนี้ยิ่งหนักกว่า! อากาศรอบตัวราชาจิ้งจอกเคลื่อนไหวเล็กน้อย ไอสังหารออกมาแล้ว!
“ราชาจิ้งจอกโปรดระงับโทสะ!”
นางรีบพุ่งเข้าไปขวาง ไหนเลยจะรู้ว่าไปได้ครึ่งทางกลับมีมือเล็กขาวผ่องอ่อนนุ่มคว้านางไว้ จิ้งจอกแดงสายตาเย็นชาดึงนางกลับมาทางนี้ “ไม่เกี่ยวกับเจ้า อยู่เฉยๆ!”
ตอนนางพูดคำนี้ มู่จิ่วรู้สึกท้องฟ้าเปลี่ยนสี แสงสีขาวแยงตาเหมือนกับหมวกใบใหญ่พลันออกมาจากมือราชาจิ้งจอก พริบตาเดียวก็ปกคลุมคนทั้งหมดของสำนักแรกพยับ!
สีหน้าของพวกหัวชิงซีดขาว แม้พวกเขาจะมีพลังบำเพ็ญต้านทาน แต่เพราะเป็นผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นจึงดูออกว่ากระบวนท่านี้ของราชาจิ้งจอกอำมหิตขนาดไหน แม้แต่โต้ตอบกลับยังไม่ทัน กลุ่มคนทั้งหมดล้วนล้มลงไป เพียงชั่วพริบตาก็ตาแข็งปากอ้าค้าง เลือดไหลจากหูและจมูก ร้องครวญครางกลิ้งอยู่บนพื้น!
ราชาจิ้งจอกยังอยากลงมืออีก แต่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน เงาร่างขาวบนบัลลังก์กลับบินเข้ามา ค่อยๆ เปลี่ยนแสงสีขาวนี้ให้ไร้รูปร่าง ต่อมาแขนเสื้อพลันเปลี่ยนเป็นปากถุงขนาดใหญ่ ควบคุมราชาจิ้งจอกให้หยุดนิ่งไม่ไหวติง!
“เจ้า! เจ้า…”
ราชาจิ้งจอกเห็นภาพในถุงนี้ สีหน้าก็พลันเปลี่ยน! จากนั้นลู่ยาเอื้อมมือไปปิดปากเขาไว้ ทำให้พูดคำที่เหลือไม่ออกอีก!
เขาพูดไม่ออกไม่ได้แสดงว่าในใจจะไม่ตื่นตกใจ ในแขนเสื้อกว้างใหญ่นี้คืออะไร? คือทะเลเมฆอันไร้ขอบเขต! ทะเลเมฆนี้ราวกับเก็บจักรวาลไว้ทั้งจักรวาล เมฆแต่ละก้อนที่ลอยละล่องบางครั้งราวกับเป็นทะเลคลั่งม้วนตัว บางครั้งราวกับเป็นม้านับหมื่นพุ่งทะยาน แปรเปลี่ยนไปตลอด งดงามตระการตายิ่ง! เมฆทุกก้อนที่นี่ล้วนรวบรวมพลังบำเพ็ญหลายหมื่นพันปีไว้ และเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา ไม่หมดไม่สิ้น!
ตามที่เขารู้ บนผืนฟ้าใต้พิภพนี้ เสื้อคลุมที่มีพลังโอบอุ้มสรรพสิ่งได้เช่นนี้มีเพียงหนึ่งเดียว! คือเสื้อเซียนทอเมฆที่หนี่ว์วาใช้เวลาสามพันหกร้อยปีทอขึ้นมาเองกับมือ!
แต่เสื้อเซียนทอเมฆของนางกลับทอขึ้นเพื่อลู่ยาเต้าจู่ศิษย์น้องรัก…
หนี่ว์วาเอ็นดูลูย่าถึงขนาดไหน? แม้แต่ตอนแรกที่ปฐมวิญญาณสั่งให้นางสร้างมนุษย์ นางล้วนสร้างขึ้นตามแบบลู่ยา เพื่อเป็นการขอบคุณเขา นางจึงทอเสื้อนี้ขึ้นด้วยตนเอง ดังนั้นผู้ที่ใส่เสื้อนี้ทำให้มู่หรงเส่าชิงอัดเขาจนเกือบตาย และเกือบทำให้ลูกสาวนำเขากลับห้องไปหลับนอนด้วย นอกจากลู่ยาแล้วจะยังเป็นใครไปได้?!
ไม่ผิด! เป็นคนเลวนั่น!
ราชาจิ้งจอกมองใบหน้าลู่ยาที่อยู่ใกล้อย่างมาก อยากจะเป็นลมเล็กน้อย…
เขาต้องไม่ทันระวังไปล่วงเกินไท่สุ้ย[1] หรือไม่ก็ไปล่วงเกินผู้ยิ่งใหญ่บนสวรรค์ท่านใดเข้า จึงทำให้เขาโชคร้ายมาพบกับลู่ยา!
เขายังเข้าใจไปว่าฝันร้ายในวัยเยาว์ได้ผ่านพ้นไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะกลับมาจริงๆ!
“เข้าไปค่อยพูด!”
ลู่ยาชักมือกลับ หนีบเขาเดินเข้าไปตำหนักด้านในอย่างรวดเร็ว
มู่หรงหลิวเย่คิดจะตามไป เดินไปได้ครึ่งทางกลับถูกพลังลมปราณที่ประตูดันกลับไป
ราชาจิ้งจอกเข้ามาถึงตำหนักด้านใน ใบหน้ายังคงซีดขาว
ลู่ยาไพล่มือเดินไปอยู่ตรงหน้าเขา มุมปากยกขึ้น พูดว่า “เจ้าสิบสาม สบายดีรึ”
สองขาของราชาจิ้งจอกสั่น คุกเข่าลงไปดังตึง “ท่าน ท่านผู้อาวุโสมาได้อย่างไร…”
สิบสามคือลำดับของเขาในเหล่าสัตว์น้อยตอนนั้นที่วังของหนี่ว์วา แต่ไหนแต่ไรพ่อหนุ่มลู่ยาคนนี้ไม่เรียกชื่อของผู้อื่น เพียงให้แขวนป้ายตัวเลขคนละอันไว้ที่คอ เสียงเรียกสิบสามนี้ออกมา เขาก็รู้ว่าไม่ผิดแน่นอน
คิดกลับไปก่อนหน้าว่าตนยอมตามใจให้เจ้าเด็กน้อยเส่าชิงจัดการอีกฝ่ายอย่างไร หนังศีรษะก็ลุกชันขึ้นมาแล้ว! ด้วยนิสัยของลู่ยา ไม่ได้ไปยั่วเขาแหย่เขา เขายังคิดหาวิธีเล่นงานเจ้า แต่เส่าชิงขังเขาไว้ในคุกหินให้เป็นอาหารของหลิวกวง จากนั้นยังใช้ระฆังคิดจะทำลายเขา ลู่ยาจะไม่พลิกชิงชิวของพวกตนหรือ?
พลังบำเพ็ญสามหมื่นปีของเส่าชิงถูกทำลายก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว!
ใจเขาเต้นแรง แหงนหน้าขึ้นเสียงสั่นเครือ “สิบสามมีตาไร้แวว ดูไม่ออกว่าท่านซือจู่มา รู้ตนเองว่าผิดไม่อาจให้อภัย เพียงร้องขอต่อท่านช่วยละมืออันสูงส่ง ปล่อยพลเมืองชิงชิวไปสักครั้ง เหลือที่อยู่อาศัยให้พวกเขา พวกเขาต่างก็บริสุทธิ์…”
หากจะฆ่าจะแกงเขาล้วนยอมรับ อยากฆ่าเส่าชิงเขาก็ไม่กล้าพูดอะไร สิ่งสำคัญคือเหล่าปีศาจในอาณาจักรต้องรักษาไว้ ไม่อาจโชคร้ายกันไปหมดเพราะเขาได้
ลู่ยายิ้มเยาะ ไพล่มือนั่งลงไปที่บัลลังก์ ปัดเสื้อคลุมก่อนพูด “ตอนนี้กลับแข้งขาอ่อนแรง ก่อนหน้านี้เจ้าทำอะไรลงไป?”
ราชาจิ้งจอกเอ่ยอึกๆ อักๆ “ข้าไม่รู้ว่าเป็นท่านแต่แรกมิใช่หรือ”
“หากเจ้าพูดแบบนี้ หมายความว่าไม่มีฐานันดรศักดิ์ก็ไม่อาจร่วมมือทำงานกับราชาจิ้งจอกได้หรือ?” ลู่ยารินชาลงถ้วยชาหยกแบบมีฝาปิด ยกขึ้นดื่ม “ตอนเจ้ายังเล็กทำไมข้าถึงดูไม่ออกเลยว่าเจ้าจะโอ้อวดได้ขนาดนี้ ข้าจำได้ว่าเจ้ายังเป็นผู้ติดตามเหล่าซาน (ลำดับสาม) แห่งตระกูลป๋าย? ตอนนี้มีอำนาจแล้ว ยืดอกได้เต็มที่ แม้แต่เจ้าหน้าที่เซียนก็กล้ารังแก?”
ราชาจิ้งจอกปาดเหงื่อที่มุมหน้าผากออก ฝืนพูด “ขอบคุณท่านที่ยังจำเรื่องของสิบสามได้”
จุดใต้ตำตอเข้าเสียแล้ว! ตอนแรกที่สระน้ำฮั่น ตนรู้สึกว่าเขาคุ้นตาอยู่ ควรจะจำได้มิใช่หรือ! เขาก็บอกแล้วว่าฝึกพลังสายเสวียนคง และยังสามารถหลอมจิตต้นกำเนิดช่วยจิ้งจอกน้อยได้ ทำไมตัวเองถึงได้โง่ขนาดนี้ ไม่เชื่อว่าตัวลู่ยาท่องมาถึงที่นี่? ทีนี้ละงามหน้า เขาตกลงไปในก้นหลุมจนออกมาไม่ได้แล้ว!
ราชาจิ้งจอกชะงักเล็กน้อย เหลือบตาขึ้นมองสีหน้าลู่ยา พูดอีกว่า “ท่านจู่ซือลงมายังโลกคราวนี้ ปลอมตัวมาเพื่อเยี่ยมเยียนหรือ?”
ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้พวกเขาจะไม่สอดมือเข้ายุ่งในหกภพ แต่กลับมีหน้าที่ปกปักรักษา หรือว่าเขาสังหารศิษย์ลัทธิฉ่านไปหลายคน จึงทำให้เทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่ตกใจไปด้วย?
“ข้าไม่ได้ว่างขนาดนั้น”
ลู่ยายกขาข้างหนึ่งขึ้นวางบนบัลลังก์ มือประคองท้ายทอย มองไปยังดอกบัวทองนอกหน้าต่างใต้ชายคาพลางพูด “พูดง่ายๆ ข้าแค่มาช่วยพลลาดตระเวนคลี่คลายคดีของพวกเจ้าชิงชิว แต่เดิมข้าไม่คิดออกหน้า ดูสิว่าพวกเจ้าจะทำอย่างไร ทว่านับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าคิดร่วมมือก็ต้องร่วมมือ ไม่คิดร่วมมือก็ต้องร่วมมือ”